สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
เอาจริงๆไม่เพิ้อฝันนะครับ ความจริงคือเงินเดือนราชการนั้นเค้าคำนวนจากผลตอบแทนตลอดชีวิต ของทั้งรัฐและเอกชนเทียบกันครับ
ซึ่งจริงๆเคยมีงานวิจัย(ตอนก่อนเค้าจะทำ 15000 )ครับ
ว่าในระดับต่ำกว่าปริญญาตรีนั้น ราชการจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยตลอดชีวิตมากกว่าเอกชนครับ
ส่วนระดับสูงกว่าปริญญาตรีนั้น เอกชนจะให้เยอะกว่าในพื้นที่กทม.และปริมลฑล แต่ราชการจะให้เยอะกว่าในเขตต่างจังหวัด(ที่ไม่ใช่จังหวัดอุตสาหกรรม หรือจังหวัดท่องเทียว พวก ระยอง ชลบุรี บลาๆ)
ซึ่งหลังจากปรับ 15000 แล้ว ความจริงจะทำให้ราชการจะมีผลประโยชน์ตลอดชีวิต มากว่ากับเอกชนในกทม. นิดหน่อยครับ
แต่ทำไมเรามองเห็นราชการเงินเดือนน้อยหล่ะ
คำตอบคือ การกระจายเงินเดือนไงและสวัสดิการไงครับ
อย่างที่บอกครับเราใช้ค่าเฉลี่ยพูดกัน ดังนั้นงานเอกชนมีคนที่ได้มากกว่า และมีคนน้อยกว่าราชการ ประเด็นคือราชการเงินเดือนมันคือค่าเฉลี่ยเท่ากันหมด จบใหม่เก่งสุด โง่สุด มันก็ได้ 15000 ทำงานไปถ้าอายุราชการเท่าๆกันมันก็ไม่หนีกันมาก แต่เอกชนกว้างครับ บางคน จบตรีอายุ 30 กว่าๆ เงินเดือนยังไม่ถึง 20k เยอะแยะ คนส่วนใหญ่จริงๆก็เงินไม่หนีจากรับราชการไปเยอะหรอกครับ(กลุ่มเพื่อนผมที่ทำงานเอกชน เอาจริงส่วนใหญ่เอาเข้าจริงๆ ถ้าไม่ใช่กลุ่มอาชีพพิเศษเงินเดือนไม่ได้เยอะกว่าผมมาก) เพียงแต่อีกฝั่งนึงของเงินเดือน คนอายุ 30 ที่เก่ง เทพ จังหว่ะดี มันสามารถไปได้ถึง 100-200k ซึ่งคนกลุ่มนี้แหละมันสร้างอิมเมจที่ว่าทำเอกชนสามารถได้เงินเดือนเป็นแสนๆ ตั้งแต่อายุน้อยๆ (ซึ่งราชการเป็นไปไม่ได้) มันจึงเกิดความรู้สึกที่เอกชนสามารถให้เงินเดือนเยอะกว่าราชการได้มาก (โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงความจริงในเชิงที่ว่าคนที่ได้เงินเดือนระดับนั้นมีปริมาณเท่าไหร่)
อีกส่วนอย่างที่บอกไปข้างต้นว่าเค้าเอาสวัสดิการไปคิดด้วย ซึ่งสวัสดิการที่คนส่วนใหญ่มองมักจะเห้นไปที่พวกการรักษาพยาบาล แต่ว่นตัวผมว่าไม่ใช่ ผมว่าบำนาญ และบำเหน็จตกทอด ผมเคยคำนวนคร่าวๆนะ สายผมถ้ารับราชการไปเรื่อยๆ (เงินเฟ้อปีละ 3% ฐานเงินเดือนปรับตามเงินเฟ้อ) อีก 35 ปี ผมเกษียณ ผมจะได้บำนาญราวๆ เดือนละ 100k (ราวๆ 40k ปัจจุบัน) กบข.3-4 ล้าน บำเหน็จตกทอด 3-4 ล้าน ทีนี้ถ้าผมคิดว่าผมจะตายตอนซัก 80 ปี หรือรับบำนาญไป 20 ปี ซึ่งถ้าผมทำงานเอกชนและผมต้องการให้มีเงินหลังเกษียณใช้เท่ากับรับราชการ นั้นผมต้องเริ่มออมจากปัจจุบันราวๆเดือนละ 26k ไป 35 ปี(โดยที่ได้ดอกเบี้ยการลงทุน 4%) ผมจึงมีเงินเหลือเก็บและใช้เท่ากับรับราชการ (ตรงนี้คิดแค่ส่วนที่เป็นตัวเงินนะครับ ไม่รวมสวัสดิการอื่นๆพวกการรักษาพยาบาล ค่าเรียนบุตรหลาน โอกาสรับทุนศึกษาต่อทั้งในและต่างประเทศ อย่างผมเองก็รับทุนเรียนนอกไปแล้ว 4 ปี เป็นค่าใช้จ่ายราวๆ 7 ล้านบาท)
