ขอออกตัวก่อนว่า ตัวผมเองอาศัยอ่านรีวิวของสมาชิก ทำให้ไปไหนต่อไหนทั้งในและนอกประเทศได้อย่างไม่มีปัญหามาโดยตลอด
วันนี้กำลังจะจัดการเคลียร์ข้อมูลใน computer เหลือบไปเห็นงานเขียนของตัวเองที่ไปเที่ยวภาคเหนือเคยลงไว้ที่ gotoknow กำลังจะลบทิ้งอยู่แล้วเชียว
จิตใต้สำนึกมาสะกิดบอกว่า น่าเอาไปลงพันทิป ตอบแทนเพื่อนสมาชิกท่านอื่นดีกว่า ประกอบกับที่ว่า the winter is coming จึงเป็นที่มาของรีวิวอันนี้ครับ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับเพื่อนสมาชิกที่ ยังไม่มีแผนท่องเที่ยวสำหรับปีใหม่นี้ อาจเป็นทางเลือกหนึ่ง .. แหม แหม ช่วงนี้ตั๋วเครื่องบิน ไป กลับ เชียงใหม่ แข่งกันถูก ถูกกว่าตั๋วรถทัวร์เสียอีกซ๊ะด้วย
หมายเหตุ : เป็นการเดินทางเมื่อปี 2550 นะครับ
ตอนแรก ซากุระบาน...ที่บ้านม้งขุนช่างเคี่ยน
http://ppantip.com/topic/32502057
หลังจากชมซากุระเมืองไทยที่บ้านม้งขุนช่างเคี่ยนในช่วงเช้า พวกเราออกเดินทางต่อ ใช้เส้นทางหมายเลข 107 จากเชียงใหม่ ถึงอำเภอเชียงดาวระยะทาง ประมาณ ๗๐ กิโลเมตรครับ แต่ต้องตัดเข้าเขา เลยทำความเร็วไม่ได้เหมือนทางตรงๆ ไปถึงเชียงดาวตอนประมาณสามโมงเย็น แวะดูร้าน (เรียกว่าเพิง น่าจะใกลัเคียงกว่า หุ หุ) ของน้องชายทีจะทำร้านกาแฟริมทางก่อนขึ้นสันป่าเกี๊ยะ..
มองจากเพิงเมื่อตะกี้ จะเห็นวิวดอยหลวงเชียงดาว จะ จะ อย่างนี้เลยครับ
เป็นครั้งแรกในชีวิตการเป็นพี่น้อง ที่เห็นด้วยกับความคิดเค้าเลยครับ
ไปต่อเลยดีกว่า.....
ทางขึ้นดอย (ห่างจากเพิงตะกี้ประมาณ ๑ ก.ม.) คือบ้านแม่นะ เป็นซอยเล็กๆ ปากทางจะมีป้ายว่าทางไปโรงเรียนวัดจอมคีรี และหน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตะมาน ๒๑ ก.ม. ขับตรงไปเรื่อยๆเลยครับ ที่พักน้องชายก็อยู่ในซอยนี้แหละ เราจอดรถเก๋งไว้ที่นี่ เพราะมันขึ้นไปม่ายด้ายยย
4WD น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดครับ น้องผมใช้ปิคอัพธรรมดา ก็ขึ้นได้เหมือนกันครับ แต่ที่สังเกตจากการขับรถตามหลังเค้า....โช้คมันตายไปหมดแล้วครับ หรือใครจะเอาเก๋งงามๆ ขึ้นไปไม่ว่ากัน ก็คำนวณค่าซ่อมช่วงล่างบวกไปเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับทริปนั้นด้วยละกัน เอิ๊กส์
ระยะทาง ๒๑ ก.ม. ที่ว่านั้น เป็นทางลูกรังเลนเดียว เป็นหลุมเป็นบ่อพอสังเขป เลาะเลียบวนขึ้นเขาไปเรื่อยๆครับ ไม่สูงชันมากให้หวาดเสียวเท่าไหร่ ตรงไหนที่ลาดชันและเป็นทางหักศอกมากหน่อย ก็จะราดซิเมนต์ไว้เป็นช่วงๆ มิฉะนั้น จะใช้งานไม่ได้ในหน้าฝนอ่ะครับ ทางคงไม่ใหญ่ไปกว่านี้แล้วครับ เนื่องจากกฎหมายกำหนดไว้ ห้ามไม่ให้ขยายทางในเขตป่าสงวน เกินกว่าที่ชาวบ้านถากถางไว้ (ใครอยากขับสบาย ๆ ก้ไปแก้ กม. ละกัน)
