สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
[ยา]
ที่เขาเขียน เพราะ พาราเซตามอล มันทำอันตรายกับตับครับ
ดังนั้นไม่ควรกินมากเกินไป หรือกินติดต่อกันมากเกินไป
ที่เขาเขียน 5 วัน นี่เป็นค่าเฉลี่ยโดยทั่วไป
ดังนั้นจะเว้นเท่าไร จขกท ก็ควรพิจารณาตับตัวเองตามเหมาะสม -*-
[เคมี]
รายละเอียด กดตรงนี้ครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Paracetamol หรือ Acetaminophen (N-acetyl-para-aminophenol) มีโครงสร้างแบบนี้
ตัวมันเองไม่ทำงานลดไข้ แก้ปวด แต่ประการใด
แต่มันเป็นสารแปลกปลอมที่ไม่มีในร่างกาย แต่พอกินเข้าไปปุ๊บ ร่างกายจะเผาผลาญ(metabolize)
ได้สารประกอบต่างๆ(metabolites) ตามนี้ครับ
ทางแรก เอนไซม์ในตับจะจับคู่พารากับซัลเฟต (sulfation) ได้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ออกฤทธิ์แต่ละลายน้ำดี
จึงขับถ่าย [A] (สาร Paracetamol-O-sulfate) ออกไปทางไตโดยไม่ทำงาน
ทางที่สอง จะเกิดการเผาพารา โดยเอาไปย้ายคู่ระหว่างอะซีติลที่มีอยู่เดิม กับกรดอะราชิโดนิก ในเซลล์เมมเบรน
ได้เป็น [B ] (สาร AM-404) ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ระงับปวด และลดไข้ ผ่านกระบวนการยับยั้งการทำลายanandamide
ในระบบประสาท (Anandamide Hydrolase Inhibitor)
ทางที่ 3 คือตับจะเผาพารา โดยเอาไปจับคู่กับกรดนำตาลgluconic acid ได้ผลิตภัณฑ์ [C] (paracetamol-O-gluconate)
ละลายน้ำดีแต่ไม่ออกฤทธิ์ และจะขับถ่ายทิ้งต่อไป
ทางที่ 4 คือตัวสร้างปัญหา ปกติทางนี้จะไม่เกิดเยอะเท่าใดนัก เพราะเอนไซม์มีน้อย จะเกิดไปเป็นสัดส่วนทางที่ 1-3 มากกว่า
เพราะว่า พอตับเผาเสร็จ ดันได้สารที่มีอันตรายมาก คือ [D] NAPQI ซึ่งสารนี้ทำลายเซลล์ตับอย่างรุนแรง
โชคดี ที่ร่างกายเรามีระบบป้องกันรับมือไว้ คือ เอากลูตาไธโอนที่สะสมภายในเซลล์ มาจับคู่กับสาร D ได้เป็นสาร E
ที่ไม่ทำอันตรายกับเซลล์ตับอีกต่อไป (แต่ก็ไม่ออกฤทธิ์) รอการขับถ่าย
ทีนี้ กลูตาไธโอนที่สะสมไว้ในเซลล์มันมีจำนวนจำกัด พอกินพาราเยอะๆ เข้า มันก็จะหมด ไม่มีพอมาทำลายสาร D ให้เป็น E
สาร D ก็จะเหลือ และไปทำลายเซลล์ตับ ทำให้ตับพัง ตายได้
เวลาคนกินพาราเกิน เขาถึงให้กินพวก carbocisteine หรือพวกกรดอะมิโนที่มีกำมะถันเยอะๆ เช่นพวก cysteine, cystine
เพื่อร่างกายจะได้เอาไปสร้างกลูตาไธโอนมาทำลายสาร D ไม่ให้อยู่ทำลายเซลล์ตับ (กินทีเยอะๆ วันละหลายๆ ลิตร)
เขาไม่เอากลูตาให้กินโดยตรง เพราะร่างกายดูดซึมกลูตาไธโอนจากการกินได้น้อยมากหรือไม่ได้เลย*
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้แต่พวกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ใส่กลูตาไธโอนก็โฆษณากันจัง กินไปมันจะดูดซึมได้ไหมอะ -*-
และจริงๆ สารนี้ไม่ได้เอาไว้ทำให้ขาว มันเอาไว้ทำลายสารพิษที่เกิดขึ้นเช่นในกรณีพารานี่หละครับ
ถ้าขาว นี่คือได้รับ overdose จนไปรบกวนระบบอื่น คือระบบสร้างเม็ดสีเมลานิน จนมันทำงานไม่ได้ละ เลยขาว
จากเหตุผลดังกล่าว จึงควรระวังการกินพารา อย่ากินเยอะหรือกินต่อเนื่อง
จะเว้นเท่าไร ขึ้นกับตับของจขกท ยังมีสต็อกสารเหลือไว้ทำลายสาร D ได้อีกมากน้อยแค่ไหนครับ
ถ้ากิน 5 เว้น 1 ละกิน 5 อีก สลับไปเรื่อยๆ ตับพัง ตายแน่นอนครับ (ระวัง ตายแบบทรมานมาก)
ที่เขาเขียน เพราะ พาราเซตามอล มันทำอันตรายกับตับครับ
ดังนั้นไม่ควรกินมากเกินไป หรือกินติดต่อกันมากเกินไป
ที่เขาเขียน 5 วัน นี่เป็นค่าเฉลี่ยโดยทั่วไป
ดังนั้นจะเว้นเท่าไร จขกท ก็ควรพิจารณาตับตัวเองตามเหมาะสม -*-