ดังนั้นพูดง่ายๆคือถ้าหากจะเอาเงินเอกชนเทียบกับราชการคุณอาจต้องลบเงินเดือนเอกชนไปก่อนเดือนละ 20k กว่าๆเลยหล่ะ (คือต้องมากกว่างานราชการ 20k ) ซึ่งส่วนต่าง 20k นี้อาจดูน่ากลัวเมื่อตอนคุณเริ่มทำงาน แต่ก็จะง่ายขึ้น เมื่อคุณทำงานไปซักพัก (แต่อย่าลืมความเสี่ยงต่างๆในเอกชนที่มากกว่าเช่นกัน เช่นจะมีกี่คนที่ทำงานเอกชนได้จนครบ 35 ปี ถ้าจำนวนปีที่เก็บเงินทำไม่ถึง 35 ปี การเก็บในแต่ละปีก็ต้องมากขึ้นตามไปด้วย) แต่นั่นแหละ มันอยู่ที่ตัวคุณด้วยว่าคุณคิดว่าศักยภาพคุณแค่ใหน ถ้าคุณเก่ง อยู่ในอันดับบนๆของกลุ่มอาชีพคนส่วนต่าง 20k คุณทำได้อยุ่แล้ว แต่สำหรับคนทั่วๆไปผมว่าก็เหนื่อยหน่อย ดังนั้นส่วนตัวถ้าคุณไม่มั่นใจในศักยภาพตัวเองขนาดนั้น (เอาแบบมั่นใจจริงนะไม่เข้าข้างตัวเอง) งานราชการจริงๆไม่ได้รายได้น้อยครับ เพียงแต่ส่วนนึงของรายได้คุณมันไปอยู่ที่สวัสดิการและรายได้อนาคต(เหมือนเค้าบังคับคุณเก็บตังนั่นแหละครับ)
อีกส่วนที่ผมว่ามีประโยชน์กับราชการแต่คนไม่พูดถึงคือระบบสหกรณ์ ผมเชื่อว่าพอพูดคนส่วนนึงก็จะเห็นแง่ลบที่ว่าข้าราชการเป็นหนี้เยอะ แต่จริงๆมันก็มีสาเหตุครับ อย่างผมเองนั้นเป็นหนี้เยอะ เพราะการกู้ในบ้านเกิดที่ตัวผมหมดครับ เพราะดอกเบี้ยกู้เงินผมนั้นต่ำกว่าแฟนมาก กู้ไม่มีคนค้ำ 6.5 (ธนาคารทั่วไปนี่ 10 ขึ้นนะครับ) กู้บ้าน กู้รถ 2% ก็มีมาบ่อยๆ แน่นอนเงินพวกนี้ถ้ากู้มาสุรุยสุร่ายมันก็หมดครับ แต่กลับกันผมเองกู้มาลงทุน กลายเป็นว่าผมทำธุรกิจง่ายกว่าชาวบ้านเค้า เพราะดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุนก็ต่ำกว่ามาก สบายตัวกว่าเยอะ นอกจากนี้การลงทุนก็ง่ายกว่าครับ เพราะหุ้นสหกรณ์นั้นให้ผลตอบแทน 5% ที่มีความเสี่ยงต่ำพอๆกับฝากประจำ ซึ่งเอาจริงๆมันไม่ง่ายนะครับที่จะหาการลงทุนแบบนี้ (บางทีเหมือนมีแจกเงินแบบแปลกๆครับ ตอนน้ำท่วมสหกรณ์ปล่อยเงินกู้ร้อยละ 2 คนละ 100k ผมก็กู้มาแล้วเอามาลงหุ้น กลายเป็นกิน 3% ฟรีๆ หรือมีช่วงนึงให้กู้ซื้อรถ 0% มีญาติผมคนนึงเค้าจะซื้อรถเงินสด ผมเลยเสนอกู้สวัสดิการซื้อให้เค้าแล้วลดราคาให้เค้า 2-3 % แล้วเอาเงินนั้นไปแช่กินดอกเบี้ยออมทรัพย์พิเศษ 4.5% ต่อปี)
ซึ่งจริงๆเคยมีงานวิจัย(ตอนก่อนเค้าจะทำ 15000 )ครับ
