เอเยนซี - สำนักข่าว “บีบีซี” ของอังกฤษ จับตาการย้ายสังกัดของ มาริโอ บาโลเตลลี กองหน้าทีมชาติอิตาลี มาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 16 ล้านปอนด์ (ประมาณ 848 ล้านบาท) เพราะเหนืออื่นใดต้องเป็นตัวแทนของ หลุยส์ ซัวเรซ ที่ถูกปล่อยออกไปให้กับ บาร์เซโลนา จึงได้ลองวิเคราะห์ดูพบว่าทั้งคู่มีสิ่งที่คล้ายคลึงกันไม่น้อยดังนี้
เกียรติยศ
บาโลเตลลี คว้าถ้วย ยูฟา แชมเปียนส์ลีก กับแชมป์ สคูเด็ตโต 3 สมัย ตอนอยู่ อินเตอร์ มิลาน ยุคคุมทัพของ โชเซ มูรินโญ แต่กุนซือชาวโปรตุกีส ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจจึงปล่อยให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี เมื่อปี 2010 จากนั้นก็ได้แชมป์ พรีเมียร์ ลีก กับ เอฟเอ คัพ อย่างละครั้ง เรียกได้ว่ามีส่วมร่วมกับความสำเร็จมากมาย ต่างกับ ซัวเรซ อย่างสิ้นเชิงที่ได้เพียงโทรฟี ลีก คัพ ฤดูกาล 2011-12 กับ ลิเวอร์พูล ทั้งที่เปรียบเสมือน “เทวดา-ซาตาน” ในร่างเดียวกันของสาวก “เดอะ ค็อป” กระนั้นก็มีเกียรติยศส่วนตัวคือรองเท้าทองคำยุโรปฤดูกาล 2013-14 ร่วมกับ คริสเตียโน โรนัลโด แนวรุก รีล มาดริด หลังซัดไป 31 ประตูเท่ากัน รวมถึงแข้งยอดเยี่ยมแห่งปีของ สมาคมนักฟุตบอลอาชีพ กับ สมาคมผู้สื่อข่าว ทำให้ บาร์เซโลนา ยอมจ่ายถึง 75 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3,975 ล้านบาท) แลกไป
ฟอร์มปอนด์ต่อปอนด์
ซัวเรซ ถูก ลิเวอร์พูล ดึงมาจาก อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม เมื่อต้นปี 2011 แทน เฟร์นานโด ตอร์เรส หอกทีมชาติสเปน ที่ไปอยู่กับ เชลซี ซึ่งก็ใช้เวลาเพียง 16 นาทีเบิกร่องประตูให้ต้นสังกัดแห่งเกาะอังกฤษ ระยะเวลา 3 ปีครึ่งยิงในลีกไป 69 ประตูกับ 23 แอสซิสต์ แต่สถิติชนะกลับสูงถึง 61 เปอร์เซ็นต์ 18 เกมที่เขาไม่ได้ลงสนาม ผิดกับมีเปอร์เซ็นต์ชนะเพียง 48 เปอร์เซ็นต์ ยามหอกวัย 27 ปีลงเล่น ส่วน บาโลเตลลี ใกล้เคียงสมัยอยู่ แมนฯซิตี มีอัตราชนะ 70 เปอร์เซ็นต์หากเกมนั้นไม่มี “ซูเปอร์มาริโอ” สวนทางกลับเวลาที่ลงสนามทีมชนะเพียง 59 เปอร์เซ็นต์
พฤติกรรมอื้อฉาว
ซัวเรซ ฉายแววตั้งแต่อายุ 15 ปี ตอนเล่นให้สโมสรบ้านเกิดเคยเฮดบัตต์ผู้ตัดสิน ตามด้วยจุดเริ่มต้นของการใช้ฟันทำร้ายคู่ต่อสู้สมัยอยู่ อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ตามด้วยมา ลิเวอร์พูล ก็กัดแขน บรานิสลาฟ อิวาโนวิช กองหลัง เชลซี และล่าสุดเฉาะไหล่ จอร์โจ คิเอลลินี กองหลัง อิตาลี ศึกฟุตบอลโลก 2014 รอบแรก กลุ่ม ดี ช่วย อุรุกวัย ชนะ 1-0 นอกจากนี้ยังถูกตราหน้าเหยียดผิวและพุ่งล้ม ด้าน บาโลเตลลี ไม่รู้จะสาธยายไหว ตอนอยู่ แมนฯซิตี เคยเล่นพลุในห้องน้ำจนเกือบไหม้บ้าน ปาลูกดอกใส่นักเตะเยาวชน เท่านั้นยังไม่พอเคยโพสต์ภาพลงสังคมออนไลน์โดยหันกระบอกปืนเข้ากล้อง พร้อมให้คำบรรยายว่า “สำหรับพวกที่เกลียดเขา” อีกทั้งยังสวมเสื้อประชด “อะไรๆ ก็กู”
