หนังสือรอยเท้าของความคิด…เล่มนี้ เป็นเรื่องราวสะท้อนความคิดผ่านชีวิตและตัวตนของผู้เขียน ที่อยากจะบอกเล่าเรื่องราวเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในเส้นทางเดินของความทรงจำที่มีต่อแผ่นดินล้านนา เป็นเสียงเรียกร้องในห้วงคำนึงของลูกล้านนาคนหนึ่งที่มีโอกาสได้เดินทางแรมรอนไปเยี่ยมยามแผ่นดินแม่ใน ๗ จังหวัดภาคเหนือ ด้วยการเดินเท้าสาวส่องใจเข้าไปสำรวจห้วงวิญญาณ และความอลังการในวิถีชีวิตผู้คนที่ได้เดินทางผ่านไป แน่นอน! ผู้เขียนย่อมมีอคติบางอย่างบังเกิดขึ้นในใจ มีความเลื่อมใสในบางสิ่งตามมุมมองประสบการณ์จากสายตาอันเปราะบางของมนุษย์ที่ยังไม่หลุดพ้น ดังที่คาริล ยิบราน ได้เคยกล่าวไว้ว่า “บุคคลมิอาจบรรลุสู่รุ่งอรุณได้ โดยมิได้ข้ามผ่านมรรคาแห่งราตรี”
หนังสือเล่มนี้จึงเป็นเพียงรากฝอยความนึกคิดเล็ก ๆ ในห้วงความคิดคำนึงของคนธรรมดาคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ร่วมกับพวกคุณบนโลกใบนี้ “อ่านงานเขียนแบบมองตัวคน ก็จะทำให้เรารู้จักตัวตนเขามากขึ้น หากอ่านงานเขียนที่พ้นไปจากตัวผู้เขียน ก็จะเห็นความงอกงามของมนุษยชาติ”
สิ่งที่น่ากลัวอีกอย่างหนึ่ง สำหรับการเดินทางของนักเดินทางมือใหม่ ก็คือ "ความเหงา" และ “ความหวาดระแวงภัย” ที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างการเดินทาง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เ ราก็ต้องเดินเพื่อกำจัดความหวาดกลัวนั้นให้จางหายออกไปจากใจเราให้ได้ ส่วนความ “เหงา” นั้น เราต้องไตร่ตรองคิดใคร่ครวญว่า ในหนึ่งวัน หนึ่งเดือน หรือหนึ่งปีนั้น เรามักจะใช้เวลาอยู่กับคนอื่น ๆ กับสิ่งแวดล้อมรอบข้างที่เพลิดเพลิน แต่กลับไม่ค่อยมีเวลาให้กับตนเอง หรือคนใกล้ตัว เช่นครอบครัวหรือพี่น้อง การใช้เวลาในการเดินทางกับเพื่อนที่ชื่อ “ความเหงา” เอาเข้าจริงมันก็ไม่เหงา เพราะเราก็ยังมีเจ้าความเหงานี้เป็นเพื่อนอยู่ดี (งง)
เมื่อเราเดินทางกับความเหงา ความเหงาจึงสอนให้เรารู้จักผูกมิตรปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์คนอื่น ๆ ในฐานะที่เขา คือ ผู้ที่เกื้อกูลให้ชีวิตเรามีสีสันต์งดงามและช่วยเติมเต็มในช่องว่างของความเงียบเหงา “ความเหงา จึงเป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้นให้เราต้องมีเพื่อน และมีความรักในเพื่อนมนุษย์” และในทางเดินของความเหงานั้น