คราวนี้ไม่มีใครยอมนั่งกระบะท้าย เพราะไม่อยากหัวแดงเป็นฝรั่ง เลยเข้ามาแออัดยัดเยียดทำหัวกระด๊อก กระแด๊ก ไปตลอดทางอยู่ในรถ ใช้เวลาไปประมาณชั่วโมงครึ่ง ประมาณหกโมงเย็นก็มาถึงที่พักครับ เป็นบ้านปีกไม้ มีห้องนอนขนาดหกเตียงสองห้อง สองห้องน้ำพร้อมเครื่องทำน้ำอุ่น และห้องโถงใหญ่ ที่สามารถรับได้อีกเป็นสิบ
ผู้ที่จะนอนที่นี่ ติดต่อผู้ดูแล ชื่อ คุณ อ้วน (เบอร์โทร ติดต่อหลังไมค์ครับ) ไม่อนุญาตให้กางเต้นท์นะครับ
ที่หน้าบ้านมีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งกินลมชมดาวด้วยครับ
ทีนี่เป็นบ้านพักรับรองของหน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตะมาน มีอยู่แค่สามหลังครับ เป็นบ้านรับรองของหัวหน้าหน่วย หนึ่งหลัง ซึ่งเค้าจะสำรองไว้ให้หัวหน้าที่อาจจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่สามารถไปใช้ระเบียงที่อยู่ด้านหลังบ้านได้ครับ มีทางเดินแยกไปต่างหาก
เจ้าหน้าที่พูดคุยและให้บริการอย่างดีเยี่ยมเลยครับ เตรียมจัดโต๊ะอาหาร และกาแฟ ชาร้อนไว้ให้ด้วย
เรามาทันพอดีที่พระอาทิตย์จะลับเหลี่ยมเขา ช่างโรแมนติกและคลาสิคเสียนี่กระไร
คืนนั้น เรามีพรรคพวกมาสมทบอีกนับได้รวมเกือบยี่สิบชีวิต ผู้ใหญ่ตั้งวงดื่มเบียร์แก้หนาวกัน เด็กๆ นอนมองทะเลดาวที่กราดเกลื่อนอยู่เต็มฟ้าอย่างมีความสุข ใครจะเข้านอนกันกี่โมงกี่ยาม ก็ตามใจ แต่ ตอนเช้า ตีห้าคือเวลาที่นัดหมาย....
ยังไม่ตีห้าดี ก็มีคนกลัวว่าจะไม่ได้ภาพพระอาทิตย์ขึ้น มาปลุกให้ชาวบ้านที่กำลังซุกตัวอยู่ในผ้าห่มต้องกระวีกระวาดตามไปด้วย
เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่ได้เดินเครื่องปั่นไฟ หลังจากที่ปิดเครื่องไปเมื่อคืน ตอนสี่ทุ่ม ความที่คิดว่ามีบ้านพัก เลยไม่ได้เอาไฟฉายไปกัน ก็มะหงุมมะหงาหลาคว้าเสื้อหนาว ถุงมือ หมวกได้ ก็ไปขึ้นรถกัน ยังไงก็ไม่ลืมเอาเตาถ่าน มาม่ากระป๋อง กาแฟซองติดไปด้วย จากที่พักขับต่อไปอีกเพียง ๑ ก.ม. ก็จะไปถึงศูนย์ฝึกและอบรมเกษตรที่สูงของ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เราเห็นมีรถจอดอยู่ประมาณสามสิบกว่าคัน กางเต็นท์กันอยู่กระจัดกระจาย
บางคนที่มาก่อนได้ทำเลดี ที่โผล่หน้าออกมาทักทายพระอาทิตย์ขึ้นจากเต็นท์ได้เลย...
