ดูซีรี่ส์อย่างมีสาระ เรามาทำความรู้จักโรคทางจิตผ่านชาวคณะจิตจ๋า@It's Okay,It's Love กันนะ ^^

กระทู้นี้เขียนจากการอ้างอิงข้อมูลจากบทความ หนังสือ รวมไปถึงประสบการณ์ส่วนตัวของเจ้าของกระทู้

โดยที่เจ้าของกระทู้ไม่ได้เป็นจิตแพทย์,นักจิตวิทยาหรือนักวิจารณ์แต่อย่างใด เพราะฉะนั้นหากข้อมูลผิดพลาด

เจ้าของกระทู้ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย สามารถท้วงติงหรือแก้ไขเพิ่มเติมได้เลยนะครับ ^^







    
                เพื่อนๆที่ดูซีรี่ส์IOIL(ขออนุญาตใช้ตัวย่อแบบนี้นะครับ) เคยสงสัยมั้ยครับว่าอาการป่วยทางจิตของบรรดาตัวละคร

ในเรื่องนั้นแต่ละคนเป็นโรคอะๆไรบ้าง แล้วอาการต้องแสดงถึงขั้นไหนบ้างนะถึงจะพูดได้ว่า คนๆนี้ป่วยเป็นโรคทางจิตแล้วอมยิ้ม19

เรามาเรียนรู้และเข้าใจโรคทางจิตผ่านการดูซีรี่ส์IOILและกระทู้นี้กันนะอมยิ้ม17






-ทำไมคนเราถึงเป็นโรคจิต?

                
                เชื่อหรือไม่ว่าโอกาสที่ใครคนหนึ่งจะเกิดเป็นโรคจิตได้ มี 1 ใน 100 ถ้าเป็นสำนวนโบราณใครเป็นหนึ่งในร้อย

ถือว่าหายากแต่ถ้าคิดว่า นักเรียน 2 ห้อง(ถ้าเป็นโรงเรียนดังๆที่ขี่คอกันเรียนก็แค่ห้องกว่าๆ)โตขึ้น จะมีคนป่วยเป็นโรคจิตนี้ซัก

1 คน คนงานบริษัทโรงงานที่คุณอยู่ 2000 มีเป็นราว 20 คน ถ้ามีคนเฉลี่ยครอบครัวละห้าคน นับไป 20 หลังคาเรือน

ก็เจอคนป่วยหนึ่งคน  หรือเมืองไทยจะมีคนป่วยราว 600000คน ตอนนี้เริ่มรู้สึกน่าเป็นห่วงไหมครับและที่ทำให้น่าคิดเพิ่มขึ้น

ไปอีกคือ อายุที่คนเหล่านี้เริ่มป่วย มักเป็นวัยรุ่นตอนปลาย อายุราวๆ 17-18 ถึง 20 ต้นๆ ถ้าเป็นนักเรียนก็เป็นมัธยมปลาย ปวช.

ปีท้ายๆ จนถึงเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 ปี 2 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นวัยที่กำลังสวยงาม เต็มไปด้วยอุดมการณ์ความฝันที่จะออกมา

ประกอบอาชีพหรือทำประโยชน์แก่ครอบครัวและสังคม แต่ต้องกลับมาป่วยด้วยโรคที่ค่อนข้างรุนแรงและเรื้อรัง

แม้จะไม่ได้ทำให้ล้มตายไปก็ตามชวนให้คิดว่า ทำไมคนเราถึงเป็นโรคจิตได้น้า?





ตอบแบบกำปั้นทุบดินทันทีว่า ไม่รู้ครับ ถ้าใครรู้คงได้รางวัลNobelไปแล้ว ตอบดีหน่อยๆจะเป็นว่า โรคจิตหรือโรคจิตเภท

มีสาเหตุหลายๆอย่างมาประกอบกัน ไม่อาจตอบเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียวแบบโจทย์คณิตศาสตร์อย่างที่เรา

ชอบเค้นหาคำตอบให้ได้ว่าเป็นเพราะอย่างนั้นอย่างนี้อย่างเดียวเท่านั้นแต่ละคนก็มีอาการต่างๆกันไป ทำให้ตอบให้แน่ชัด

