ปั่นช้าช้า ตามหาออกซิเจนที่สวนรถไฟ

ด้วยเหตุที่ว่า มีเพื่อนหนุ่มติดต่อมา คือฮีอยากลองเขียนรีวิวลงพันทิปค่ะ

แต่ฮีไม่มี ID เลยฝากมาโพสต์

(แบบว่าอยากแอบกระซิบด่าในใจ) ทำไมคุณ(เมิง)ไม่สมัครไอดีเองฟระ ฮ่วย....

เกริ่นมาได้สองบรรทัดฝ่าๆ ไปดูกันเถอะ ว่าฮีจะพาเราไปไหนกัน เจ้าคิกคัก


ค่ำหนึ่งหลังเลิกงานสุดสัปดาห์เสียงจากปลายสายนัดหมายให้ไปปั่นเล่นที่สวนรถไฟ ไม่เจอกันก็นานกับเจ้าของเสียงนั้น อึ้มมม.. หลายปีทีเดียว ไม่ต้องคิดนานเพราะไม่มีงานใดๆ ติดค้างจึงตกปากรับคำเป็นมั่นเหมาะ ผมตั้งใจไว้อย่างแน่วแน่ว่างานนี้จะไม่พลาดอีกแล้ว



หกโมงเช้าวันเสาร์ผมตื่นขึ้นจากเสียงนาฬิกาหลังตั้งปลุกไว้ตีห้าครึ่ง (ตื่นมาปิด 1 ครั้ง ครั้งที่ 2 จึงตื่น...) ท้องฟ้าวันนั้นดูครึ้มฝน เมฆหนาทึบกลมกลืนกับละอองฝนแผ่วบางทำจิตใจผมหวั่นไหว-อาลัยที่นอนเหลือเกิน ดูผ้าห่มผืนนุ่มนั่นสิ มันปล่อยพลังงานอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมไม่อยากจากมันไปไหน นาทีนี้ในใจคิดไว้สองอย่าง หนึ่ง นอนต่อ สอง ไปอาบน้ำแล้วค่อยดูสถานการณ์อีกที คำสัญญาที่ให้ไว้กับเพื่อนเกือบละลายไปกับละอองฝน! เม่าบาดเจ็บ



อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยเดินไปหลังห้องแหงนดูท้องฟ้าละอองฝนหายไป ม่านครึ้มของก้อนเมฆสีเทามีแสงสีส้มอ่อนๆ ลอดออกมาบ้าง แม้ท้องฟ้าจะยังไม่เป็นสีฟ้า แต่ผมขอท้าทายสายฝนดูสักครั้ง เจ้าเฉาก๊วยล้อเล็กคู่ใจของผมจอดนิ่งอยู่มุมห้อง ดูเหมือนมันรอออกไปละเลียดสายลมยามเช้าอย่างใจจดจ่อ จากที่พักย่านพระราม 8 มุ่งหน้าสู่สวนรถไฟเส้นทางมี 2 เส้นทางผุดขึ้นในหัว



หนึ่ง จากสะพานพระรามแปดมุ่งหน้าไปเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนราชดำเนินนอก เลี้ยวขวาผ่านลานพระบรมรูปทรงม้า วัดเบญจมบพิตรฯ ทำเนียบรัฐบาล วังสวนจิตรฯ เลี้ยวซ้ายขนานทางรถไฟมุ่งหน้าไปสถานีสามเสน กระทั่งเจออุโมงค์บางซื่อ ปั่นไปตามทางแล้วเลี้ยวซ้ายที่สามแยก อตก. วิ่งตรงไปกลับรถหน้าสวนสมเด็จพระนางเจ้าฯ เลี้ยวซ้ายเข้าสวนจตุจักร เลี้ยวซ้ายอีกทีไปเข้าประตูด้านข้างของสวนรถไฟ

สอง คล้ายกับแรกแต่ทว่ามุ่งหน้าจากวังสวนจิตรฯ ตรงไปยังถนนศรีอยุธยา แล้วไปขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอสที่สถานีพญาไท

ผมตัดสินใจเลือกทางที่สอง ด้วยตั้งใจว่าจะปั่นไปช้าๆ กดชัตเตอร์เก็บภาพริมสองฝั่งทางอย่างไม่ต้องรีบร้อน (ฟังดูดีกว่าขี้เกียจเป็นกระบุง)



อ่านถึงบรรทัดนี้หลายคนอาจทำหน้างง เจ้าเฉาก๊วยคือใคร..

เจ้าเฉาก๊วยคือจักรยานมินิสัญชาติอิตาลีคู่ใจของผม เจ้าตัวเล็กโครงเหล็กโคโมลี่คันนี้ผมกับมันเป็นเพื่อนสนิทกันมาปีเศษๆ มันคือพาหนะคู่ใจที่พาผมไปทำงาน ไปเที่ยว เปิดความรู้ใหม่เกี่ยวกับการเดินทางให้กับผมมากมาย ตรอก ซอก เล็กๆ เส้นทางลัดในการเดินทางซึ่งหากขับรถจะไม่มีทางได้เจอทางเช่นนี้แน่ๆ และที่สำคัญความนุ่มของเหล็กโครโมลี่ไม่เคยทำให้ผมเมื่อยล้าในการปั่นเลยแม้แต่น้อย