เราไปรอตั้งแต่แสงแรก นั่งรอไป ก่อไฟต้มน้ำไปด้วย จนพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาพ้นเหลี่ยมเขา
ทางซ้ายมือ ถัดจากตำแหน่งที่พระอาทิตย์ขึ้น จะเห็นดอยหลวงเชียงดาวทั้งดอยเลยครับ ดอยหลวงเชียงดาว ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่นั้น เป็นดอยศักดิ์สิทธิ์ เชื่อกันว่าเป็นที่สถิตถ์ของผู้รักษาเมืองเชียงใหม่ครับ
เราคงเคยเห็นภาพฟูจิซังกับซากุระ แทนสัญญลักษณ์ประเทศญี่ปุ่นกันมาแล้ว คราวนี้มาดูดอยหลวงเชียงดาวกับ นางพญาเสือโคร่งกันบ้าง ผมว่าสวยไม่แพ้กันเลยนะครับ
ชอบมุมนี้มาก ขอลงเพิ่มอีกสักรูปละกัน
เดิมนั้นศูนย์ฝึกและอบรมเกษตรที่สูงของ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นที่ตั้งของโครงการความร่วมมือระหว่างองค์กรอะไรสักอย่างของเยอรมัน ร่วมมือกับไทยในการให้ความรู้กับชาวเขาในการปลูกพืชทดแทนการปลูกฝิ่นอ่ะครับ เลยมีกอดอกฝิ่นปลูกไว้อยู่หนึ่งกอ เพื่อเป็นที่ระลึก
มาดูแบบ panorama กันบ้าง งดงามอะไรปานนั้นนนนน
ที่เห็นเขียวๆ ข้างหลังสามสาวนั้น ผมสังเกตุเห็นว่าเป็นตันนางพญาเสือโคร่ง ที่เริ่มมีปุ่มเล็กๆที่กำลังจะกลายเป็นดอกและบานต่อไป เจ้าหน้าที่ที่นั่นบอกว่า น่าจะบานเต็มหุบเขาในช่วงปลายมกราครับ
อันนี้เป็นบ้านพักรับรองของศูนย์ ฯ ครับ ช่วงฤดูหนาวจากที่พักในช่วงเช้าจะมองเห็นทะเลหมอกหนา กลางคืนจะเห็นดาว เต็มท้องฟ้าและแสงระยิบระยับจากเมืองเชียงดาว หากจะพักที่นี่ ควรติดต่อของอนุญาตจากคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เสียก่อน โดยติดต่อสถานีวิจัยเกษตรที่สูงป่าเกี๊ยะดอยเชียงดาว คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อย่างน้อย 10 วันล่วงหน้า โทร. 0 5322 2014, 0 5394 4052
ที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก มีเรือนพักซึ่งปกติเป็นที่พักของนักศึกษาคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาฝึกงาน มีห้องน้ำและห้องครัวพร้อมเครื่องครัว ประกอบอาหารได้ แต่ต้องนำอาหารขึ้นมาด้วย เสียค่าบำรุงสถานที่คนละ 50 บาทต่อคืน
พอสายหน่อยประมาณ ๙.๐๐ น. เรากลับมาที่พัก เพื่อรับประทานอาหารเช้าท่ามกลางทะเลหมอกที่ระเบียงเมื่อวานนี้ครับ
คนแก่เดินไปเดินมาจนหอบ ต้องขอเวลานอกนั่งพักสูดเอาออกซิเจนเข้าปอดก่อน
แล้วก็มานั่งจิบกาแฟ กินลมชมวิว ระหว่างรอให้คนอื่นไปทำมื้อเช้าให้ อิ อิ
มื้อเช้าของเราเป็นข้าวต้มร้อนๆ กับไข่เจียว ปลากระป๋อง (ต้องยี่ห้อนี้เลย ayam อร่อยที่ซู๊ดดดด) หอยลายทรงเครื่อง ...สังเกตทะเลหมอกครับ ..ยิ่งสายยึ่งฟูขึ้นมา ฝั่งตรงข้ามที่เห็นลิบๆ นั่น คือห้วยน้ำดังครับ