วัยเด็กที่ยากจน
บาโลเตลลี เกิดมาในครอบครัวชาวกานา ที่ยากจนมากแถมมีปัญหาสุขภาพตั้งแต่เด็ก ทำให้พ่อแม่ต้องตัดสินใจส่งให้กับผู้ที่มีฐานะร่ำรวยกว่าดูแลเมื่อครั้งอายุ 3 ปี ส่วน ซัวเรซ ลืมตามาในสลัมแห่งหนึ่งที่อุรุกวัยท่ามกลางพี่น้อง 7 คน แต่ก็ช่วยหาเงินแบ่งเบาภาระครอบครัวตอน 9 ขวบ ก่อนได้เล่นให้ โกรนิงเกน เมื่ออายุได้ 19 ปี ถือว่าเป็นนักต่อสู้ที่ลืมตาอ้าปากได้ด้วยกีฬา
แฟนบอลยังรัก
สมัยอยู่ ลิเวอร์พูล ไม่ว่าจะก่อเรื่องแค่ไหนสาวก “เดอะ ค็อป” และกุนซือคนล่าสุดอย่าง เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ก็ยังหนุนหลัง พร้อมจะให้อภัย ถือว่าไม่ค่อยได้เห็นบ่อยครั้งนักหนสุดท้ายต้องย้อนไปตอน เอริค คันโตนา กองหน้าชาวฝรั่งเศส กระโดดถีบยอดอกแฟนบอล คริสตัล พาเลซ แต่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็รอ 9 เดือนจนคืนสนามเยี่ยงฮีโร่ ด้าน บาโลเตลลี ถูกเหยียดผิวตอนอยู่กับ เอซี มิลาน ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะผลงานโดยรวมไม่ดี ซึ่งหอกวัย 24 ปี ก็เผยว่าตัดสินใจผิดที่ย้ายจาก แมนฯซิตี กลับไป อิตาลี ซึ่งทันทีที่ข่าวจะมาเล่นให้ “หงส์แดง” หลุดออกไปแฟนๆ ก็ตื่นเต้นกับการมาครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงว่ายักเตะคงเป็นนักเตะที่ทรงอิทธิพลเสมอ
ขอโทษมันยากนักหนา
กว่าที่ ซัวเรซ จะยอมขอโทษพฤติกรรมของตนเองที่กระทำลงไปก็ต้องรอให้เกิดเรื่องซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ไม่รอดเนื่องจากล่าสุด สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟา สั่งแบนห้ามเล่นทีมชาติ 9 นัด และห้ามยุ่งเกี่ยวกับฟุตบอล 4 เดือน ซึ่งก็เหมือนจะสายไปไม่น้อย ด้าน บาโลเตลลี แทบจะสะกดคำนี้ไม่เป็นด้วยซ้ำ เพราะตอนเล่นให้ แมนฯซิตี ก็ถูก 4 ใบแดงกับ 23 ใบเหลืองตลอดระยะเวลา 2 ปีครึ่ง ส่วนการก่อเรื่องห่ามๆ นอกสนามนั้นหอกอิตาเลี่ยนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัวคงไม่จำเป็นต้องไปแสดงความเสียใจกับใคร
มุมแปลกๆ
ทั้งคู่เคยมีเรื่องที่ไม่คาดคิดเช่นกัน โดยเฉพาะ บาโลเตลลี เคยแต่งเป็นซานตาครอสนำเงินไปมอบให้มูลนิธิคนไร้บ้านในเมืองแมนเชสเตอร์ รวมถึงพาเด็กที่โดดเรียนมาดูเขาที่สนามซ้อมตอนอยู่ แมนฯซิตี กลับไปส่งโดยขับรถหรูนั่งไปอย่างโก้ แต่ก็มีมุมอยากรู้อยากเห็นเกินเมื่อขับรถไปในเรือนจำหญิงของอิตาลี รวมถึงวางเงิน 5,000 ปอนด์ (ประมาณ 265,000 บาท) ไว้ที่เบาะรถมื่อตำรวจเรียกมาสอบก็ตอบสั้นๆ ว่ารวย ซัวเรซ ก็มีเหมือนกันเคยเดินไปเข้าห้องน้ำของโรงเรียนแห่งหนึ่งอาจเพื่อปลดทุกข์ แต่เมื่อถูกถามก็ตอบไปราวกับว่าเป็นเจ้าของ
MGR SPORT