ได้ลำบาก  จะขออธิบายแบบนี้ครับตั้งแต่เกิดมาเด็กทุกคนย่อมรับส่วนต่างๆของพ่อแม่ปนกันมาทางกรรมพันธุ์ ซึ่งแน่นอนกรรมพันธุ์

ของพ่อแม่เองก็รับมาจากเทือกเถาเหล่ากอเครือญาติมาเป็นทอดๆ สิ่งที่ถ่ายเทลงมามีทุกอย่างทั้งความปราดเปรื่อง

ความสูงต่ำดำขาว เหมือนสมัยเราเรียนตอนเด็กเรื่องถั่วต้นสูงผสมต้นเตี้ย โรคหลายโรครวมทั้งโรคจิตก็เฮลงมาด้วย

แม้พ่อแม่อาจไม่มีอาการแต่ก็เป็นคนส่งต่อได้(ในรูปแบบยีนด้อยแฝง) เด็กที่รับกรรมพันธุ์โรคจิตมาก็ถือว่าเสี่ยงจะเป็นโรค

มากกว่าใครทั่วไป ยกตัวอย่างความแรงของพันธุกรรมให้ฟัง ถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคนี้หนึ่งคน ลูกเกิดมาจะเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้

กว่าคนทั่วไปราว 12 เท่า ถ้าทั้งพ่อทั้งแม่เป็นแล้วมามีลูกด้วยกัน เสี่ยงขึ้น 40 เท่า ถ้าเด็กแฝดเหมือนคนหนึ่งเกิดป่วยด้วยโรคจิต

แฝดอีกคนมีโอกาสครึ่งต่อครึ่ง ถึงเด็กที่เกิดจากพ่อหรือแม่ที่ป่วยไปให้คนอื่นเลี้ยง โอกาสป่วยก็เป็น 12 เท่าอยู่ดี

ตรงนี้แสดงว่าโรคนี้เกิดจากพันธุกรรมเป็นหลัก    



หาใช่ความผิดที่พ่อแม่เลี้ยงลูกมาไม่ดี(ตรงนี้ขอเน้น)





เนื่องจากพ่อแม่บางส่วนจะรู้สึกผิดว่าตนเป็นพ่อแม่ที่ไม่ดีอย่างมาก คนทั่วไปชาวบ้านก็มักเข้าใจอย่างนี้เอาพ่อแม่ไปนินทาว่า

เลี้ยงลูกอย่างนี้ลูกถึงได้ป่วย เลยพลอยอับอายหลบซ่อน ไม่กล้าพาลูกไปรักษา(แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเลี้ยงยังไงก็ได้นะครับเพราะ

ถึงไม่เป็นโรคจิต ถ้าเลี้ยงไม่ดีเด็กก็มีโอกาสเป็นโรคทางจิตเวชอื่นอีกตั้งเยอะ) ซึ่งตรงนี้เราควรจะเปลี่ยนทัศนคติกันนะ ^^  อมยิ้ม17






อย่างไรก็ตามท่าทางปฏิบัติของพ่อแม่และคนในครอบครัวต่อผู้ป่วยโรคนี้ จะมีส่วนอย่างมากต่อการกำเริบของโรค

พูดถึงเจ้าพันธุกรรมไปทำอะไรกับคนที่โชคร้ายเหล่านี้จนป่วยขึ้นมา อย่างที่ทราบกันคือพันธุกรรมมีส่วนกับการพัฒนาของ

อวัยวะทุกส่วน รวมถึงสมองอันเป็นส่วนที่เกิดโรคในโรคจิตขึ้น เชื่อว่าอาจทำให้เซลล์สมองตอนกำลังโตเรียงตัวกันไม่ถูกชั้นถูก

แนวนัก โดยถ้านำคนไข้บางคนมา X-rayสมอง พบว่าบางรายมีขนาดของบางส่วนของสมองต่างไปจากจากขนาดเฉลี่ย

ของคนทั่วไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่มากมายหรือกลายเป็นก้อนในสมองแต่อย่างใด ผลที่สำคัญกว่าของการพัฒนาของเซลล์สมอง

