สำหรับที่มาที่ได้ซื้อเครื่องกรองอากาศรุ่นนี้
เหตุผลที่ซื้อมาติดที่คอนโดเพิ่ม(หลังจากติดที่ทำงานไปแล้ว1เครื่อง)ก็มีไม่กี่ข้อดังนี้นะครับ
1.คอนโดที่ผมอยู่นี้มีฝุ่นพอสมควรเลยครับดูได้จากรูปซึ่งไม่รู้ว่ามาจากไหนเหมือนกันจริงๆก็ปิดห้องเปิดแอร์ตลอดแท้
2.เนื่องจากอยู่ในคอนโดพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างน้อยห้องครัวจะอยู่ติดกับห้องนั่งเล่นเลยทำอาหารนี่ก็แน่นอนว่ากลิ่นเข้ามาห้องนั่งเล่นแน่ๆ
3.ห้องผมใช้แอร์2ตัวและเปิดแอร์ทั้งวันความชื้นน่าจะต่ำเหมือนกัน
สรุปเหตุผลขั้นต้นที่ผมเลือกเครื่องฟอกอากาศ Sharp Plasmacluster สามารถอ่านได้จาก Sharp Plasmacluster KI-A60TA ซึ่งผมได้เขียนรีวิวไปก่อนหน้านะครับ
http://ppantip.com/topic/32430216
ทำไมผมถึงเลือก Sharp Plasmacluster รุ่น KC-D50TA
1.หลักๆเลยคือผมงบน้อยไม่มีงบพอที่จะซื้อรุ่น KI-A60TA และขนาดมันค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบห้องที่ผมอยู่ (จริงๆก็อยากได้นั้นละ)
2.KC-D50TA ปล่อยอนุภาคได้ที่ 7,000ion/cm3 สำหรับห้องขนาด 28ตรม. ที่ความเร็วพัดลมปานกลาง
(สำหรับขนาดห้องสูงสุดที่รองรับคือการเปิดที่พัดลมแรงที่สุดนะครับ ซึ่งคาดว่าคงไม่มีใครเลือกใช้พัดลมระดับแรงสุดแน่ๆเนื่องจากหนวกหูมากๆเลยครับ)
3.เท่ากับว่าได้ปริมาณอนุภาคเฉลี่ยที่ห้องนั่งเล่น(14ตรม) 14,000ion/cm3 และห้องนอน(9ตรม) 21,000ion/cm3 ที่ความเร็วพัดลมปานกลาง ซึ่งพอที่จะทำลายเชื้อต่างๆได้ในเวลาไม่นานนัก แต่ไม่มากจนทำให้เกิดอาการระคายเคือง
(ดูรูปปริมาณ ion ต่อการกำจัดเชื้อๆต่างและปริมาณ ion ที่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองประกอบนะครับ)
4.มีเซ็นเซอร์ครบทั้งกลิ่น ฝุ่น ความชื้น พร้อมไฟแสดงสถานะ
5.มีการเพิ่ม Advance Auto Mode เพื่อเร่งกำลังเครื่องลดความชื้นในห้องได้เมื่อความชื้นเกิน 70% (พวกรุ่นที่ออกมาก่อนหน้าอย่าง KI-AxxTA และ KC-AxxTA จะไม่มีมีโหมดนี้)
6.สามารถตั้งเวลาเปิด-ปิดได้
หลังจากสรุปได้แล้วก็จัด Sharp รุ่น KC-D50TA มา 1เครื่องครับ
มาดูกันเลยครับว่าเจ้าเครื่องรุ่นนี้มีหน้าตาและการทำงานเป็นอย่างไรกันบ้าง
ดูที่ตัวเครื่องค่อนข้างจะบางพอสมควรรุ่นนี้ไฟเตือนกลิ่นและฝุ่นจะรวมเป็นชุดเดียวไม่แยกกันเหมือนรุ่นก่อน ช่องปล่อยลมมี 2จุดคือหน้าเครื่องกับบนเครื่องเยื้องไปด้านหลัง ปุ่มกดก็เหมือนกันแทบทุกรุ่นสำหรับ Sharp
ส่วนช่องปล่อยลมมีสปอยเลอร์เปิด-ปิดช่องเป่าลมเมื่อใช้งานได้ด้วย เอาไว้กันฝุ่นหรืออื่นๆเข้าไปในช่องลมเมื่อเราไม่ได้ใช้