ที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสพญาไทยามสายวันเสาร์ผู้คนไม่มากนัก ผมเดินเนิบช้า ระมัดระวังด้วยเกรงว่าเจ้าเฉาก๊วยบนบ่าจะไปกระทบเพื่อนร่วมทาง น้ำหนักราวสิบกิโลผมวางมันไว้บ่นบ่าแบบสองมือประคองไม่ลำบากนัก หลังจากซื้อบัตรเสร็จแล้วจึงส่งให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่คอยให้บริการด้วยไมตรี หญิงสาวหน้าตาเรียบร้อยแต่งตัวทะมัดทะแมง ผมตอบแทนเธอด้วยรอยยิ้มพร้อมก้มหัวลงเล็กน้อย ระหว่างที่ประตูเหล็กด้านข้างถูกเปิดออก รับบัตรคืนจากนั้นเดินขึ้นสู่ชานชาลาด้านบน ไม่ถึงอึดใจรถไฟฟ้าก็จอดเทียบชานชาลา แต่ผมตัดสินใจไม่รีบขึ้นตอนนี้ด้วยว่าขอเก็บภาพสวยๆ สักเล็กน้อย ขบวนต่อไปคงอีกไม่นานนัก





บนรถไฟฟ้าตู้แรกหัวขบวนผมเดินเข้าสู่ภายในพร้อมเจ้าเฉาก๊วย ที่นั่งสองฝั่งไร้ซึ่งที่ว่าง สายโยงห่วงวงกลมห้อยต่องแต่งลงมาจากเพดานมีคนจับอยู่บ้างประปราย มันต่องแต่งแรงขึ้นทุกครั้งเมื่อขบวนรถไฟเค้าสู่ทางโค้ง เมื่อโปรยสายตาเรื่อยไปภายในขบวน ส่วนใหญ่วุ่นอยู่กับวัตถุในมือ ในหูเสียบสายไฟเส้นเท่าขนมจีนทั้งสองข้าง บ้างสีขาว สีดำ สีแดง บางคนมีหลายสี คุยกับคู่สนทนาซึ่งอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ไกลออกไป มีทั้งแบบคุยออกเสียง และคุยผ่านสัมผัสหน้าจอ



ผมเคยสงสัยอย่างที่หลายคนเคยสงสัยนะว่า ทำไมคนเรานั่งใกล้กันแต่กลับไม่ใส่ใจกัน ไม่เงยหน้าสบตากัน ไม่ยิ้มให้กัน ไม่ทักทายกัน ไร้การปฏิสัมพันธ์ใดๆ ต่อกัน หรือเป็นเพราะว่าเทคโนโลยีพาคนเราให้ไกลออกจากกัน

สักสิบห้านาทีโดยประมาณรถไฟฟ้าวิ่งถึงสถานีปลายทาง (หมอชิต) ลืมจับเวลาเพราะมัวแต่มองเรื่อยเปื่อยไปที่ข้างทาง นาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาเกือบ 9 โมงเช้า ผมอาจสายนิดหน่อยเพราะไม่ได้เป็นนัดที่เป็นทางการอะไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ขอกดชัตเตอร์อีกสักสองสามครั้ง จากนั้นค่อยไปก็ยังทัน

ที่สวนรถไฟวันนี้นับเป็นครั้งแรกที่ผมมาเยือน หลังจากได้ยินเสียงร่ำลือถึงความชิลด์มาไม่น้อย ผมเบิกบานทันทีที่ได้เห็นความร่มครึ้มของต้นไม้นานาพรรณ ในเมืองใหญ่แห่งนี้ จะมีสักกี่ที่ที่ทำให้เราหายใจได้สุดปอดเช่นนี้

จักรยานมากมายปั่นกันอย่างมีความสุข จากที่ผ่านตาผมเห็นมีหลากหลายชนิด แต่ทุกคนก็ปั่นกันได้โดยกลมกลืน ตอกย้ำคำกล่าวของใครก็ไม่รู้ที่บอกว่า “จักรยานคือวัตถุที่ก่อให้เกิดความเท่าเทียมอย่างแท้จริง” (ผมเห็นคำนี้จากเฟสบุ๊ค...)



โดยไม่รอช้า ผมรีบปั่นไปสำรวจตามเส้นทางสักหนึ่งรอบ เวลานี้แม้ผมจะสาย แต่เพื่อนผมกลับสายยิ่งกว่า!

ที่นี่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า สวนวชิรเบญจทัศ สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่เปิดให้ผู้คนทั่วไปได้ใช้เป็นที่พักผ่อน ออกกำลังกาย รวมถึงทำกิจกรรมต่างๆ สำหรับผู้คนทุกเพศ ทุกวัย อย่างเท่าเทียม



ผมเห็นเด็กตัวน้อยๆ ปั่นจักรยานคันจิ๋วตามหลังพ่อ-แม่ ช้าๆ ใบหน้ามีแต่รอยยิ้ม มันเป็นภาพที่ดูอบอุ่นและสัมผัสได้ถึงความผูกพันกันในครอบครัวโดยมีจักรยานเป็นตัวเชื่อม สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ให้ความเขียวชุ่มฉ่ำ ไหนจะดอกไม้เล็กๆ เป็นพุ่มๆ มากมายรายทางหลากสีสัน นับเป็นส่วนประกอบที่ทำให้ชีวิตของเราเติมเต็มอย่างแท้จริง

ที่แห่งนี้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีได้โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนด้วยวัตถุใดๆ ในราคาที่สิ้นเปลือง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่