“บาโลเตลลี-ซัวเรซ” ความเหมือนที่ลงตัว
เอเยนซี - สำนักข่าว “บีบีซี” ของอังกฤษ จับตาการย้ายสังกัดของ มาริโอ บาโลเตลลี กองหน้าทีมชาติอิตาลี มาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 16 ล้านปอนด์ (ประมาณ 848 ล้านบาท) เพราะเหนืออื่นใดต้องเป็นตัวแทนของ หลุยส์ ซัวเรซ ที่ถูกปล่อยออกไปให้กับ บาร์เซโลนา จึงได้ลองวิเคราะห์ดูพบว่าทั้งคู่มีสิ่งที่คล้ายคลึงกันไม่น้อยดังนี้
เกียรติยศ
บาโลเตลลี คว้าถ้วย ยูฟา แชมเปียนส์ลีก กับแชมป์ สคูเด็ตโต 3 สมัย ตอนอยู่ อินเตอร์ มิลาน ยุคคุมทัพของ โชเซ มูรินโญ แต่กุนซือชาวโปรตุกีส ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจจึงปล่อยให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี เมื่อปี 2010 จากนั้นก็ได้แชมป์ พรีเมียร์ ลีก กับ เอฟเอ คัพ อย่างละครั้ง เรียกได้ว่ามีส่วมร่วมกับความสำเร็จมากมาย ต่างกับ ซัวเรซ อย่างสิ้นเชิงที่ได้เพียงโทรฟี ลีก คัพ ฤดูกาล 2011-12 กับ ลิเวอร์พูล ทั้งที่เปรียบเสมือน “เทวดา-ซาตาน” ในร่างเดียวกันของสาวก “เดอะ ค็อป” กระนั้นก็มีเกียรติยศส่วนตัวคือรองเท้าทองคำยุโรปฤดูกาล 2013-14 ร่วมกับ คริสเตียโน โรนัลโด แนวรุก รีล มาดริด หลังซัดไป 31 ประตูเท่ากัน รวมถึงแข้งยอดเยี่ยมแห่งปีของ สมาคมนักฟุตบอลอาชีพ กับ สมาคมผู้สื่อข่าว ทำให้ บาร์เซโลนา ยอมจ่ายถึง 75 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3,975 ล้านบาท) แลกไป
ฟอร์มปอนด์ต่อปอนด์
ซัวเรซ ถูก ลิเวอร์พูล ดึงมาจาก อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม เมื่อต้นปี 2011 แทน เฟร์นานโด ตอร์เรส หอกทีมชาติสเปน ที่ไปอยู่กับ เชลซี ซึ่งก็ใช้เวลาเพียง 16 นาทีเบิกร่องประตูให้ต้นสังกัดแห่งเกาะอังกฤษ ระยะเวลา 3 ปีครึ่งยิงในลีกไป 69 ประตูกับ 23 แอสซิสต์ แต่สถิติชนะกลับสูงถึง 61 เปอร์เซ็นต์ 18 เกมที่เขาไม่ได้ลงสนาม ผิดกับมีเปอร์เซ็นต์ชนะเพียง 48 เปอร์เซ็นต์ ยามหอกวัย 27 ปีลงเล่น ส่วน บาโลเตลลี ใกล้เคียงสมัยอยู่ แมนฯซิตี มีอัตราชนะ 70 เปอร์เซ็นต์หากเกมนั้นไม่มี “ซูเปอร์มาริโอ” สวนทางกลับเวลาที่ลงสนามทีมชนะเพียง 59 เปอร์เซ็นต์
พฤติกรรมอื้อฉาว
ซัวเรซ ฉายแววตั้งแต่อายุ 15 ปี ตอนเล่นให้สโมสรบ้านเกิดเคยเฮดบัตต์ผู้ตัดสิน ตามด้วยจุดเริ่มต้นของการใช้ฟันทำร้ายคู่ต่อสู้สมัยอยู่ อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ตามด้วยมา ลิเวอร์พูล ก็กัดแขน บรานิสลาฟ อิวาโนวิช กองหลัง เชลซี และล่าสุดเฉาะไหล่ จอร์โจ คิเอลลินี กองหลัง อิตาลี ศึกฟุตบอลโลก 2014 รอบแรก กลุ่ม ดี ช่วย อุรุกวัย ชนะ 1-0 นอกจากนี้ยังถูกตราหน้าเหยียดผิวและพุ่งล้ม ด้าน บาโลเตลลี ไม่รู้จะสาธยายไหว ตอนอยู่ แมนฯซิตี เคยเล่นพลุในห้องน้ำจนเกือบไหม้บ้าน ปาลูกดอกใส่นักเตะเยาวชน เท่านั้นยังไม่พอเคยโพสต์ภาพลงสังคมออนไลน์โดยหันกระบอกปืนเข้ากล้อง พร้อมให้คำบรรยายว่า “สำหรับพวกที่เกลียดเขา” อีกทั้งยังสวมเสื้อประชด “อะไรๆ ก็กู”