ที่มีเซลล์หลายพันล้านตัวพวกนี้ผิดปกติ ก็คือทำให้เซลล์เหล่านี้ “ คุย” กัน ไม่สะดวกหรือถูกต้องเท่าเดิม ปกติวิธีการคุยกันของ

เซลล์สมองก็คือ ปล่อยสารเคมีชนิดต่างๆมาเป็นภาษาสื่อกัน พันธุกรรมของโรคนี้จะทำให้เกิดความบกพร่องในสารเคมีหลายภาษา

โดยเฉพาะที่ชื่อ โดปามีน (dopamine) และ ซีโรโทนิน(serotonin) ซึ่งจะเสียสมดุลย์ไป จนเกิดมีอาการของโรคในแง่ที่มีความคิด

ที่ไม่สมเหตุผล แปลกๆจนกระทั่งเกิดหูแว่วประสาทหลอน หรือเหม่อลอย เฉยเมย ขึ้นในที่สุด นอกจากนี้คนแก่ที่มีสมองเสื่อม

คนที่มีโรคทางสมอง เช่น ลมชัก หรือสมองเคยได้รับการกระทบกระเทือน เป็นโรคสมองอักเสบ เป็นโรคตับโรคไตที่มีของเสียค้าง

ในตัวมากจนขึ้นไปรบกวนการทำงานของสมอง ซึ่งหมายถึงระบบภาษาสารเคมีนั้นๆก็เกิดอาการเหมือนโรคจิตได้ มาถึงตรงนี้

คงเข้าใจมากขึ้นว่าหากเกิดเป็นโรคนี้ เราก็ต้องหาทางทำให้ระดับสารเคมีสื่อสารเหล่านี้กลับสู่สมดุลย์อีกครั้ง ซึ่งพระเอกในที่นี้ก็ได้แก่

ยารักษาโรคจิตที่มีทั้งชนิดกินและฉีด และเดี๋ยวนี้มีการพัฒนาประสิทธิภาพการรักษาไปอย่างมาก ในขณะที่ผลข้างเคียงเดิมๆ เช่น

ง่วงนอนลดลงไปมาก





อยากทำความเข้าใจสักนิดว่า การรักษาโรคนี้ซึ่งได้แก่การรักษาสมอง เป็นเรื่องที่อาศัยเวลาอย่างน้อย 6 ถึง 12

สัปดาห์ ในการทำให้อาการสงบและต้องกินยาต่อไปอีกหนึ่งปี เพื่อไม่ให้การเป็นซ้ำซึ่งมีโอกาสสูงมากเกิดขึ้นอีก เรายังพบด้วยว่า

คนที่หยุดยาเอง พอเป็นซ้ำมักอาการรุนแรงและรักษายากกว่าตอนเป็นครั้งแรกมาก และโรคทางจิตเวชต่างๆไม่ได้ต่างอะไร

กับโรคทางกายเลย ที่เป็นแล้วสามารถรักษาได้ อยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ คนที่ป่วยด้วยโรคทางจิตเจชไม่จำเป็นที่จะต้อง

จับเค้าอยู่แต่ในโรงพยาบาลทางจิตอย่างเดียวเท่านั้น



เนื้อหาเชิงวิชาการทั้งหมดเรียบเรียงและอ้างอิงจาก :  

บทความของ รศ.นพ. ปราโมทย์ สุคนิชย์ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ รพ.รามาธิบดี

http://rama4.mahidol.ac.th/ramamental/

http://www.lifeskills-panya.com/category/lifeskills/psychiatric-disorders

http://infomental.com/%E0%B8%AD%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B9%8C%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%8A.htm

ภาพประกอบ : credit as tagged and Kodhit


ป.ล.  เนื้อหาของกระทู้มีต่อนะครับและขออภัยด้วยที่เจ้าของกระทู้จัดหน้าให้สวยๆชวนอ่านไม่เป็น หากคิดว่าเนื้อหาในกระทู้
พอจะน่าสนใจรบกวนทนๆอ่านต่อหน่อยนะครับเท่

edit :  แก้ข้อความและคำผิด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่