วันนี้ไปเดินเล่นในเมืองเห็นเขาโฆษณาเรื่องการหาอัจฉริยภาพเด็ก เห็นว่ามีบางส่วนที่เข้าใจผิดและบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานที่ตัวเองทำอยู่ จึงอยากเปิดประเด็นให้สังคมพินิจพิจารณากันบ้างครับ
เรื่องแรก อัจฉริยะคือคนที่มีความสามารถพิเศษและสามารถสร้างผลงานที่เป็นตำนานทิ้งไว้ได้ จะตำนานใหญ่ตำนานเล็กก็แล้วแต่ อัจฉริยะเป็นคนละเรื่องกับคน IQ สูง แม้ว่าอัฉริยะบางคนจะIQ สูงแต่ก็มีอยู่จำนวนไม่น้อยที่ IQ ไม่น่าจะสูงเพียงแต่มีความสามารถเฉพาะทางเท่านั้นที่เด่นเป็นพิเศษ อย่าคิดว่า IQ สูงแล้วจะดี ยังครับ ยังห่างอีกสามหมื่นแปดพันลี้
เรื่องที่สอง คน IQ สูง ปัจจุบันถือกันว่ามีพรสวรรค์ทางสติปัญญาเท่านั้น ไม่ได้เป็นอัจฉริยะอย่างที่เข้าใจกัน คน IQ สูงส่วนใหญ่เรียนหนังสือไปวันๆและไหลไปตามระบบ อาจได้เปรียบคนอื่นเขาตรงที่มีต้นทุนสติปัญญามากกว่า แต่ถ้าขาดคุณสมบัติด้านอื่นๆมาประกอบก็จบ เด็ก IQ สูงจำนวนไม่น้อยมีผลการเรียนตำกว่าระดับสติปัญญาเพราะขาดนิสัยใจคอที่เกื้อหนุน เขาจึงมาหา EQ,AQ,RQ,MQและอีกสารพัด Q ที่จะเกิดตามๆกันมาพัฒนาครับ
เรื่องที่สาม ศักยภาพของคนเป็นผลร่วมกันหรือถัวเฉลี่ยกันระหว่าง Bio-Psycho-Social ครับ ไม่ใช่ Bio อย่างเดียว ดังนั้นวิธีการหาศักยภาพคนโดยวิธีทางชีววิทยาอย่างเดียวยังไม่น่าจะบอกอะไรได้เลย ผมเอาพันธุ์เงาะโรงเรียนขนานแท้จากนาสารมาปลูกที่บ้าน สองปีผ่านไปมันก็ยังไม่โต พอปีที่สามเฉาตายเลย คุณเอาไม้พันธุ์ดีมาปลูกแต่ลืมใส่ปุ๋ยก็จบ ผมเชื่อว่าในบรรดาลูกของคนระดับรากหญ้าต้องมีคนที่พันธุกรรมดีๆเหมือนกัน แต่ไม่เจริญอย่างที่ควรเพราะขาดปัจจัยสนับสนุน
เด็กบ้านนอกสองคน เรียนโรงเรียนท้องถิ่น เก่งทั้งคู่ พอจบ ป.6คนนึงบอกเลิกเรียนแล้ว ที่บ้านมีไร่นาทำ ขอทำนาทำไร่ เวลาผ่านไปเป็นคนมีฐานะในท้องถิ่น เป็นกำนัน เป็นอบต. อีกคน ไม่มีไร่นาจะทำ ขอเข้ากรุงไปอาศัยหลวงตาเรียนหนังสือ จบปริญญา สอบรับราชการได้ สอบชิงทุนไปต่อเมืองนอกเมืองนา กลับมาเป็นอธิบดี เป็นปลัดกระทรวง ต่างกันเพราะอะไร พันธุกรรมหรือสิ่งแวดล้อม