มันยังช่วยย้ำเตือนบอกกล่าวให้เราหมั่นฝึกคิดทบทวนในเรื่องราวสิ่งต่าง ๆ ที่เคยพัดผ่านถาโถมเข้ามาในชีวิตทั้งดีและร้าย สุดท้ายมันก็ให้คำตอบกับเราได้อย่างหนึ่ง ว่า เราต้องเก็บความทุกข์ยากที่เราได้ก้าวข้ามผ่านมานั้นไว้เป็นบทเรียนของชีวิต เพื่อที่จะใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตต่อไปในวันข้างหน้าอย่างมีสติ รอบคอบ ลุ่มลึกในการมองโลกและชีวิต ส่วนเรื่องราวดี ๆ นั้นหรือ ก็เก็บเอาไว้เป็นกำลังใจก็แล้วกัน
“ทำในสิ่งที่เรารักคือความสุข สนุกในสิ่งที่เราทำคือความอิสระ” และความสุขในความอิสระนั้น จะมีความหมายคุณค่าสูงส่งยิ่งขึ้นไปก็ต่อเมื่อ “ความสุขและอิสระนั้นต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองหรือเพื่อนมนุษย์คนใด” นั่นย่อมนับได้ว่าเป็นสุดยอดของศิลปะในการดำเนินชีวิตที่ปราชญ์ทั้งหลายพึงควรยกย่องคารวะ
ในการเดินทางเรา ต้องเก็บออมแรงบันดาลใจใฝ่ฝันให้เต็มเปี่ยมในกระเป๋าความคิด ต้องตระเตรียมหัวใจให้แข็งแกร่งแรงกล้าแล้วฝากมันไว้กับฝ่าเท้าที่ก้าวเดิน ไม่ต้องโหยหา เข็มทิศหรือเส้นทางแสงสว่างใด ๆ ในทางเดิน แต่จงปล่อยให้ความรักและศรัทธานำทางเราไปอย่างอิสระ แล้วการเดินทางนั้นจะผนึกประสานกลายเป็นสิ่งเดียวกับความคิดและรอยเท้าของเราเอง
ทุกก้าวย่างบนทางเท้า ทุกรอยเท้าบนผืนทรายและก้อนกรวด…กับเส้นทางที่ยาวไกลในล้านนาแผ่นดิน ไม่มีการหวนคืนกลับถอยหลัง ถึงแม้ว่าตัวผมจะพบเจอกับเหนื่อยยากลำบากเพียงใด ผมก็ยังมุ่งที่จะก้าวมั่นต่อไปด้วยหัวใจที่เปี่ยมฝัน และเมื่อมองย้อนกลับไปดูคืนกาลที่ผ่านพ้น ทุก ๆ ก้าวย่ำในเส้นทางเดิน “บางรอยเท้าของผมก็มีความบกพร่อง บางความคิดอาจมีอคติพลั้งพลาด” เพราะสะดุดจากกิเลสในใจที่ปรารถนาในสุข และผลักใสความทุกข์อยู่ตลอดเวลา จนผมเรียนรู้ที่จะผูกมิตรกับความทุกข์ยากลำบาก และเรียนรู้แลกเปลี่ยนกับมันในฐานะที่เราเป็นเพื่อนกันมาอย่างยาวนาน แต่เรามักจะแกล้งลืมและไม่อยากจะคบหามัน แต่มันก็ คือ มิตรแท้ที่มักจะหาเวลากลับมาเยี่ยมยามเราเสมอ ๆ แม้ว่าเราอาจจะไม่อยากต้อนรับมันสักเท่าใดก็ตาม
บัดนี้เส้นทางเดินเท้าของผมจบสิ้นไปนานแล้ว แต่การเดินทางของความคิดผมมันยังไม่จบสิ้น และจะยังคงเดินทางต่อไปอย่างไม่รู้จุดหมายหรือตอนจบ...ผมขอขอบคุณในทุกๆ ผู้คน ขอบคุณทุกเส้นทางขวากหนาม ขอบคุณทุกร่มเงาใบไม้ ศาลาริมทางหลังเก่าผุพังที่เคยเป็นร่มรังนอนผ่อนพัก....ขอบคุณตัวเองที่เดินทางฟันฝ่าบรรลุเป้าหมายตามใจฝัน และเก็บบันทึกเรื่องราวความทรงจำเอาไว้เป็นนิยามของความภูมิใจในขณะที่ยังมีชีวิต