อิ่มท้องแล้ว รอข้าวเรียงเม็ด เราก็พร้อมออกเดินทางเข้ากลับเมืองเชียงใหม่
ตอนขาลงเราแวะเยี่ยมหมู่บ้านกระเหรี่ยงคอยาวด้วย เป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีขายของที่ระลึกนิดหน่อย
ขอจบด้วยรูปนี้แล้วกัน...สำหรับทริปนี้
“ไปได้ทุกที่ ที่มีเธอ”
[CR] กลางคืนนอนดูทะเลดาว & ตอนเช้าดูทะเลหมอก..ที่สันป่าเกี๊ยะ
วันนี้กำลังจะจัดการเคลียร์ข้อมูลใน computer เหลือบไปเห็นงานเขียนของตัวเองที่ไปเที่ยวภาคเหนือเคยลงไว้ที่ gotoknow กำลังจะลบทิ้งอยู่แล้วเชียว
จิตใต้สำนึกมาสะกิดบอกว่า น่าเอาไปลงพันทิป ตอบแทนเพื่อนสมาชิกท่านอื่นดีกว่า ประกอบกับที่ว่า the winter is coming จึงเป็นที่มาของรีวิวอันนี้ครับ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับเพื่อนสมาชิกที่ ยังไม่มีแผนท่องเที่ยวสำหรับปีใหม่นี้ อาจเป็นทางเลือกหนึ่ง .. แหม แหม ช่วงนี้ตั๋วเครื่องบิน ไป กลับ เชียงใหม่ แข่งกันถูก ถูกกว่าตั๋วรถทัวร์เสียอีกซ๊ะด้วย
หมายเหตุ : เป็นการเดินทางเมื่อปี 2550 นะครับ
ตอนแรก ซากุระบาน...ที่บ้านม้งขุนช่างเคี่ยน
http://ppantip.com/topic/32502057
หลังจากชมซากุระเมืองไทยที่บ้านม้งขุนช่างเคี่ยนในช่วงเช้า พวกเราออกเดินทางต่อ ใช้เส้นทางหมายเลข 107 จากเชียงใหม่ ถึงอำเภอเชียงดาวระยะทาง ประมาณ ๗๐ กิโลเมตรครับ แต่ต้องตัดเข้าเขา เลยทำความเร็วไม่ได้เหมือนทางตรงๆ ไปถึงเชียงดาวตอนประมาณสามโมงเย็น แวะดูร้าน (เรียกว่าเพิง น่าจะใกลัเคียงกว่า หุ หุ) ของน้องชายทีจะทำร้านกาแฟริมทางก่อนขึ้นสันป่าเกี๊ยะ..
มองจากเพิงเมื่อตะกี้ จะเห็นวิวดอยหลวงเชียงดาว จะ จะ อย่างนี้เลยครับ
เป็นครั้งแรกในชีวิตการเป็นพี่น้อง ที่เห็นด้วยกับความคิดเค้าเลยครับ
ไปต่อเลยดีกว่า.....
ทางขึ้นดอย (ห่างจากเพิงตะกี้ประมาณ ๑ ก.ม.) คือบ้านแม่นะ เป็นซอยเล็กๆ ปากทางจะมีป้ายว่าทางไปโรงเรียนวัดจอมคีรี และหน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตะมาน ๒๑ ก.ม. ขับตรงไปเรื่อยๆเลยครับ ที่พักน้องชายก็อยู่ในซอยนี้แหละ เราจอดรถเก๋งไว้ที่นี่ เพราะมันขึ้นไปม่ายด้ายยย
4WD น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดครับ น้องผมใช้ปิคอัพธรรมดา ก็ขึ้นได้เหมือนกันครับ แต่ที่สังเกตจากการขับรถตามหลังเค้า....โช้คมันตายไปหมดแล้วครับ หรือใครจะเอาเก๋งงามๆ ขึ้นไปไม่ว่ากัน ก็คำนวณค่าซ่อมช่วงล่างบวกไปเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับทริปนั้นด้วยละกัน เอิ๊กส์