ศักยภาพของคนจะด้านสติปัญญาหรืออะไรก็ตามเริ่มต้นที่สมอง ตอนคนเราเกิดมามีเซลสมองเกิดมาเป็นหลักหมื่นล้านเซล พอเกิดมาแล้วจะแตกกิ่งก้านสาขามาเชื่อมกันในช่วง 3 ปีแรกของชีวิต จุดเชื่อมยิ่งมาก ส่งสัญญาณประสาทได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งฉลาดเท่านั้น ตรงนี้มีโฆษณาพูดกรอกหูอยู่ทุกบ่อยจนเบื่อ แต่ที่ยังไม่มีใครพูดถึงบ่อยนักก็คือ ช่วงอายุจาก 3-6 ปี เส้นใยประสาทสมองส่วนที่ไม่ได้ใช้งานจะถูกยุบไป เราเรียกว่าการตัดแต่งกิ่ง ดังนั้น การเลือกรร.อนุบาลจึงต้องเลือกรร.ที่มีการจัดกิจกรรมเด็กครบถ้วนเพื่อที่จะให้เด็กคงใยสมองไว้ให้ได้มากที่สุด
ทีนี้เซลสมองจะแตกกิ่งได้ดีต้องมีองค์ประกอบสามส่วนคือ พันธุ์ดี อาหารดีและสิ่งแวดล้อมดี ปัจจุบันยังไม่มีการพิสูจน์กันให้เป็นที่ยอมรับกันอย่างเป็นทางการว่าสายพันธุ์ดีมีความเกี่ยวข้องกับลายนิ้วมืออย่างมีนัยสำคัญ สำหรับการตรวจยีนก็ยังเพิ่งเริ่มต้น แค่ปัญญาอ่อนยังตรวจได้แค่พวกโครโมโซมผิดปกติ พวกปัญญาอ่อนจากเหตุอื่นๆเช่น ขาดอาหาร รับสารพิษ ยังตรวจไม่ได้ นับประสาอะไรกับยีนฉลาดซึ่งซับซ้อนกว่าเป็นไหนๆ
สมมุติว่าเกิดมาพันธุ์ดีแล้วก็ยังรับประกันไม่ได้ว่าจะมีศักยภาพสูง ต้องไปดูจุดอื่นๆอีก เกิดมาจน ไม่มีปัญญาหาอาหารที่ดีกิน ก็ไม่ฉลาด เลี้ยงไม่ดีประคบประหงมเกินไป ปล่อยเกินไป ก็ไม่ฉลาดครับ
ไม่อยากให้ทุกคนมองง่ายๆ ว่าตรวจอย่างนั้นอย่างนี้แล้วลูกต้องดีแน่ๆ ยังครับ ยังมองตื้นไป
แล้วการวัดมาตรฐานเขาวัดกันอย่างไร
คำตอบคือศักยภาพแท้ๆเป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน มีปัจจัยที่ข้องเกี่ยวซับซ้อนมากมาย วัดยากจนเรียกว่าวัดไม่ได้อย่างน้อยก็ในปัจจุบัน เขาจึงใช้วิธีการวัดจากสิ่งที่แสดงออกมาภายนอกครับ วิธีที่ใช้กันก็คือการวัดผลสัมฤทธิ์ในสิ่งที่ทำ จะการศึกษาหรืออะไรก็ว่ากันไป การวัดทางจิตวิทยา เช่น วัด IQ ,วัดบุคลิกภาพ , วัดความถนัด ฯลฯ การวัดอื่นๆเช่นบางมหาวิทยาลัยก็เอาเด็กมาเข้ากลุ่มแล้ววัดผลจากกลุ่ม
สรุปก็คือ การหาศักยภาพคนจะเด็กหรือผู้ใหญ่ที่เขาเชื่อถือและรับรองกันเป็นทางการนั้น ใช้วิธีการวัดจากสิ่งที่บุคคลแสดงออกมาได้จริงครับ ไม่มีการรับรองการหาศักยภาพแปลกๆแล้วเอามาขายฝันกัน