ว่าในระดับต่ำกว่าปริญญาตรีนั้น ราชการจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยตลอดชีวิตมากกว่าเอกชนครับ
ส่วนระดับสูงกว่าปริญญาตรีนั้น เอกชนจะให้เยอะกว่าในพื้นที่กทม.และปริมลฑล แต่ราชการจะให้เยอะกว่าในเขตต่างจังหวัด(ที่ไม่ใช่จังหวัดอุตสาหกรรม หรือจังหวัดท่องเทียว พวก ระยอง ชลบุรี บลาๆ)
ซึ่งหลังจากปรับ 15000 แล้ว ความจริงจะทำให้ราชการจะมีผลประโยชน์ตลอดชีวิต มากว่ากับเอกชนในกทม. นิดหน่อยครับ
แต่ทำไมเรามองเห็นราชการเงินเดือนน้อยหล่ะ
คำตอบคือ การกระจายเงินเดือนไงและสวัสดิการไงครับ
อย่างที่บอกครับเราใช้ค่าเฉลี่ยพูดกัน ดังนั้นงานเอกชนมีคนที่ได้มากกว่า และมีคนน้อยกว่าราชการ ประเด็นคือราชการเงินเดือนมันคือค่าเฉลี่ยเท่ากันหมด จบใหม่เก่งสุด โง่สุด มันก็ได้ 15000 ทำงานไปถ้าอายุราชการเท่าๆกันมันก็ไม่หนีกันมาก แต่เอกชนกว้างครับ บางคน จบตรีอายุ 30 กว่าๆ เงินเดือนยังไม่ถึง 20k เยอะแยะ คนส่วนใหญ่จริงๆก็เงินไม่หนีจากรับราชการไปเยอะหรอกครับ(กลุ่มเพื่อนผมที่ทำงานเอกชน เอาจริงส่วนใหญ่เอาเข้าจริงๆ ถ้าไม่ใช่กลุ่มอาชีพพิเศษเงินเดือนไม่ได้เยอะกว่าผมมาก) เพียงแต่อีกฝั่งนึงของเงินเดือน คนอายุ 30 ที่เก่ง เทพ จังหว่ะดี มันสามารถไปได้ถึง 100-200k ซึ่งคนกลุ่มนี้แหละมันสร้างอิมเมจที่ว่าทำเอกชนสามารถได้เงินเดือนเป็นแสนๆ ตั้งแต่อายุน้อยๆ (ซึ่งราชการเป็นไปไม่ได้) มันจึงเกิดความรู้สึกที่เอกชนสามารถให้เงินเดือนเยอะกว่าราชการได้มาก (โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงความจริงในเชิงที่ว่าคนที่ได้เงินเดือนระดับนั้นมีปริมาณเท่าไหร่)
อีกส่วนอย่างที่บอกไปข้างต้นว่าเค้าเอาสวัสดิการไปคิดด้วย ซึ่งสวัสดิการที่คนส่วนใหญ่มองมักจะเห้นไปที่พวกการรักษาพยาบาล แต่ว่นตัวผมว่าไม่ใช่ ผมว่าบำนาญ และบำเหน็จตกทอด ผมเคยคำนวนคร่าวๆนะ สายผมถ้ารับราชการไปเรื่อยๆ (เงินเฟ้อปีละ 3% ฐานเงินเดือนปรับตามเงินเฟ้อ) อีก 35 ปี ผมเกษียณ ผมจะได้บำนาญราวๆ เดือนละ 100k (ราวๆ 40k ปัจจุบัน) กบข.3-4 ล้าน บำเหน็จตกทอด 3-4 ล้าน ทีนี้ถ้าผมคิดว่าผมจะตายตอนซัก 80 ปี หรือรับบำนาญไป 20 ปี ซึ่งถ้าผมทำงานเอกชนและผมต้องการให้มีเงินหลังเกษียณใช้เท่ากับรับราชการ นั้นผมต้องเริ่มออมจากปัจจุบันราวๆเดือนละ 26k ไป 35 ปี(โดยที่ได้ดอกเบี้ยการลงทุน 4%) ผมจึงมีเงินเหลือเก็บและใช้เท่ากับรับราชการ (ตรงนี้คิดแค่ส่วนที่เป็นตัวเงินนะครับ ไม่รวมสวัสดิการอื่นๆพวกการรักษาพยาบาล ค่าเรียนบุตรหลาน โอกาสรับทุนศึกษาต่อทั้งในและต่างประเทศ อย่างผมเองก็รับทุนเรียนนอกไปแล้ว 4 ปี เป็นค่าใช้จ่ายราวๆ 7 ล้านบาท)