ส่วนด้านหลังนอกสุดจะเป็นไส้กรองหยาบแบบถอดล้างได้ ต่อมาจะเป็นไส้กรองกลิ่นจะเป็นสีดำๆรวงผึ่งถอดล้างไม่ได้นะครับ ดูดฝุ่นออกได้อย่างเดียวและกรองกลิ่นได้น้อยแบบกว่าของ KI-A60TA แต่ก็แลกมาด้วยราคาไส้กรองกลิ่นที่ถูกกว่าครึ่งๆเลยครับ
ส่วน HEPA สีขาวๆก็ทั่วๆไปครับไม่ได้มีอะไรพิเศษแต่เลือกกว่ารุ่น KI-A60TA เช่นเดียวกัน สำหรับเซ็นเซอร์จับกลิ่น ฝุ่น ความชื้น จะเป็นช่องที่สีเหลี่ยมเล็กๆมีฟองน้ำสีดำปิดอยู่นะครับจับกลิ่นได้ค่อนข้างเร็วเลยทีเดียว ผมลองแอบตดที่มุมห้องอีกฝั่งของเครื่องฟอกเลยแต่แป๊บเดียวเซ็นเซอร์ขึ้นไฟแดงแล้ว คิคิ
ถังน้ำสำหรับรุ่นนี้จะเป็นแค่ 2.5ลิตร ถือว่าเล็กมากๆ ที่ทำงานผมใช้ KI-A60TA ขนาด 4ลิตรยังหมดใน 7ชม (แต่เอาเข้าจริงๆแอร์ที่บ้านความชื้นไม่ได้ต่ำเหมือนแอร์ที่ทำงานเลยครับ 2.5ลิตรกว่าจะหมดล่อไป 2วัน) แผ่นกรองกลิ่นจะอยู่ถัดไปข้างในจากถังน้ำอีกทีนะครับ สไลด์ออกมาได้
อันนี้เป็น Advance Auto Mode เพื่อเร่งกำลังเครื่องลดความชื้นในห้องได้เมื่อความชื้นเกิน 70% ที่พวกรุ่นเก่ากว่าไม่นะครับ แต่เสียงจะดังกว่า Auto Mode ธรรมดานิดหน่อยพอยอมรับได้
อันนี้เป็น vdo นะครับ(ผมถ่ายไม่ค่อยเก่งเอาไว้ดูคร่าวๆได้)
สรุปการใช้งานตลอดเกือบ 2เดือนที่ผ่านมา
โดยรวมถือว่าประทับใจครับกับเครื่องฟอกอากาศรุ่นนี้เช่นเดียวกันกับรุ่น KI-A60TA เลยครับ(แม้ตัวนี้จะรุ่นเล็กกว่า) กลิ่นอาหารและฝุ่นหายไปค่อยข้างเร็วเลยทีเดียวอาจจะเป็นเพราะห้องผมไม่ใหญ่ด้วย
สำหรับเซ็นเซอร์กลิ่นนี่ผมว่าทำงานได้ดีกว่ารุ่น KI-A60TA นะครับคาดว่าคงมีการเขียน AI ให้สามารถทำกราฟของกลิ่นได้ละเอียดขึ้น
ส่วนเรื่องปรับความชื้นนี้ผิดคาดคือห้องผมความชื้นอยู่ระดับ 54-65% แทบตลอดทำให้น้ำที่ใส่ไว้2.5ลิตรอยู่ได้ 2-3วันเลยทีเดียวครับ ซึ่งต่างจากที่ทำงานซึ่งอยู่แถวๆ 38-49% แม้จะทำความชื้นแล้วก็ตามทำให้น้ำที่ใส่ได้ถึง4ลิตรแต่หมดใน7ชม คาดว่าน่าจะเป็นความต่างของแอร์บ้านกับแอร์อาคารที่ทำให้เกิดความชื้นที่ต่างกันมากๆ
ปล.จริงๆผมแอบเสียดายเหมือนกันน่าจะเอารุ่น KC-D60TA ไปเลยอัตราการไหลของอากาศจะได้ดีขึ้นและเสียงจะเงียบลง เพิ่มแค่ 4พันเอง (ตอนนั้นดันแอบงก) แต่ถ้าใครมีงบเยอะจริงๆแนะนำ KI-A60TA ตัวท็อปสุดที่ผมรีวิวกระทู้ก่อนจะดีสุดเลยครับประสิทธิภาพดีมากจริงๆแต่ราคาก็โดดไป2เท่าตัวเลยเหมือนกันทั้งตัวเครื่องและไส้กรอง
สำหรับท่านที่ขี้เกียจอ่านสามารถดูได้จากคลิปนี้เลยครับ