[เคมี]
รายละเอียด กดตรงนี้ครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Paracetamol หรือ Acetaminophen (N-acetyl-para-aminophenol) มีโครงสร้างแบบนี้
ตัวมันเองไม่ทำงานลดไข้ แก้ปวด แต่ประการใด
แต่มันเป็นสารแปลกปลอมที่ไม่มีในร่างกาย แต่พอกินเข้าไปปุ๊บ ร่างกายจะเผาผลาญ(metabolize)
ได้สารประกอบต่างๆ(metabolites) ตามนี้ครับ
ทางแรก เอนไซม์ในตับจะจับคู่พารากับซัลเฟต (sulfation) ได้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ออกฤทธิ์แต่ละลายน้ำดี
จึงขับถ่าย [A] (สาร Paracetamol-O-sulfate) ออกไปทางไตโดยไม่ทำงาน
ทางที่สอง จะเกิดการเผาพารา โดยเอาไปย้ายคู่ระหว่างอะซีติลที่มีอยู่เดิม กับกรดอะราชิโดนิก ในเซลล์เมมเบรน
ได้เป็น [B ] (สาร AM-404) ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ระงับปวด และลดไข้ ผ่านกระบวนการยับยั้งการทำลายanandamide
ในระบบประสาท (Anandamide Hydrolase Inhibitor)
ทางที่ 3 คือตับจะเผาพารา โดยเอาไปจับคู่กับกรดนำตาลgluconic acid ได้ผลิตภัณฑ์ [C] (paracetamol-O-gluconate)
ละลายน้ำดีแต่ไม่ออกฤทธิ์ และจะขับถ่ายทิ้งต่อไป
ทางที่ 4 คือตัวสร้างปัญหา ปกติทางนี้จะไม่เกิดเยอะเท่าใดนัก เพราะเอนไซม์มีน้อย จะเกิดไปเป็นสัดส่วนทางที่ 1-3 มากกว่า
เพราะว่า พอตับเผาเสร็จ ดันได้สารที่มีอันตรายมาก คือ [D] NAPQI ซึ่งสารนี้ทำลายเซลล์ตับอย่างรุนแรง
โชคดี ที่ร่างกายเรามีระบบป้องกันรับมือไว้ คือ เอากลูตาไธโอนที่สะสมภายในเซลล์ มาจับคู่กับสาร D ได้เป็นสาร E
ที่ไม่ทำอันตรายกับเซลล์ตับอีกต่อไป (แต่ก็ไม่ออกฤทธิ์) รอการขับถ่าย
ทีนี้ กลูตาไธโอนที่สะสมไว้ในเซลล์มันมีจำนวนจำกัด พอกินพาราเยอะๆ เข้า มันก็จะหมด ไม่มีพอมาทำลายสาร D ให้เป็น E
สาร D ก็จะเหลือ และไปทำลายเซลล์ตับ ทำให้ตับพัง ตายได้
เวลาคนกินพาราเกิน เขาถึงให้กินพวก carbocisteine หรือพวกกรดอะมิโนที่มีกำมะถันเยอะๆ เช่นพวก cysteine, cystine
เพื่อร่างกายจะได้เอาไปสร้างกลูตาไธโอนมาทำลายสาร D ไม่ให้อยู่ทำลายเซลล์ตับ (กินทีเยอะๆ วันละหลายๆ ลิตร)
เขาไม่เอากลูตาให้กินโดยตรง เพราะร่างกายดูดซึมกลูตาไธโอนจากการกินได้น้อยมากหรือไม่ได้เลย*
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้แต่พวกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ใส่กลูตาไธโอนก็โฆษณากันจัง กินไปมันจะดูดซึมได้ไหมอะ -*-
และจริงๆ สารนี้ไม่ได้เอาไว้ทำให้ขาว มันเอาไว้ทำลายสารพิษที่เกิดขึ้นเช่นในกรณีพารานี่หละครับ
ถ้าขาว นี่คือได้รับ overdose จนไปรบกวนระบบอื่น คือระบบสร้างเม็ดสีเมลานิน จนมันทำงานไม่ได้ละ เลยขาว
จากเหตุผลดังกล่าว จึงควรระวังการกินพารา อย่ากินเยอะหรือกินต่อเนื่อง
จะเว้นเท่าไร ขึ้นกับตับของจขกท ยังมีสต็อกสารเหลือไว้ทำลายสาร D ได้อีกมากน้อยแค่ไหนครับ
ถ้ากิน 5 เว้น 1 ละกิน 5 อีก สลับไปเรื่อยๆ ตับพัง ตายแน่นอนครับ (ระวัง ตายแบบทรมานมาก)
หมีผู้กินหมูและหนูไม่รู้จักหมี ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 891613 ถูกใจ, Life_Is_Riding_Bicycle ถูกใจ, Nomention ทึ่ง, conveyancer ถูกใจ, บัวดิน บานบนดวงดาว ถูกใจ, karaviko ถูกใจ, Gilia ถูกใจ, natural display ถูกใจ, HWalker ถูกใจรวมถึงอีก 7 คน ร่วมแสดงความรู้สึก
▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
ที่เขียนบนแผงยาพาราเซตามอลว่า'ห้ามกินต่อกันเกิน 5 วัน'...
จริงๆ มันต้องเว้นซักเท่าไหร่หรอ?