ระยะทาง ๒๑ ก.ม. ที่ว่านั้น เป็นทางลูกรังเลนเดียว เป็นหลุมเป็นบ่อพอสังเขป เลาะเลียบวนขึ้นเขาไปเรื่อยๆครับ ไม่สูงชันมากให้หวาดเสียวเท่าไหร่ ตรงไหนที่ลาดชันและเป็นทางหักศอกมากหน่อย ก็จะราดซิเมนต์ไว้เป็นช่วงๆ มิฉะนั้น จะใช้งานไม่ได้ในหน้าฝนอ่ะครับ ทางคงไม่ใหญ่ไปกว่านี้แล้วครับ เนื่องจากกฎหมายกำหนดไว้ ห้ามไม่ให้ขยายทางในเขตป่าสงวน เกินกว่าที่ชาวบ้านถากถางไว้ (ใครอยากขับสบาย ๆ ก้ไปแก้ กม. ละกัน)
คราวนี้ไม่มีใครยอมนั่งกระบะท้าย เพราะไม่อยากหัวแดงเป็นฝรั่ง เลยเข้ามาแออัดยัดเยียดทำหัวกระด๊อก กระแด๊ก ไปตลอดทางอยู่ในรถ ใช้เวลาไปประมาณชั่วโมงครึ่ง ประมาณหกโมงเย็นก็มาถึงที่พักครับ เป็นบ้านปีกไม้ มีห้องนอนขนาดหกเตียงสองห้อง สองห้องน้ำพร้อมเครื่องทำน้ำอุ่น และห้องโถงใหญ่ ที่สามารถรับได้อีกเป็นสิบ
ผู้ที่จะนอนที่นี่ ติดต่อผู้ดูแล ชื่อ คุณ อ้วน (เบอร์โทร ติดต่อหลังไมค์ครับ) ไม่อนุญาตให้กางเต้นท์นะครับ
ที่หน้าบ้านมีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งกินลมชมดาวด้วยครับ
ทีนี่เป็นบ้านพักรับรองของหน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตะมาน มีอยู่แค่สามหลังครับ เป็นบ้านรับรองของหัวหน้าหน่วย หนึ่งหลัง ซึ่งเค้าจะสำรองไว้ให้หัวหน้าที่อาจจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่สามารถไปใช้ระเบียงที่อยู่ด้านหลังบ้านได้ครับ มีทางเดินแยกไปต่างหาก
เจ้าหน้าที่พูดคุยและให้บริการอย่างดีเยี่ยมเลยครับ เตรียมจัดโต๊ะอาหาร และกาแฟ ชาร้อนไว้ให้ด้วย
เรามาทันพอดีที่พระอาทิตย์จะลับเหลี่ยมเขา ช่างโรแมนติกและคลาสิคเสียนี่กระไร
คืนนั้น เรามีพรรคพวกมาสมทบอีกนับได้รวมเกือบยี่สิบชีวิต ผู้ใหญ่ตั้งวงดื่มเบียร์แก้หนาวกัน เด็กๆ นอนมองทะเลดาวที่กราดเกลื่อนอยู่เต็มฟ้าอย่างมีความสุข ใครจะเข้านอนกันกี่โมงกี่ยาม ก็ตามใจ แต่ ตอนเช้า ตีห้าคือเวลาที่นัดหมาย....
ยังไม่ตีห้าดี ก็มีคนกลัวว่าจะไม่ได้ภาพพระอาทิตย์ขึ้น มาปลุกให้ชาวบ้านที่กำลังซุกตัวอยู่ในผ้าห่มต้องกระวีกระวาดตามไปด้วย
เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่ได้เดินเครื่องปั่นไฟ หลังจากที่ปิดเครื่องไปเมื่อคืน ตอนสี่ทุ่ม ความที่คิดว่ามีบ้านพัก เลยไม่ได้เอาไฟฉายไปกัน ก็มะหงุมมะหงาหลาคว้าเสื้อหนาว ถุงมือ หมวกได้ ก็ไปขึ้นรถกัน ยังไงก็ไม่ลืมเอาเตาถ่าน มาม่ากระป๋อง กาแฟซองติดไปด้วย จากที่พักขับต่อไปอีกเพียง ๑ ก.ม. ก็จะไปถึงศูนย์ฝึกและอบรมเกษตรที่สูงของ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เราเห็นมีรถจอดอยู่ประมาณสามสิบกว่าคัน กางเต็นท์กันอยู่กระจัดกระจาย
บางคนที่มาก่อนได้ทำเลดี ที่โผล่หน้าออกมาทักทายพระอาทิตย์ขึ้นจากเต็นท์ได้เลย...