[CR] Customer Review เครื่องฟอกอากาศ Sharp Plasmacluster KC-D50TA
เหตุผลที่ซื้อมาติดที่คอนโดเพิ่ม(หลังจากติดที่ทำงานไปแล้ว1เครื่อง)ก็มีไม่กี่ข้อดังนี้นะครับ
1.คอนโดที่ผมอยู่นี้มีฝุ่นพอสมควรเลยครับดูได้จากรูปซึ่งไม่รู้ว่ามาจากไหนเหมือนกันจริงๆก็ปิดห้องเปิดแอร์ตลอดแท้
2.เนื่องจากอยู่ในคอนโดพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างน้อยห้องครัวจะอยู่ติดกับห้องนั่งเล่นเลยทำอาหารนี่ก็แน่นอนว่ากลิ่นเข้ามาห้องนั่งเล่นแน่ๆ
3.ห้องผมใช้แอร์2ตัวและเปิดแอร์ทั้งวันความชื้นน่าจะต่ำเหมือนกัน
สรุปเหตุผลขั้นต้นที่ผมเลือกเครื่องฟอกอากาศ Sharp Plasmacluster สามารถอ่านได้จาก Sharp Plasmacluster KI-A60TA ซึ่งผมได้เขียนรีวิวไปก่อนหน้านะครับ
http://ppantip.com/topic/32430216
ทำไมผมถึงเลือก Sharp Plasmacluster รุ่น KC-D50TA
1.หลักๆเลยคือผมงบน้อยไม่มีงบพอที่จะซื้อรุ่น KI-A60TA และขนาดมันค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบห้องที่ผมอยู่ (จริงๆก็อยากได้นั้นละ)
2.KC-D50TA ปล่อยอนุภาคได้ที่ 7,000ion/cm3 สำหรับห้องขนาด 28ตรม. ที่ความเร็วพัดลมปานกลาง
(สำหรับขนาดห้องสูงสุดที่รองรับคือการเปิดที่พัดลมแรงที่สุดนะครับ ซึ่งคาดว่าคงไม่มีใครเลือกใช้พัดลมระดับแรงสุดแน่ๆเนื่องจากหนวกหูมากๆเลยครับ)
3.เท่ากับว่าได้ปริมาณอนุภาคเฉลี่ยที่ห้องนั่งเล่น(14ตรม) 14,000ion/cm3 และห้องนอน(9ตรม) 21,000ion/cm3 ที่ความเร็วพัดลมปานกลาง ซึ่งพอที่จะทำลายเชื้อต่างๆได้ในเวลาไม่นานนัก แต่ไม่มากจนทำให้เกิดอาการระคายเคือง
(ดูรูปปริมาณ ion ต่อการกำจัดเชื้อๆต่างและปริมาณ ion ที่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองประกอบนะครับ)
4.มีเซ็นเซอร์ครบทั้งกลิ่น ฝุ่น ความชื้น พร้อมไฟแสดงสถานะ
5.มีการเพิ่ม Advance Auto Mode เพื่อเร่งกำลังเครื่องลดความชื้นในห้องได้เมื่อความชื้นเกิน 70% (พวกรุ่นที่ออกมาก่อนหน้าอย่าง KI-AxxTA และ KC-AxxTA จะไม่มีมีโหมดนี้)
6.สามารถตั้งเวลาเปิด-ปิดได้
หลังจากสรุปได้แล้วก็จัด Sharp รุ่น KC-D50TA มา 1เครื่องครับ
มาดูกันเลยครับว่าเจ้าเครื่องรุ่นนี้มีหน้าตาและการทำงานเป็นอย่างไรกันบ้าง
ดูที่ตัวเครื่องค่อนข้างจะบางพอสมควรรุ่นนี้ไฟเตือนกลิ่นและฝุ่นจะรวมเป็นชุดเดียวไม่แยกกันเหมือนรุ่นก่อน ช่องปล่อยลมมี 2จุดคือหน้าเครื่องกับบนเครื่องเยื้องไปด้านหลัง ปุ่มกดก็เหมือนกันแทบทุกรุ่นสำหรับ Sharp
ส่วนช่องปล่อยลมมีสปอยเลอร์เปิด-ปิดช่องเป่าลมเมื่อใช้งานได้ด้วย เอาไว้กันฝุ่นหรืออื่นๆเข้าไปในช่องลมเมื่อเราไม่ได้ใช้