ดังนั้นพูดง่ายๆคือถ้าหากจะเอาเงินเอกชนเทียบกับราชการคุณอาจต้องลบเงินเดือนเอกชนไปก่อนเดือนละ 20k กว่าๆเลยหล่ะ (คือต้องมากกว่างานราชการ 20k ) ซึ่งส่วนต่าง 20k นี้อาจดูน่ากลัวเมื่อตอนคุณเริ่มทำงาน แต่ก็จะง่ายขึ้น เมื่อคุณทำงานไปซักพัก (แต่อย่าลืมความเสี่ยงต่างๆในเอกชนที่มากกว่าเช่นกัน เช่นจะมีกี่คนที่ทำงานเอกชนได้จนครบ 35 ปี ถ้าจำนวนปีที่เก็บเงินทำไม่ถึง 35 ปี การเก็บในแต่ละปีก็ต้องมากขึ้นตามไปด้วย) แต่นั่นแหละ มันอยู่ที่ตัวคุณด้วยว่าคุณคิดว่าศักยภาพคุณแค่ใหน ถ้าคุณเก่ง อยู่ในอันดับบนๆของกลุ่มอาชีพคนส่วนต่าง 20k คุณทำได้อยุ่แล้ว แต่สำหรับคนทั่วๆไปผมว่าก็เหนื่อยหน่อย ดังนั้นส่วนตัวถ้าคุณไม่มั่นใจในศักยภาพตัวเองขนาดนั้น (เอาแบบมั่นใจจริงนะไม่เข้าข้างตัวเอง) งานราชการจริงๆไม่ได้รายได้น้อยครับ เพียงแต่ส่วนนึงของรายได้คุณมันไปอยู่ที่สวัสดิการและรายได้อนาคต(เหมือนเค้าบังคับคุณเก็บตังนั่นแหละครับ)
อีกส่วนที่ผมว่ามีประโยชน์กับราชการแต่คนไม่พูดถึงคือระบบสหกรณ์ ผมเชื่อว่าพอพูดคนส่วนนึงก็จะเห็นแง่ลบที่ว่าข้าราชการเป็นหนี้เยอะ แต่จริงๆมันก็มีสาเหตุครับ อย่างผมเองนั้นเป็นหนี้เยอะ เพราะการกู้ในบ้านเกิดที่ตัวผมหมดครับ เพราะดอกเบี้ยกู้เงินผมนั้นต่ำกว่าแฟนมาก กู้ไม่มีคนค้ำ 6.5 (ธนาคารทั่วไปนี่ 10 ขึ้นนะครับ) กู้บ้าน กู้รถ 2% ก็มีมาบ่อยๆ แน่นอนเงินพวกนี้ถ้ากู้มาสุรุยสุร่ายมันก็หมดครับ แต่กลับกันผมเองกู้มาลงทุน กลายเป็นว่าผมทำธุรกิจง่ายกว่าชาวบ้านเค้า เพราะดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุนก็ต่ำกว่ามาก สบายตัวกว่าเยอะ นอกจากนี้การลงทุนก็ง่ายกว่าครับ เพราะหุ้นสหกรณ์นั้นให้ผลตอบแทน 5% ที่มีความเสี่ยงต่ำพอๆกับฝากประจำ ซึ่งเอาจริงๆมันไม่ง่ายนะครับที่จะหาการลงทุนแบบนี้ (บางทีเหมือนมีแจกเงินแบบแปลกๆครับ ตอนน้ำท่วมสหกรณ์ปล่อยเงินกู้ร้อยละ 2 คนละ 100k ผมก็กู้มาแล้วเอามาลงหุ้น กลายเป็นกิน 3% ฟรีๆ หรือมีช่วงนึงให้กู้ซื้อรถ 0% มีญาติผมคนนึงเค้าจะซื้อรถเงินสด ผมเลยเสนอกู้สวัสดิการซื้อให้เค้าแล้วลดราคาให้เค้า 2-3 % แล้วเอาเงินนั้นไปแช่กินดอกเบี้ยออมทรัพย์พิเศษ 4.5% ต่อปี)
แสดงความคิดเห็น
คนที่ทำงานราชการ พออ่านกระทู้ต่างๆในนี้ น้อยเนื้อต่ำใจกันบ้างมั้ยครับ เป็นคนดี ที่ไม่มีอนาคตป่าวครับ
สมัยนี้ เดกจบใหม่เห็นๆในนี้ก็ 25-30k กันแล้ว
เลยอยากถามว่ารู้สึกอย่างไรครับ แล้วจะซื้อบ้าน รถ เลี้ยงดูครอบครัวอย่างไร กับ ค่าครองชีพอันมหึมาขนาดนี้ ถ้าไม่กู้ ถ้ากู้จริง ก็โดนหักเงินออกอีก ตกมาให้ใช้ต่อเดือนอันน้อยนิด