เขียนโดย Skyforever
คำว่า "ยากเกินไป" คำๆนี้เป็นคำพูดที่ผมมักจะได้ยินบ่อยๆจากบรรดานักลงทุนที่พูดถึงหุ้นบางตัว ที่เขาไม่ค่อยเข้าใจ บรรดานักลงทุนที่มีชื่อเสียงและเป็นที่น่านับถือหลายๆคนก็มักจะคอยย้ำเตือน ให้นักลงทุนรุ่นใหม่ๆ ลงทุนในหุ้นที่เข้าใจง่าย และหนึ่งในคำพูดที่นิยมใช้เป็นข้อเตือนใจกันคือ "อย่าโลภเกินความรู้" เพราะการที่เราโลภและไปซื้อหุ้นที่เราไม่ค่อยเข้าใจจะทำให้เรามีโอกาสผิดพลาดและขาดทุนสูง
คำว่า "ยากเกินไป" แม้จะเขียนได้แบบเดียว อ่านได้แบบเดียว แต่ความหมายและการตีความสำหรับแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันออกไป ซึ่งจากประสบการณ์ของผม พบว่าคนจำนวนมากมักจะตีความหุ้นใดหุ้นหนึ่งว่าเป็น "หุ้นที่ยากเกินไป" สำหรับเขาก็ต่อเมื่อเขาพบว่าหุ้นเหล่านั้นเป็นหุ้นในกิจการที่ไม่ค่อยคุ้น เคย รูปแบบการทำธุรกิจเข้าใจได้ยากต้องใช้เวลาในการศึกษามากกว่าปกติ การคิดหากำไรในอนาคตต้องใช้การคำนวณซับซ้อนกว่าปกติ การประเมินมูลค่าของบริษัทยากและใช้สูตรมากมาย ธุรกิจอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์หรือกฎหมายบางอย่างที่พิเศษกว่าธุรกิจอื่นซึ่งต้อง ใช้เวลาในการศึกษากฎเกณฑ์เหล่านั้น
แต่ สำหรับผมแล้ว คำว่า "ยากเกินไป" คงไม่ได้หมายถึงความยากในการทำความเข้าใจธุรกิจ หรือความยากในการประเมินมูลค่าหุ้น เพราะผมเชื่อว่า ไม่ว่าธุรกิจนั้นๆจะเข้าใจยากแค่ไหน ประเมินยากเพียงไร หากเราตั้งใจศึกษาจริงๆ เราก็สามารถที่จะเข้าใจได้ในที่สุด แต่คำว่า "ยากเกินไป" สำหรับผมแล้ว น่าจะหมายถึงความยากในการคาดการณ์อนาคตของกิจการ" มากกว่า
ในชีวิตจริงหากเราได้ลงไปศึกษาในรายละเอียดของหุ้น อย่างจริงๆจังๆจนมีความเข้าใจในตัวธุรกิจ เราจะสามารถแยกหุ้นเหล่านั้นได้เป็น 3 แบบ คือ หุ้นกลุ่มแรกเป็นหุ้นที่มั่นใจว่ากิจการในอนาคตจะเติบโตดี หุ้นกลุ่มที่สองเป็นหุ้นที่มั่นใจว่ากิจการในอนาคตจะไม่เติบโต(เติบโตน้อยๆ หรืออาจจะถดถอยลง) และหุ้นกลุ่มที่สามเป็นหุ้นที่ไม่สามารถบอกอนาคตได้ อนาคตมีความไม่แน่นอนสูงคาดการณ์ยาก ซึ่งการคาดการณ์ยากนี้ไม่ใช่ว่ายากในการทำความเข้าใจธุรกิจ แต่เป็นเพราะธรรมชาติของกิจการนั้นมีความไม่แน่ไม่นอนสูงมาก เช่นธุรกิจรับเหมาที่ต้องลุ้นผลการประมูลงาน เป็นต้น และในบรรดาหุ้นทั้ง 3 แบบนี้เราคงจะอยากลงทุนในหุ้นแบบแรกมากที่สุด เพราะเราคงจะอยากลงทุนในกิจการที่อนาคตมีความแน่นอนสูง สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเติบโตดีต่อไปในอนาคต
ดัง นั้นหากเราจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัทที่อนาคตมีความไม่แน่ไม่นอนสูง ด้วยเหตุผลว่า "ยากเกินไป" ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่หากเราหลีกเลี่ยงลงทุนในบางบริษัทที่ต้องใช้เวลาและความทุ่มเทในการศึกษา มากกว่าปกติ โดยให้เหตุผลว่า "ยากเกินไป" ก็อาจจะทำให้เราพลาดการลงทุนในบริษัทที่มีอนาคตที่ดีได้
$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$
ปล. คำว่าหุ้นที่ยากเกินความเข้าใจ ไม่ได้หมายถึงหุ้นนั้นไม่ดีนะครับ หากแต่ว่าถ้าเราตีโจทย์ยากๆนั้นแตกจึงค่อยเลือกลงทุนครับ แต่หากความรู้ของเรา ไม่พอ ตีโจทย์ทั้งปัจจุบันและอนาคตไม่ออก ก็อย่าไปเสี่ยงเพราะเราจะพลาดหมด ทั้งจังหวะเข้า หรือออก เรียกได้ว่า หมดอนาคตทางการลงทุนตั้งแต่ปฎิสนธิกันเลยทีเดียว ไม่มีโอกาสได้เติบใหญ่ในการลงทุน
