บทความนี้ เป็นความคิดเห็น ส่วนตัว อาจผิดถูก โปรดแย้งได้ ...
สิ่งที่วิทยาศาสตร์ พิสูจน์ ไม่ได้ แปลว่า ไม่มี
สมัยหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์บอกว่า โลกแบน คนก็เชื่อ
สมัยหนึ่ง วัตถุตกลงบนพื้นโลก ด้วยแรงผลัก คนก็เชื่อ ...
จนกระทั่ง นิวตั้น ค้นพบแรงดึงดูด
สมัยหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ บอกว่า ในจักรวาล มีจักวาลเดียว คนก็เชื่อ
แต่พุทธศาสนา ค้นพบมาก่อนแล้วว่า นอกจากจักวาลของเรา แล้ว
ยังมีจักรวาลอื่นๆ อีก มากมายมหาศาล นับไม่ถ้วน
ซึ่งวิทยาศาสตร์ เพิ่งค้นพบทีหลัง เมื่อมีกล้องโทรทัศน์
พระพุทธเจ้า ค้นพบ วิทยาศาสตร์ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนอนิจัง
ทุกสิ่งทุกอย่างมีการล้วนมีการเกิดดับ ตลอดเวลา แม้แต่จิตของเรา
หรือ สิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า จะมีการ เกิด-ดับ ตลอดเวลา
ซึ่งต่อมา วิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบ สัญญาณ ดิจิตอล คือ 101010101010 ....
นั่นคืออาการเกิดดับ ที่พระพุทธเจ้าค้นพบมาก่อนแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ ล้วนมีอาการเกิดดับตลอดเเวลา..
แม้แต่วัตถุที่เรามองเห็น ด้วยตากาย
ต่อมานักวิทยาศาสร์ ค้นพบทฤษฏีควอนตั้ม
พบว่าอานุภาพ เล็กๆ ของวัตถุ ที่เรียกว่านิวเครียส
มีการเกิดดับตลอด เวลา ...
สิ่งนี้ พระพุทธเจ้า ค้นพบ เมื่อ 2500 กว่าปีก่อนแล้ว
ดังนั้น สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ ยังไปไม่ถึง ยังมีอีกมากมาย
โดยเฉพาะ มิติแห่งกาลเวลา ..
ไอน์สไตน์กล่าวว่า เวลาไม่มีอยู่จริง บนโลกนี้
สิ่งที่มีอยู่จริง คือ ความเร็วแสง ...
ถ้าเราสามารถเดินทางด้วยความเร็วแสงได้ จะทำให้เราหยุดเวลาได้
สิ่งที่จะพิสูจน์ เรื่องกาลเวลา การหยุดเวลาได้ การย้อนเวลาได้
หรือการเดินทางด้วยความเร็วแสง
สิ่งนี้แหละ ที่วิทยาศาสตร์ทำไม่ได้ ยังไปไม่ถึง...
แต่ ปฏิบัติธรรม สามารถหยุดเวลาได้ด้วยการ
นั่งวิปัสนากรรมฐาน ให้จิตอยู่นิ่ง ...
การเดินทางย้อนเวลา การหยุดเวลา การเดินทางเท่าความเร็วแสง
ไอน์สไตน์ ก็คิด พยายาม พิสูจน์ แต่ไปไม่ถึง
ถ้าไอน์สไตน์ทำได้ ผมว่าไอน์สไตน์ บรรลุธรรม ถึงขั้น นิพพาน (มิติที่ 11)
แต่ในทางพุทธศาสนา มีพระอรหันต์ บรรลุธรรมมากมาย
ซึ่งมันยากที่จะอธิบาย เป็นตัวอักษรให้คนธรรมดา ให้เข้าใจ
แม้แต่ทฤษฏีสัมพันธภาพ ยังบรรยายเป็นตัวอักษร คนยังเข้าใจยาก
ความรู้ ในจักรวาล เปรียบเสมือน ใบมะขามทั้งต้นใหญ่ๆ
แต่ความรู้ทางโลก ทางวิทยาศาสตร์ เพียงแค่ใบมะขาม ในหนึ่งกำมือ
ดังนั้นความรู้ ที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีอยู่จริง
สิ่งทีวิทยาศาสตร์ ทำได้ แค่สิ่งที่ตาทางกายภาพ มองเห็น
แม้แต่ตาทางกายภาพ ยังแยกไม่ออก ว่าหลอดไฟ มีการเกิดดับ อยู่ตลอดเวลา
ต้องใช้กล้องถ่ายคลิป ถึงจะมองเห็นการ เกิดดับของหลอดไฟ ...