ส่วนด้านหลังนอกสุดจะเป็นไส้กรองหยาบแบบถอดล้างได้ ต่อมาจะเป็นไส้กรองกลิ่นจะเป็นสีดำๆรวงผึ่งถอดล้างไม่ได้นะครับ ดูดฝุ่นออกได้อย่างเดียวและกรองกลิ่นได้น้อยแบบกว่าของ KI-A60TA แต่ก็แลกมาด้วยราคาไส้กรองกลิ่นที่ถูกกว่าครึ่งๆเลยครับ
ส่วน HEPA สีขาวๆก็ทั่วๆไปครับไม่ได้มีอะไรพิเศษแต่เลือกกว่ารุ่น KI-A60TA เช่นเดียวกัน สำหรับเซ็นเซอร์จับกลิ่น ฝุ่น ความชื้น จะเป็นช่องที่สีเหลี่ยมเล็กๆมีฟองน้ำสีดำปิดอยู่นะครับจับกลิ่นได้ค่อนข้างเร็วเลยทีเดียว ผมลองแอบตดที่มุมห้องอีกฝั่งของเครื่องฟอกเลยแต่แป๊บเดียวเซ็นเซอร์ขึ้นไฟแดงแล้ว คิคิ
ถังน้ำสำหรับรุ่นนี้จะเป็นแค่ 2.5ลิตร ถือว่าเล็กมากๆ ที่ทำงานผมใช้ KI-A60TA ขนาด 4ลิตรยังหมดใน 7ชม (แต่เอาเข้าจริงๆแอร์ที่บ้านความชื้นไม่ได้ต่ำเหมือนแอร์ที่ทำงานเลยครับ 2.5ลิตรกว่าจะหมดล่อไป 2วัน) แผ่นกรองกลิ่นจะอยู่ถัดไปข้างในจากถังน้ำอีกทีนะครับ สไลด์ออกมาได้
อันนี้เป็น Advance Auto Mode เพื่อเร่งกำลังเครื่องลดความชื้นในห้องได้เมื่อความชื้นเกิน 70% ที่พวกรุ่นเก่ากว่าไม่นะครับ แต่เสียงจะดังกว่า Auto Mode ธรรมดานิดหน่อยพอยอมรับได้
อันนี้เป็น vdo นะครับ(ผมถ่ายไม่ค่อยเก่งเอาไว้ดูคร่าวๆได้)
สรุปการใช้งานตลอดเกือบ 2เดือนที่ผ่านมา
โดยรวมถือว่าประทับใจครับกับเครื่องฟอกอากาศรุ่นนี้เช่นเดียวกันกับรุ่น KI-A60TA เลยครับ(แม้ตัวนี้จะรุ่นเล็กกว่า) กลิ่นอาหารและฝุ่นหายไปค่อยข้างเร็วเลยทีเดียวอาจจะเป็นเพราะห้องผมไม่ใหญ่ด้วย
สำหรับเซ็นเซอร์กลิ่นนี่ผมว่าทำงานได้ดีกว่ารุ่น KI-A60TA นะครับคาดว่าคงมีการเขียน AI ให้สามารถทำกราฟของกลิ่นได้ละเอียดขึ้น
ส่วนเรื่องปรับความชื้นนี้ผิดคาดคือห้องผมความชื้นอยู่ระดับ 54-65% แทบตลอดทำให้น้ำที่ใส่ไว้2.5ลิตรอยู่ได้ 2-3วันเลยทีเดียวครับ ซึ่งต่างจากที่ทำงานซึ่งอยู่แถวๆ 38-49% แม้จะทำความชื้นแล้วก็ตามทำให้น้ำที่ใส่ได้ถึง4ลิตรแต่หมดใน7ชม คาดว่าน่าจะเป็นความต่างของแอร์บ้านกับแอร์อาคารที่ทำให้เกิดความชื้นที่ต่างกันมากๆ
ปล.จริงๆผมแอบเสียดายเหมือนกันน่าจะเอารุ่น KC-D60TA ไปเลยอัตราการไหลของอากาศจะได้ดีขึ้นและเสียงจะเงียบลง เพิ่มแค่ 4พันเอง (ตอนนั้นดันแอบงก) แต่ถ้าใครมีงบเยอะจริงๆแนะนำ KI-A60TA ตัวท็อปสุดที่ผมรีวิวกระทู้ก่อนจะดีสุดเลยครับประสิทธิภาพดีมากจริงๆแต่ราคาก็โดดไป2เท่าตัวเลยเหมือนกันทั้งตัวเครื่องและไส้กรอง
สำหรับท่านที่ขี้เกียจอ่านสามารถดูได้จากคลิปนี้เลยครับ