หลังจากแยกทางกับเพื่อนๆน้องๆจากปารตี้เนื้อย่าง ก็ได้เดินทางกลับบ้านที่อยู่ค่อนข้างไกล ชายวัยกลางคนผมสกินเฮ้ด เสื้อคอวีสำดำกางเกงขา
ยาวพับขาสามส่วน รองเท้าแวนสีบลูเบริด ไม่มีถุงเท้า (เน่าเนอะ) สะพายเป้ใบใหญ่กันน้ำสีเขียว หน้ามันตัวหอมไปด้วยกลิ่นเนื้อย่าง เดินทางลงจากสถา
ณีรถไฟฟ้าเพื่อที่จะไปป้ายรถเมล์ ระหว่างเดินไปนั้นฝนก็พรำเบาๆ คนแถวนั้นค่อยๆกงร่มน้อยใหญ่เรียงรายสีสันสวยสะดุดตา ที่เห็นชัดเพราะ
ผมไม่มีร่มครับ
เลยเดินรับฝนเบาๆพร้อมกับทัศนีย์ภาพสวยๆไปจนถึงป้ายรถเมล์ ป้ายรถเมล์นั้นเรียงรายไปด้วยร้านขายต๊อกบกกีและของกินเล่นระหว่างรอรถ
นานาชนิด สายตาผมกลับไปสะดุดกับร้านขายปลาแท่งทอด ไม่ใช่ว่าอารมณ์อยากกิน(เพิ่งฟาดเนื้อย่างไปชุดใหญ่นี่นา) เพราะมีบุคคลที่ยืนหัน
หลังในชุดสีครีมที่กำลังรอปลาแท่งทอดอย่างใจจดใจจ่อ จนแม่ค้ายิ้มดีใจ จริงๆแล้วไม่ใช่แค่แม้ค้า เพราะผมเองที่ยืนรอรถเมล์ห่างไประยะ 5
เมตรก็ได้ยิ้มแล้ว ระหว่างรอรถ มองเธอคนนี้พร้อมเสียงฝนพรำเบาๆ สามารถฆ่าเวลาได้เยี่มเลยทีเดียว
จนกระทั่ง
เธอหันมา
เธอจ้อง
ผมจ้อง(ก็ดูอยู่ก่อนหน้าแล้ว)
เธอยังจ้อง
ผมหลบสายตาเบี่ยงไปมองดูรถที่มาว่าใช่เลขที่รอหรือไม่แก้เขิน
เธอหันกลับไป
.
.
.
.
.
.
ผมหันกลับไปดูใหม่(โดยอัฒโนมัติ)
เธอหันมา
แล้วหันกลับไป
เธอรวบผม แล้วหันกลับมายิ้ม
เธอยื้ม
ผมยิ้มทั้งใจ
รถเมล์สายที่รอได้ผ่านไปแล้ว....
แต่มันไม่สำคัญแล้วเพราะ รอยยิ้มของเธอ
เธอยิ้มอีก
รอยยิ้มผมเจื่อนลงเล็กน้อย
เธอยังคงยิ้ม
เริ่มสวนทางกับรอยยิ้มของผมที่เจื่อนและเบาบางลงเรื่อยๆ
เธอยังยิ้มอยู่
แต่
ผมไม่ได้ยิ้มแล้ว
ผมเดินจากมา ไม่ได้เดินไปขึ้นรถเมล์ แต่ ตรงไปที่สถาณีรถไฟฟ้าพร้อมตระหนักว่า
การย่างเนื้อไม่ทันสุกดีแล้วกิน ไม่ได้ก่อเกิดอาการแค่ท้องเสีย ณ ตอนนี้ ผมท้องเสีย และ เสียโอกาส
ณ ห้องน้ำสถาณี่รถไฟฟ้า ผมอธิฐานต่อม้วนกระดาษชำระว่า กลับออกไป ให้ได้เจอเธอตรงที่เดิม
แน่หละ
กระดาษชำระไม่ศักดิ์สิทธ์
เธอหายไปตลอกกาล
เรื่องนี้ไม่ใช่นิยายรักหรือละคร จึง ไม่มีตอนต่อไป คงเหลือโมเม้นเด็กๆไว้ ให้ผมฟังเพลงนี้
อินไปอีกหลายวัน