ผมคิดอยู่เสมอว่า จิตวิญญาณล้านนาจะไม่มีวันตาย ตราบใดที่ยังมีคนล้านนาอาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ แม้ไม่มีผืนดินที่เป็นดินแดนในนามแห่งอธิปไตย ไม่มีอาณาจักรยิ่งใหญ่อันเคยรุ่งเรืองนั้นอีกแล้ว แต่ล้านนาก็ยังงดงามสืบเนื่องปรากฏอยู่ในวิถีชีวิตของผู้คนในดินแดนแถบนี้อย่างไม่ขาดสาย ตราบใดที่คนล้านนายังมีจิตวิญญาณ มีสำนึกรักษ์ในแผ่นดินเกิด ตราบนั้นความเป็นล้านนาก็จะยังคงอยู่คู่กับดินแดนแห่งนี้ตลอดไป
และผมก็เชื่ออยู่เสมอว่า ไม่ว่าโลกเราจะก้าวหน้าวิวัฒน์หรือวิบัติเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร วิถีล้านนาก็จะยังคงไม่เสื่อมสลาย หากจิตวิญญาณของคนล้านนาเรายังไม่สูญหายตายไปจากผืนดินแห่งนี้ ภาษาล้านนาจะไม่มีวันล่มสลาย หากลูกหลานในดินแดนแห่งนี้ยังพากันสดับแลกเปลี่ยน และพูดคุยสำเนียงพื้นถิ่นร่วมกันอย่างมิขาดสาย ประวัติศาสตร์จารีตล้านนาจะไม่มีวันจบสิ้น ตราบใดที่เรายังรักและอยากจะพูดถึงเรื่องราวแห่งบรรพชนกันอยู่ “ไม่มีคน ย่อมไม่มีประวัติศาสตร์ และประวัติศาสตร์ย่อมดำรงอยู่ไม่ได้ หากไม่มีคน” แผ่นดินล้านนาจะมีความหมาย ก็ต่อเมื่อลูกหลานของแผ่นดินนี้รู้จักคุณค่าความเป็นล้านนาได้อย่างถ่องแท้ และเมื่อนั้นความจริงก็จะปรากฏและประจักษ์แก่สายตาของผู้เข้าถึงเสมอ
ด้วยจิตคารวะต่อกัน
กฤษตธี สุนันตา
รอยเท้าของความคิด… เรื่องเล่าจากความคิดที่บรรจบกับเส้นทางชีวิต ชีวิตบนสองเท้ากับเรื่องราวของการเดินทางบนแผ่นดินล้านนา
หนังสือเล่มนี้จึงเป็นเพียงรากฝอยความนึกคิดเล็ก ๆ ในห้วงความคิดคำนึงของคนธรรมดาคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ร่วมกับพวกคุณบนโลกใบนี้ “อ่านงานเขียนแบบมองตัวคน ก็จะทำให้เรารู้จักตัวตนเขามากขึ้น หากอ่านงานเขียนที่พ้นไปจากตัวผู้เขียน ก็จะเห็นความงอกงามของมนุษยชาติ”
สิ่งที่น่ากลัวอีกอย่างหนึ่ง สำหรับการเดินทางของนักเดินทางมือใหม่ ก็คือ "ความเหงา" และ “ความหวาดระแวงภัย” ที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างการเดินทาง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เ ราก็ต้องเดินเพื่อกำจัดความหวาดกลัวนั้นให้จางหายออกไปจากใจเราให้ได้ ส่วนความ “เหงา” นั้น