วัยเด็กที่ยากจน
บาโลเตลลี เกิดมาในครอบครัวชาวกานา ที่ยากจนมากแถมมีปัญหาสุขภาพตั้งแต่เด็ก ทำให้พ่อแม่ต้องตัดสินใจส่งให้กับผู้ที่มีฐานะร่ำรวยกว่าดูแลเมื่อครั้งอายุ 3 ปี ส่วน ซัวเรซ ลืมตามาในสลัมแห่งหนึ่งที่อุรุกวัยท่ามกลางพี่น้อง 7 คน แต่ก็ช่วยหาเงินแบ่งเบาภาระครอบครัวตอน 9 ขวบ ก่อนได้เล่นให้ โกรนิงเกน เมื่ออายุได้ 19 ปี ถือว่าเป็นนักต่อสู้ที่ลืมตาอ้าปากได้ด้วยกีฬา
แฟนบอลยังรัก
สมัยอยู่ ลิเวอร์พูล ไม่ว่าจะก่อเรื่องแค่ไหนสาวก “เดอะ ค็อป” และกุนซือคนล่าสุดอย่าง เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ก็ยังหนุนหลัง พร้อมจะให้อภัย ถือว่าไม่ค่อยได้เห็นบ่อยครั้งนักหนสุดท้ายต้องย้อนไปตอน เอริค คันโตนา กองหน้าชาวฝรั่งเศส กระโดดถีบยอดอกแฟนบอล คริสตัล พาเลซ แต่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็รอ 9 เดือนจนคืนสนามเยี่ยงฮีโร่ ด้าน บาโลเตลลี ถูกเหยียดผิวตอนอยู่กับ เอซี มิลาน ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะผลงานโดยรวมไม่ดี ซึ่งหอกวัย 24 ปี ก็เผยว่าตัดสินใจผิดที่ย้ายจาก แมนฯซิตี กลับไป อิตาลี ซึ่งทันทีที่ข่าวจะมาเล่นให้ “หงส์แดง” หลุดออกไปแฟนๆ ก็ตื่นเต้นกับการมาครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงว่ายักเตะคงเป็นนักเตะที่ทรงอิทธิพลเสมอ
ขอโทษมันยากนักหนา
กว่าที่ ซัวเรซ จะยอมขอโทษพฤติกรรมของตนเองที่กระทำลงไปก็ต้องรอให้เกิดเรื่องซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ไม่รอดเนื่องจากล่าสุด สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟา สั่งแบนห้ามเล่นทีมชาติ 9 นัด และห้ามยุ่งเกี่ยวกับฟุตบอล 4 เดือน ซึ่งก็เหมือนจะสายไปไม่น้อย ด้าน บาโลเตลลี แทบจะสะกดคำนี้ไม่เป็นด้วยซ้ำ เพราะตอนเล่นให้ แมนฯซิตี ก็ถูก 4 ใบแดงกับ 23 ใบเหลืองตลอดระยะเวลา 2 ปีครึ่ง ส่วนการก่อเรื่องห่ามๆ นอกสนามนั้นหอกอิตาเลี่ยนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัวคงไม่จำเป็นต้องไปแสดงความเสียใจกับใคร
มุมแปลกๆ
ทั้งคู่เคยมีเรื่องที่ไม่คาดคิดเช่นกัน โดยเฉพาะ บาโลเตลลี เคยแต่งเป็นซานตาครอสนำเงินไปมอบให้มูลนิธิคนไร้บ้านในเมืองแมนเชสเตอร์ รวมถึงพาเด็กที่โดดเรียนมาดูเขาที่สนามซ้อมตอนอยู่ แมนฯซิตี กลับไปส่งโดยขับรถหรูนั่งไปอย่างโก้ แต่ก็มีมุมอยากรู้อยากเห็นเกินเมื่อขับรถไปในเรือนจำหญิงของอิตาลี รวมถึงวางเงิน 5,000 ปอนด์ (ประมาณ 265,000 บาท) ไว้ที่เบาะรถมื่อตำรวจเรียกมาสอบก็ตอบสั้นๆ ว่ารวย ซัวเรซ ก็มีเหมือนกันเคยเดินไปเข้าห้องน้ำของโรงเรียนแห่งหนึ่งอาจเพื่อปลดทุกข์ แต่เมื่อถูกถามก็ตอบไปราวกับว่าเป็นเจ้าของ
MGR SPORT