หุ้นที่ยากเกินไป
คำว่า "ยากเกินไป" คำๆนี้เป็นคำพูดที่ผมมักจะได้ยินบ่อยๆจากบรรดานักลงทุนที่พูดถึงหุ้นบางตัว ที่เขาไม่ค่อยเข้าใจ บรรดานักลงทุนที่มีชื่อเสียงและเป็นที่น่านับถือหลายๆคนก็มักจะคอยย้ำเตือน ให้นักลงทุนรุ่นใหม่ๆ ลงทุนในหุ้นที่เข้าใจง่าย และหนึ่งในคำพูดที่นิยมใช้เป็นข้อเตือนใจกันคือ "อย่าโลภเกินความรู้" เพราะการที่เราโลภและไปซื้อหุ้นที่เราไม่ค่อยเข้าใจจะทำให้เรามีโอกาสผิดพลาดและขาดทุนสูง
คำว่า "ยากเกินไป" แม้จะเขียนได้แบบเดียว อ่านได้แบบเดียว แต่ความหมายและการตีความสำหรับแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันออกไป ซึ่งจากประสบการณ์ของผม พบว่าคนจำนวนมากมักจะตีความหุ้นใดหุ้นหนึ่งว่าเป็น "หุ้นที่ยากเกินไป" สำหรับเขาก็ต่อเมื่อเขาพบว่าหุ้นเหล่านั้นเป็นหุ้นในกิจการที่ไม่ค่อยคุ้น เคย รูปแบบการทำธุรกิจเข้าใจได้ยากต้องใช้เวลาในการศึกษามากกว่าปกติ การคิดหากำไรในอนาคตต้องใช้การคำนวณซับซ้อนกว่าปกติ การประเมินมูลค่าของบริษัทยากและใช้สูตรมากมาย ธุรกิจอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์หรือกฎหมายบางอย่างที่พิเศษกว่าธุรกิจอื่นซึ่งต้อง ใช้เวลาในการศึกษากฎเกณฑ์เหล่านั้น
แต่ สำหรับผมแล้ว คำว่า "ยากเกินไป" คงไม่ได้หมายถึงความยากในการทำความเข้าใจธุรกิจ หรือความยากในการประเมินมูลค่าหุ้น เพราะผมเชื่อว่า ไม่ว่าธุรกิจนั้นๆจะเข้าใจยากแค่ไหน ประเมินยากเพียงไร หากเราตั้งใจศึกษาจริงๆ เราก็สามารถที่จะเข้าใจได้ในที่สุด แต่คำว่า "ยากเกินไป" สำหรับผมแล้ว น่าจะหมายถึงความยากในการคาดการณ์อนาคตของกิจการ" มากกว่า
ในชีวิตจริงหากเราได้ลงไปศึกษาในรายละเอียดของหุ้น อย่างจริงๆจังๆจนมีความเข้าใจในตัวธุรกิจ เราจะสามารถแยกหุ้นเหล่านั้นได้เป็น 3 แบบ คือ หุ้นกลุ่มแรกเป็นหุ้นที่มั่นใจว่ากิจการในอนาคตจะเติบโตดี หุ้นกลุ่มที่สองเป็นหุ้นที่มั่นใจว่ากิจการในอนาคตจะไม่เติบโต(เติบโตน้อยๆ หรืออาจจะถดถอยลง) และหุ้นกลุ่มที่สามเป็นหุ้นที่ไม่สามารถบอกอนาคตได้ อนาคตมีความไม่แน่นอนสูงคาดการณ์ยาก ซึ่งการคาดการณ์ยากนี้ไม่ใช่ว่ายากในการทำความเข้าใจธุรกิจ แต่เป็นเพราะธรรมชาติของกิจการนั้นมีความไม่แน่ไม่นอนสูงมาก เช่นธุรกิจรับเหมาที่ต้องลุ้นผลการประมูลงาน เป็นต้น และในบรรดาหุ้นทั้ง 3 แบบนี้เราคงจะอยากลงทุนในหุ้นแบบแรกมากที่สุด เพราะเราคงจะอยากลงทุนในกิจการที่อนาคตมีความแน่นอนสูง สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเติบโตดีต่อไปในอนาคต
ดัง นั้นหากเราจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัทที่อนาคตมีความไม่แน่ไม่นอนสูง ด้วยเหตุผลว่า "ยากเกินไป" ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่หากเราหลีกเลี่ยงลงทุนในบางบริษัทที่ต้องใช้เวลาและความทุ่มเทในการศึกษา มากกว่าปกติ โดยให้เหตุผลว่า "ยากเกินไป" ก็อาจจะทำให้เราพลาดการลงทุนในบริษัทที่มีอนาคตที่ดีได้
$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$
ปล. คำว่าหุ้นที่ยากเกินความเข้าใจ ไม่ได้หมายถึงหุ้นนั้นไม่ดีนะครับ หากแต่ว่าถ้าเราตีโจทย์ยากๆนั้นแตกจึงค่อยเลือกลงทุนครับ แต่หากความรู้ของเรา ไม่พอ ตีโจทย์ทั้งปัจจุบันและอนาคตไม่ออก ก็อย่าไปเสี่ยงเพราะเราจะพลาดหมด ทั้งจังหวะเข้า หรือออก เรียกได้ว่า หมดอนาคตทางการลงทุนตั้งแต่ปฎิสนธิกันเลยทีเดียว ไม่มีโอกาสได้เติบใหญ่ในการลงทุน