สำหรับผมถนัดทางด้านการทดสอบทางจิตวิทยา ถ้ามีท่านผู้มีเกียรติสนใจ กด+ เข้ามา จะกลับมาเล่าให้ฟังว่าเขาทำกันอย่างไร มีประโยชน์และคุณค่าอย่างไร
ฝากอ่านสักนิด ก่อนคิดหาอัจฉริยภาพให้เด็ก
เรื่องแรก อัจฉริยะคือคนที่มีความสามารถพิเศษและสามารถสร้างผลงานที่เป็นตำนานทิ้งไว้ได้ จะตำนานใหญ่ตำนานเล็กก็แล้วแต่ อัจฉริยะเป็นคนละเรื่องกับคน IQ สูง แม้ว่าอัฉริยะบางคนจะIQ สูงแต่ก็มีอยู่จำนวนไม่น้อยที่ IQ ไม่น่าจะสูงเพียงแต่มีความสามารถเฉพาะทางเท่านั้นที่เด่นเป็นพิเศษ อย่าคิดว่า IQ สูงแล้วจะดี ยังครับ ยังห่างอีกสามหมื่นแปดพันลี้
เรื่องที่สอง คน IQ สูง ปัจจุบันถือกันว่ามีพรสวรรค์ทางสติปัญญาเท่านั้น ไม่ได้เป็นอัจฉริยะอย่างที่เข้าใจกัน คน IQ สูงส่วนใหญ่เรียนหนังสือไปวันๆและไหลไปตามระบบ อาจได้เปรียบคนอื่นเขาตรงที่มีต้นทุนสติปัญญามากกว่า แต่ถ้าขาดคุณสมบัติด้านอื่นๆมาประกอบก็จบ เด็ก IQ สูงจำนวนไม่น้อยมีผลการเรียนตำกว่าระดับสติปัญญาเพราะขาดนิสัยใจคอที่เกื้อหนุน เขาจึงมาหา EQ,AQ,RQ,MQและอีกสารพัด Q ที่จะเกิดตามๆกันมาพัฒนาครับ
เรื่องที่สาม ศักยภาพของคนเป็นผลร่วมกันหรือถัวเฉลี่ยกันระหว่าง Bio-Psycho-Social ครับ ไม่ใช่ Bio อย่างเดียว ดังนั้นวิธีการหาศักยภาพคนโดยวิธีทางชีววิทยาอย่างเดียวยังไม่น่าจะบอกอะไรได้เลย ผมเอาพันธุ์เงาะโรงเรียนขนานแท้จากนาสารมาปลูกที่บ้าน สองปีผ่านไปมันก็ยังไม่โต พอปีที่สามเฉาตายเลย คุณเอาไม้พันธุ์ดีมาปลูกแต่ลืมใส่ปุ๋ยก็จบ ผมเชื่อว่าในบรรดาลูกของคนระดับรากหญ้าต้องมีคนที่พันธุกรรมดีๆเหมือนกัน แต่ไม่เจริญอย่างที่ควรเพราะขาดปัจจัยสนับสนุน
เด็กบ้านนอกสองคน เรียนโรงเรียนท้องถิ่น เก่งทั้งคู่ พอจบ ป.6คนนึงบอกเลิกเรียนแล้ว ที่บ้านมีไร่นาทำ ขอทำนาทำไร่ เวลาผ่านไปเป็นคนมีฐานะในท้องถิ่น เป็นกำนัน เป็นอบต. อีกคน ไม่มีไร่นาจะทำ ขอเข้ากรุงไปอาศัยหลวงตาเรียนหนังสือ จบปริญญา สอบรับราชการได้ สอบชิงทุนไปต่อเมืองนอกเมืองนา กลับมาเป็นอธิบดี เป็นปลัดกระทรวง ต่างกันเพราะอะไร พันธุกรรมหรือสิ่งแวดล้อม