เราต้องไตร่ตรองคิดใคร่ครวญว่า ในหนึ่งวัน หนึ่งเดือน หรือหนึ่งปีนั้น เรามักจะใช้เวลาอยู่กับคนอื่น ๆ กับสิ่งแวดล้อมรอบข้างที่เพลิดเพลิน แต่กลับไม่ค่อยมีเวลาให้กับตนเอง หรือคนใกล้ตัว เช่นครอบครัวหรือพี่น้อง การใช้เวลาในการเดินทางกับเพื่อนที่ชื่อ “ความเหงา” เอาเข้าจริงมันก็ไม่เหงา เพราะเราก็ยังมีเจ้าความเหงานี้เป็นเพื่อนอยู่ดี (งง)
เมื่อเราเดินทางกับความเหงา ความเหงาจึงสอนให้เรารู้จักผูกมิตรปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์คนอื่น ๆ ในฐานะที่เขา คือ ผู้ที่เกื้อกูลให้ชีวิตเรามีสีสันต์งดงามและช่วยเติมเต็มในช่องว่างของความเงียบเหงา “ความเหงา จึงเป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้นให้เราต้องมีเพื่อน และมีความรักในเพื่อนมนุษย์” และในทางเดินของความเหงานั้น มันยังช่วยย้ำเตือนบอกกล่าวให้เราหมั่นฝึกคิดทบทวนในเรื่องราวสิ่งต่าง ๆ ที่เคยพัดผ่านถาโถมเข้ามาในชีวิตทั้งดีและร้าย สุดท้ายมันก็ให้คำตอบกับเราได้อย่างหนึ่ง ว่า เราต้องเก็บความทุกข์ยากที่เราได้ก้าวข้ามผ่านมานั้นไว้เป็นบทเรียนของชีวิต เพื่อที่จะใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตต่อไปในวันข้างหน้าอย่างมีสติ รอบคอบ ลุ่มลึกในการมองโลกและชีวิต ส่วนเรื่องราวดี ๆ นั้นหรือ ก็เก็บเอาไว้เป็นกำลังใจก็แล้วกัน
“ทำในสิ่งที่เรารักคือความสุข สนุกในสิ่งที่เราทำคือความอิสระ” และความสุขในความอิสระนั้น จะมีความหมายคุณค่าสูงส่งยิ่งขึ้นไปก็ต่อเมื่อ “ความสุขและอิสระนั้นต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองหรือเพื่อนมนุษย์คนใด” นั่นย่อมนับได้ว่าเป็นสุดยอดของศิลปะในการดำเนินชีวิตที่ปราชญ์ทั้งหลายพึงควรยกย่องคารวะ
ในการเดินทางเรา ต้องเก็บออมแรงบันดาลใจใฝ่ฝันให้เต็มเปี่ยมในกระเป๋าความคิด ต้องตระเตรียมหัวใจให้แข็งแกร่งแรงกล้าแล้วฝากมันไว้กับฝ่าเท้าที่ก้าวเดิน ไม่ต้องโหยหา เข็มทิศหรือเส้นทางแสงสว่างใด ๆ ในทางเดิน แต่จงปล่อยให้ความรักและศรัทธานำทางเราไปอย่างอิสระ แล้วการเดินทางนั้นจะผนึกประสานกลายเป็นสิ่งเดียวกับความคิดและรอยเท้าของเราเอง