เราไปรอตั้งแต่แสงแรก นั่งรอไป ก่อไฟต้มน้ำไปด้วย จนพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาพ้นเหลี่ยมเขา
ทางซ้ายมือ ถัดจากตำแหน่งที่พระอาทิตย์ขึ้น จะเห็นดอยหลวงเชียงดาวทั้งดอยเลยครับ ดอยหลวงเชียงดาว ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่นั้น เป็นดอยศักดิ์สิทธิ์ เชื่อกันว่าเป็นที่สถิตถ์ของผู้รักษาเมืองเชียงใหม่ครับ
เราคงเคยเห็นภาพฟูจิซังกับซากุระ แทนสัญญลักษณ์ประเทศญี่ปุ่นกันมาแล้ว คราวนี้มาดูดอยหลวงเชียงดาวกับ นางพญาเสือโคร่งกันบ้าง ผมว่าสวยไม่แพ้กันเลยนะครับ
ชอบมุมนี้มาก ขอลงเพิ่มอีกสักรูปละกัน
เดิมนั้นศูนย์ฝึกและอบรมเกษตรที่สูงของ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นที่ตั้งของโครงการความร่วมมือระหว่างองค์กรอะไรสักอย่างของเยอรมัน ร่วมมือกับไทยในการให้ความรู้กับชาวเขาในการปลูกพืชทดแทนการปลูกฝิ่นอ่ะครับ เลยมีกอดอกฝิ่นปลูกไว้อยู่หนึ่งกอ เพื่อเป็นที่ระลึก
มาดูแบบ panorama กันบ้าง งดงามอะไรปานนั้นนนนน
ที่เห็นเขียวๆ ข้างหลังสามสาวนั้น ผมสังเกตุเห็นว่าเป็นตันนางพญาเสือโคร่ง ที่เริ่มมีปุ่มเล็กๆที่กำลังจะกลายเป็นดอกและบานต่อไป เจ้าหน้าที่ที่นั่นบอกว่า น่าจะบานเต็มหุบเขาในช่วงปลายมกราครับ
อันนี้เป็นบ้านพักรับรองของศูนย์ ฯ ครับ ช่วงฤดูหนาวจากที่พักในช่วงเช้าจะมองเห็นทะเลหมอกหนา กลางคืนจะเห็นดาว เต็มท้องฟ้าและแสงระยิบระยับจากเมืองเชียงดาว หากจะพักที่นี่ ควรติดต่อของอนุญาตจากคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เสียก่อน โดยติดต่อสถานีวิจัยเกษตรที่สูงป่าเกี๊ยะดอยเชียงดาว คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อย่างน้อย 10 วันล่วงหน้า โทร. 0 5322 2014, 0 5394 4052
ที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก มีเรือนพักซึ่งปกติเป็นที่พักของนักศึกษาคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาฝึกงาน มีห้องน้ำและห้องครัวพร้อมเครื่องครัว ประกอบอาหารได้ แต่ต้องนำอาหารขึ้นมาด้วย เสียค่าบำรุงสถานที่คนละ 50 บาทต่อคืน
พอสายหน่อยประมาณ ๙.๐๐ น. เรากลับมาที่พัก เพื่อรับประทานอาหารเช้าท่ามกลางทะเลหมอกที่ระเบียงเมื่อวานนี้ครับ
คนแก่เดินไปเดินมาจนหอบ ต้องขอเวลานอกนั่งพักสูดเอาออกซิเจนเข้าปอดก่อน
แล้วก็มานั่งจิบกาแฟ กินลมชมวิว ระหว่างรอให้คนอื่นไปทำมื้อเช้าให้ อิ อิ
มื้อเช้าของเราเป็นข้าวต้มร้อนๆ กับไข่เจียว ปลากระป๋อง (ต้องยี่ห้อนี้เลย ayam อร่อยที่ซู๊ดดดด) หอยลายทรงเครื่อง ...สังเกตทะเลหมอกครับ ..ยิ่งสายยึ่งฟูขึ้นมา ฝั่งตรงข้ามที่เห็นลิบๆ นั่น คือห้วยน้ำดังครับ
อิ่มท้องแล้ว รอข้าวเรียงเม็ด เราก็พร้อมออกเดินทางเข้ากลับเมืองเชียงใหม่
ตอนขาลงเราแวะเยี่ยมหมู่บ้านกระเหรี่ยงคอยาวด้วย เป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีขายของที่ระลึกนิดหน่อย
ขอจบด้วยรูปนี้แล้วกัน...สำหรับทริปนี้
“ไปได้ทุกที่ ที่มีเธอ”