ศักยภาพของคนจะด้านสติปัญญาหรืออะไรก็ตามเริ่มต้นที่สมอง ตอนคนเราเกิดมามีเซลสมองเกิดมาเป็นหลักหมื่นล้านเซล พอเกิดมาแล้วจะแตกกิ่งก้านสาขามาเชื่อมกันในช่วง 3 ปีแรกของชีวิต จุดเชื่อมยิ่งมาก ส่งสัญญาณประสาทได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งฉลาดเท่านั้น ตรงนี้มีโฆษณาพูดกรอกหูอยู่ทุกบ่อยจนเบื่อ แต่ที่ยังไม่มีใครพูดถึงบ่อยนักก็คือ ช่วงอายุจาก 3-6 ปี เส้นใยประสาทสมองส่วนที่ไม่ได้ใช้งานจะถูกยุบไป เราเรียกว่าการตัดแต่งกิ่ง ดังนั้น การเลือกรร.อนุบาลจึงต้องเลือกรร.ที่มีการจัดกิจกรรมเด็กครบถ้วนเพื่อที่จะให้เด็กคงใยสมองไว้ให้ได้มากที่สุด
ทีนี้เซลสมองจะแตกกิ่งได้ดีต้องมีองค์ประกอบสามส่วนคือ พันธุ์ดี อาหารดีและสิ่งแวดล้อมดี ปัจจุบันยังไม่มีการพิสูจน์กันให้เป็นที่ยอมรับกันอย่างเป็นทางการว่าสายพันธุ์ดีมีความเกี่ยวข้องกับลายนิ้วมืออย่างมีนัยสำคัญ สำหรับการตรวจยีนก็ยังเพิ่งเริ่มต้น แค่ปัญญาอ่อนยังตรวจได้แค่พวกโครโมโซมผิดปกติ พวกปัญญาอ่อนจากเหตุอื่นๆเช่น ขาดอาหาร รับสารพิษ ยังตรวจไม่ได้ นับประสาอะไรกับยีนฉลาดซึ่งซับซ้อนกว่าเป็นไหนๆ
สมมุติว่าเกิดมาพันธุ์ดีแล้วก็ยังรับประกันไม่ได้ว่าจะมีศักยภาพสูง ต้องไปดูจุดอื่นๆอีก เกิดมาจน ไม่มีปัญญาหาอาหารที่ดีกิน ก็ไม่ฉลาด เลี้ยงไม่ดีประคบประหงมเกินไป ปล่อยเกินไป ก็ไม่ฉลาดครับ
ไม่อยากให้ทุกคนมองง่ายๆ ว่าตรวจอย่างนั้นอย่างนี้แล้วลูกต้องดีแน่ๆ ยังครับ ยังมองตื้นไป
แล้วการวัดมาตรฐานเขาวัดกันอย่างไร
คำตอบคือศักยภาพแท้ๆเป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน มีปัจจัยที่ข้องเกี่ยวซับซ้อนมากมาย วัดยากจนเรียกว่าวัดไม่ได้อย่างน้อยก็ในปัจจุบัน เขาจึงใช้วิธีการวัดจากสิ่งที่แสดงออกมาภายนอกครับ วิธีที่ใช้กันก็คือการวัดผลสัมฤทธิ์ในสิ่งที่ทำ จะการศึกษาหรืออะไรก็ว่ากันไป การวัดทางจิตวิทยา เช่น วัด IQ ,วัดบุคลิกภาพ , วัดความถนัด ฯลฯ การวัดอื่นๆเช่นบางมหาวิทยาลัยก็เอาเด็กมาเข้ากลุ่มแล้ววัดผลจากกลุ่ม
สรุปก็คือ การหาศักยภาพคนจะเด็กหรือผู้ใหญ่ที่เขาเชื่อถือและรับรองกันเป็นทางการนั้น ใช้วิธีการวัดจากสิ่งที่บุคคลแสดงออกมาได้จริงครับ ไม่มีการรับรองการหาศักยภาพแปลกๆแล้วเอามาขายฝันกัน
สำหรับผมถนัดทางด้านการทดสอบทางจิตวิทยา ถ้ามีท่านผู้มีเกียรติสนใจ กด+ เข้ามา จะกลับมาเล่าให้ฟังว่าเขาทำกันอย่างไร มีประโยชน์และคุณค่าอย่างไร