ทุกก้าวย่างบนทางเท้า ทุกรอยเท้าบนผืนทรายและก้อนกรวด…กับเส้นทางที่ยาวไกลในล้านนาแผ่นดิน ไม่มีการหวนคืนกลับถอยหลัง ถึงแม้ว่าตัวผมจะพบเจอกับเหนื่อยยากลำบากเพียงใด ผมก็ยังมุ่งที่จะก้าวมั่นต่อไปด้วยหัวใจที่เปี่ยมฝัน และเมื่อมองย้อนกลับไปดูคืนกาลที่ผ่านพ้น ทุก ๆ ก้าวย่ำในเส้นทางเดิน “บางรอยเท้าของผมก็มีความบกพร่อง บางความคิดอาจมีอคติพลั้งพลาด” เพราะสะดุดจากกิเลสในใจที่ปรารถนาในสุข และผลักใสความทุกข์อยู่ตลอดเวลา จนผมเรียนรู้ที่จะผูกมิตรกับความทุกข์ยากลำบาก และเรียนรู้แลกเปลี่ยนกับมันในฐานะที่เราเป็นเพื่อนกันมาอย่างยาวนาน แต่เรามักจะแกล้งลืมและไม่อยากจะคบหามัน แต่มันก็ คือ มิตรแท้ที่มักจะหาเวลากลับมาเยี่ยมยามเราเสมอ ๆ แม้ว่าเราอาจจะไม่อยากต้อนรับมันสักเท่าใดก็ตาม
บัดนี้เส้นทางเดินเท้าของผมจบสิ้นไปนานแล้ว แต่การเดินทางของความคิดผมมันยังไม่จบสิ้น และจะยังคงเดินทางต่อไปอย่างไม่รู้จุดหมายหรือตอนจบ...ผมขอขอบคุณในทุกๆ ผู้คน ขอบคุณทุกเส้นทางขวากหนาม ขอบคุณทุกร่มเงาใบไม้ ศาลาริมทางหลังเก่าผุพังที่เคยเป็นร่มรังนอนผ่อนพัก....ขอบคุณตัวเองที่เดินทางฟันฝ่าบรรลุเป้าหมายตามใจฝัน และเก็บบันทึกเรื่องราวความทรงจำเอาไว้เป็นนิยามของความภูมิใจในขณะที่ยังมีชีวิต
ผมคิดอยู่เสมอว่า จิตวิญญาณล้านนาจะไม่มีวันตาย ตราบใดที่ยังมีคนล้านนาอาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ แม้ไม่มีผืนดินที่เป็นดินแดนในนามแห่งอธิปไตย ไม่มีอาณาจักรยิ่งใหญ่อันเคยรุ่งเรืองนั้นอีกแล้ว แต่ล้านนาก็ยังงดงามสืบเนื่องปรากฏอยู่ในวิถีชีวิตของผู้คนในดินแดนแถบนี้อย่างไม่ขาดสาย ตราบใดที่คนล้านนายังมีจิตวิญญาณ มีสำนึกรักษ์ในแผ่นดินเกิด ตราบนั้นความเป็นล้านนาก็จะยังคงอยู่คู่กับดินแดนแห่งนี้ตลอดไป
และผมก็เชื่ออยู่เสมอว่า ไม่ว่าโลกเราจะก้าวหน้าวิวัฒน์หรือวิบัติเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร วิถีล้านนาก็จะยังคงไม่เสื่อมสลาย หากจิตวิญญาณของคนล้านนาเรายังไม่สูญหายตายไปจากผืนดินแห่งนี้ ภาษาล้านนาจะไม่มีวันล่มสลาย หากลูกหลานในดินแดนแห่งนี้ยังพากันสดับแลกเปลี่ยน และพูดคุยสำเนียงพื้นถิ่นร่วมกันอย่างมิขาดสาย ประวัติศาสตร์จารีตล้านนาจะไม่มีวันจบสิ้น ตราบใดที่เรายังรักและอยากจะพูดถึงเรื่องราวแห่งบรรพชนกันอยู่ “ไม่มีคน ย่อมไม่มีประวัติศาสตร์ และประวัติศาสตร์ย่อมดำรงอยู่ไม่ได้ หากไม่มีคน” แผ่นดินล้านนาจะมีความหมาย ก็ต่อเมื่อลูกหลานของแผ่นดินนี้รู้จักคุณค่าความเป็นล้านนาได้อย่างถ่องแท้ และเมื่อนั้นความจริงก็จะปรากฏและประจักษ์แก่สายตาของผู้เข้าถึงเสมอ
ด้วยจิตคารวะต่อกัน
กฤษตธี สุนันตา