หลายๆ คนเชื่อว่า ท้ายที่สุด วิทยาศาสตร์ทางโลก
จะมาบรรจบกับ วิทยาศาสตร์ทางพุทธ โดยเฉพาะ วิทยาศาสตร์สายควอนตั้ม
ด๊อกเตอร์ ศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยต่างๆ และนักวิทยาศาสตร์ ที่ศึกษาเรื่องพุทธศาสตร์
ต่างงุนงง สงสัย ว่าทำไมพระพุทธเจ้า สอนไม่ให้คนมาเชื่อ อย่าเพิ่งเชื่อ
จนกว่าจะพิสูจน์ให้รู้ให้เห็นด้วยตัวเอง แล้วค่อยเชื่อ
สอนให้คนปฏิบัติให้เห็นจริง แล้ว ค่อยเชื่อ ..
หลักของศาสนาทุกศาสนา สอนให้คนเชื่อ ...
ทำให้นักวิทยาศาสตร์ในโลกนี้ จึงมองว่า พุทธ ไม่ใช่ศาสนา
แต่เป็นพุทธศาสตร์ ....
ใครอยากพิสูจน์ บาปกรรม เกิดแก่เจ็บตาย เวียนว่ายตายเกิด มีอยู่จริง
พิสูจน์ได้ ด้วยการ พยายาม ทำจิตให้นิ่ง
ความรู้ทางพุทธศาสตร์ มีมากมายมหาศาล
เป็น First Knowledge รู้ได้เฉพาะตน ..
ปล. ศาสนาทุกศานาบนโลกนี้ล้วนแต่เป็ศาสนาที่ดี และ ศาสดา ทุกๆ ศาสนา
ล้วนแล้วแต่ เสียสละ กายและ ชีวิต เพื่อค้นหา เพื่อสอนชาวโลก ดังนั้น เราควร เคารพนับถือ
ศาสดาทุกองค์ ในทุกศาสนา เพราะทุกท่าน ล้วนแล้วแต่สร้างความดีเพื่อชาวโลก ทุกพระองค์
<< พุทธ .... ไม่ใช่ศาสนา แต่เป็นวิทยาศาสตร์ ... >>
สิ่งที่วิทยาศาสตร์ พิสูจน์ ไม่ได้ แปลว่า ไม่มี
สมัยหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์บอกว่า โลกแบน คนก็เชื่อ
สมัยหนึ่ง วัตถุตกลงบนพื้นโลก ด้วยแรงผลัก คนก็เชื่อ ...
จนกระทั่ง นิวตั้น ค้นพบแรงดึงดูด
สมัยหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ บอกว่า ในจักรวาล มีจักวาลเดียว คนก็เชื่อ
แต่พุทธศาสนา ค้นพบมาก่อนแล้วว่า นอกจากจักวาลของเรา แล้ว
ยังมีจักรวาลอื่นๆ อีก มากมายมหาศาล นับไม่ถ้วน
ซึ่งวิทยาศาสตร์ เพิ่งค้นพบทีหลัง เมื่อมีกล้องโทรทัศน์
พระพุทธเจ้า ค้นพบ วิทยาศาสตร์ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนอนิจัง
ทุกสิ่งทุกอย่างมีการล้วนมีการเกิดดับ ตลอดเวลา แม้แต่จิตของเรา
หรือ สิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า จะมีการ เกิด-ดับ ตลอดเวลา
ซึ่งต่อมา วิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบ สัญญาณ ดิจิตอล คือ 101010101010 ....
นั่นคืออาการเกิดดับ ที่พระพุทธเจ้าค้นพบมาก่อนแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ ล้วนมีอาการเกิดดับตลอดเเวลา..
แม้แต่วัตถุที่เรามองเห็น ด้วยตากาย
ต่อมานักวิทยาศาสร์ ค้นพบทฤษฏีควอนตั้ม
พบว่าอานุภาพ เล็กๆ ของวัตถุ ที่เรียกว่านิวเครียส
มีการเกิดดับตลอด เวลา ...
สิ่งนี้ พระพุทธเจ้า ค้นพบ เมื่อ 2500 กว่าปีก่อนแล้ว
ดังนั้น สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ ยังไปไม่ถึง ยังมีอีกมากมาย
โดยเฉพาะ มิติแห่งกาลเวลา ..