ท่านๆมี โมเม้นเด็กๆแบบนี้กันบ้างไหมนะ แชร์กันฟังหน่อย
" โมเม้น เด็กๆ "
ยาวพับขาสามส่วน รองเท้าแวนสีบลูเบริด ไม่มีถุงเท้า (เน่าเนอะ) สะพายเป้ใบใหญ่กันน้ำสีเขียว หน้ามันตัวหอมไปด้วยกลิ่นเนื้อย่าง เดินทางลงจากสถา
ณีรถไฟฟ้าเพื่อที่จะไปป้ายรถเมล์ ระหว่างเดินไปนั้นฝนก็พรำเบาๆ คนแถวนั้นค่อยๆกงร่มน้อยใหญ่เรียงรายสีสันสวยสะดุดตา ที่เห็นชัดเพราะ
ผมไม่มีร่มครับ
เลยเดินรับฝนเบาๆพร้อมกับทัศนีย์ภาพสวยๆไปจนถึงป้ายรถเมล์ ป้ายรถเมล์นั้นเรียงรายไปด้วยร้านขายต๊อกบกกีและของกินเล่นระหว่างรอรถ
นานาชนิด สายตาผมกลับไปสะดุดกับร้านขายปลาแท่งทอด ไม่ใช่ว่าอารมณ์อยากกิน(เพิ่งฟาดเนื้อย่างไปชุดใหญ่นี่นา) เพราะมีบุคคลที่ยืนหัน
หลังในชุดสีครีมที่กำลังรอปลาแท่งทอดอย่างใจจดใจจ่อ จนแม่ค้ายิ้มดีใจ จริงๆแล้วไม่ใช่แค่แม้ค้า เพราะผมเองที่ยืนรอรถเมล์ห่างไประยะ 5
เมตรก็ได้ยิ้มแล้ว ระหว่างรอรถ มองเธอคนนี้พร้อมเสียงฝนพรำเบาๆ สามารถฆ่าเวลาได้เยี่มเลยทีเดียว
จนกระทั่ง
เธอหันมา
เธอจ้อง
ผมจ้อง(ก็ดูอยู่ก่อนหน้าแล้ว)
เธอยังจ้อง
ผมหลบสายตาเบี่ยงไปมองดูรถที่มาว่าใช่เลขที่รอหรือไม่แก้เขิน
เธอหันกลับไป
.
.
.
.
.
.
ผมหันกลับไปดูใหม่(โดยอัฒโนมัติ)
เธอหันมา
แล้วหันกลับไป
เธอรวบผม แล้วหันกลับมายิ้ม
เธอยื้ม
ผมยิ้มทั้งใจ
รถเมล์สายที่รอได้ผ่านไปแล้ว....
แต่มันไม่สำคัญแล้วเพราะ รอยยิ้มของเธอ
เธอยิ้มอีก
รอยยิ้มผมเจื่อนลงเล็กน้อย
เธอยังคงยิ้ม
เริ่มสวนทางกับรอยยิ้มของผมที่เจื่อนและเบาบางลงเรื่อยๆ
เธอยังยิ้มอยู่
แต่
ผมไม่ได้ยิ้มแล้ว
ผมเดินจากมา ไม่ได้เดินไปขึ้นรถเมล์ แต่ ตรงไปที่สถาณีรถไฟฟ้าพร้อมตระหนักว่า
การย่างเนื้อไม่ทันสุกดีแล้วกิน ไม่ได้ก่อเกิดอาการแค่ท้องเสีย ณ ตอนนี้ ผมท้องเสีย และ เสียโอกาส
ณ ห้องน้ำสถาณี่รถไฟฟ้า ผมอธิฐานต่อม้วนกระดาษชำระว่า กลับออกไป ให้ได้เจอเธอตรงที่เดิม
แน่หละ
กระดาษชำระไม่ศักดิ์สิทธ์
เธอหายไปตลอกกาล
เรื่องนี้ไม่ใช่นิยายรักหรือละคร จึง ไม่มีตอนต่อไป คงเหลือโมเม้นเด็กๆไว้ ให้ผมฟังเพลงนี้
อินไปอีกหลายวัน
ท่านๆมี โมเม้นเด็กๆแบบนี้กันบ้างไหมนะ แชร์กันฟังหน่อย