ไอน์สไตน์กล่าวว่า เวลาไม่มีอยู่จริง บนโลกนี้
สิ่งที่มีอยู่จริง คือ ความเร็วแสง ...
ถ้าเราสามารถเดินทางด้วยความเร็วแสงได้ จะทำให้เราหยุดเวลาได้
สิ่งที่จะพิสูจน์ เรื่องกาลเวลา การหยุดเวลาได้ การย้อนเวลาได้
หรือการเดินทางด้วยความเร็วแสง
สิ่งนี้แหละ ที่วิทยาศาสตร์ทำไม่ได้ ยังไปไม่ถึง...
แต่ ปฏิบัติธรรม สามารถหยุดเวลาได้ด้วยการ
นั่งวิปัสนากรรมฐาน ให้จิตอยู่นิ่ง ...
การเดินทางย้อนเวลา การหยุดเวลา การเดินทางเท่าความเร็วแสง
ไอน์สไตน์ ก็คิด พยายาม พิสูจน์ แต่ไปไม่ถึง
ถ้าไอน์สไตน์ทำได้ ผมว่าไอน์สไตน์ บรรลุธรรม ถึงขั้น นิพพาน (มิติที่ 11)
แต่ในทางพุทธศาสนา มีพระอรหันต์ บรรลุธรรมมากมาย
ซึ่งมันยากที่จะอธิบาย เป็นตัวอักษรให้คนธรรมดา ให้เข้าใจ
แม้แต่ทฤษฏีสัมพันธภาพ ยังบรรยายเป็นตัวอักษร คนยังเข้าใจยาก
ความรู้ ในจักรวาล เปรียบเสมือน ใบมะขามทั้งต้นใหญ่ๆ
แต่ความรู้ทางโลก ทางวิทยาศาสตร์ เพียงแค่ใบมะขาม ในหนึ่งกำมือ
ดังนั้นความรู้ ที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีอยู่จริง
สิ่งทีวิทยาศาสตร์ ทำได้ แค่สิ่งที่ตาทางกายภาพ มองเห็น
แม้แต่ตาทางกายภาพ ยังแยกไม่ออก ว่าหลอดไฟ มีการเกิดดับ อยู่ตลอดเวลา
ต้องใช้กล้องถ่ายคลิป ถึงจะมองเห็นการ เกิดดับของหลอดไฟ ...
หลายๆ คนเชื่อว่า ท้ายที่สุด วิทยาศาสตร์ทางโลก
จะมาบรรจบกับ วิทยาศาสตร์ทางพุทธ โดยเฉพาะ วิทยาศาสตร์สายควอนตั้ม
ด๊อกเตอร์ ศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยต่างๆ และนักวิทยาศาสตร์ ที่ศึกษาเรื่องพุทธศาสตร์
ต่างงุนงง สงสัย ว่าทำไมพระพุทธเจ้า สอนไม่ให้คนมาเชื่อ อย่าเพิ่งเชื่อ
จนกว่าจะพิสูจน์ให้รู้ให้เห็นด้วยตัวเอง แล้วค่อยเชื่อ
สอนให้คนปฏิบัติให้เห็นจริง แล้ว ค่อยเชื่อ ..
หลักของศาสนาทุกศาสนา สอนให้คนเชื่อ ...
ทำให้นักวิทยาศาสตร์ในโลกนี้ จึงมองว่า พุทธ ไม่ใช่ศาสนา
แต่เป็นพุทธศาสตร์ ....
ใครอยากพิสูจน์ บาปกรรม เกิดแก่เจ็บตาย เวียนว่ายตายเกิด มีอยู่จริง
พิสูจน์ได้ ด้วยการ พยายาม ทำจิตให้นิ่ง
ความรู้ทางพุทธศาสตร์ มีมากมายมหาศาล
เป็น First Knowledge รู้ได้เฉพาะตน ..
ปล. ศาสนาทุกศานาบนโลกนี้ล้วนแต่เป็ศาสนาที่ดี และ ศาสดา ทุกๆ ศาสนา
ล้วนแล้วแต่ เสียสละ กายและ ชีวิต เพื่อค้นหา เพื่อสอนชาวโลก ดังนั้น เราควร เคารพนับถือ
ศาสดาทุกองค์ ในทุกศาสนา เพราะทุกท่าน ล้วนแล้วแต่สร้างความดีเพื่อชาวโลก ทุกพระองค์