โศกนาฏกรรมที่มิในเรา



บางครั้งฟุตบอลก็โหดร้ายตามประสาของมัน โดยที่ไม่ได้ถูกใครเขียนบทไว้ให้ล่วงหน้า...

        ก่อนอื่น ขอแสดงความยินดีกับทีมชาติเยอรมนีและสาวกอินทรีเหล็กอย่างเป็นทางการ ที่เหล่าลา มันน์ชาฟท์ กรีธาทัพผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกเป็นครั้งที่ 8 อย่างเหนือชั้น

        เหนือชั้นในระดับที่ทำเอาอึ้งรับประทานกันทั้งโลก!!!

        เพราะคู่แข่งที่พังพาบ กลายเป็นซากปรักหักพังอยู่ตรงหน้าคือทีมชาติบราซิล อดีตแชมป์ฟุตบอลโลก 5 สมัย

        เป็นทีมชาติบราซิล ที่ลงเล่นรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลก 2014 ในประเทศบราซิลเอง

        เป็นทีมชาติบราซิล ซึ่งโดนถล่มในสกอร์ที่แถวบ้านเรียกว่า "กลับบ้านไม่ถูก" แต่ให้เผอิญที่พวกเขาอยู่ในบ้านตัวเอง ผู้คนจึงยิ่งช็อกกันทั้งประเทศเพราะไม่ได้เตรียมใจรับสถานการณ์แบบนี้เอาไว้

        หรือจะพูดอีกแบบ ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุอาเพศทำนองนี้ขึ้นเลยแม้แต่กองเชียร์เยอรมันขั้นโลกสวยสุดขีด!!!

        ภาพที่ชาวแซมบ้าค่อยๆ ถอนตัวเองจากที่นั่งบนอัฒจันทร์ในสนามมิไนเรา ของเบโล โอรีซอนชี หรือจากเก้าอี้ที่นั่งดูอยู่หน้าจอทีวี รวมถึงจากที่ยืนมุงดูจอโทรทัศน์ตามร้านค้าต่างๆ ตั้งแต่ที่เกมการแข่งขันยังไม่จบครึ่งแรก บ่งบอกได้ถึงอาการหมดอาลัยตายอยาก มันจบแล้ว ฟุตบอลโลกในบ้านที่รอคอยจะเห็นลา เซเลเซา ชูถ้วยแชมป์อีกครั้ง และประดับดาวดวงที่ 6 บนอกเสื้อ ให้บราซิลยิ่งใหญ่กว่าใครในโลกลูกหนังเข้าไปอีก มันจบลงแล้ว

        เป็นตอนจบที่หยุดอยู่เพียงรอบรองชนะเลิศ ซึ่งผู้คนจะจดจำไปอีกนาน ส่วนสถิติเกิดใหม่ต่างๆ ที่มีอยู่เยอะเหลือเกินจากเกมลูกหนังเพียงนัดเดียว ก็แล้วแต่ใครจะอยากจำ

        ดำดิ่งลงสู่ความรู้สึกนึกคิดของชาวแซมบ้า พักครึ่งการแข่งขันที่นั่งดูอยู่หน้าจอทีวีในโรงแรมย่านใจกลางเมืองเซา เปาลู เมื่อชวน 2 ขาของตัวเองลงไปหน้าที่พัก เห็นผู้คนที่ใส่เสื้อทีมชาติกันเป็นส่วนใหญ่ตามปกติของวันที่บราซิลลงสนาม เดินเรื่อยเปื่อยกันไปเงียบๆ รถราเริ่มออกมาวิ่งมากขึ้นจากที่ปกติถนนทุกสายจะต้องเงียบกริบจนกว่าจะจบการแข่งขัน อารมณ์นั้นรู้สึกสงสารชาวแซมบ้าอย่างบอกไม่ถูก และกระทั่งตัวเองก็ไม่อยากดูบอลคู่นี้ต่อแล้ว

        ฟุตบอลจะดูสนุกไม่ได้เลยถ้าไม่มีการแข่งขันอยู่ในสนาม ที่เขียนแบบนี้หมายถึงว่าถ้าฝ่ายหนึ่งชำเราฝ่ายหนึ่งอยู่ข้างเดียว หรืออีกฝ่ายสู้ไม่ได้เลย เราหรือตัวเองก็ไม่อยากดูเกมนั้นๆ ต่อแล้ว พร้อมกับนึกในใจว่าเมื่อไหร่เกมจะจบซักที

        กระนั้น ในความพ่ายยับระดับที่สุดในรอบเกือบหนึ่งศตวรรษ ก็ต้องยกย่องในความแกร่งทั่วแผ่นของทีมอินทรีเหล็กด้วย ที่ทำให้บราซิลดูอ่อนด้อยถึงขนาดนี้ได้ พวกเขาอาจไม่ได้ตั้งใจลงมาเขียนตำนานบทใหม่ อาจแค่มุ่งมั่นที่จะลงสนามเพื่อคว้าชัยชนะ อันจะทำให้ทีมชาติเยอรมนีไม่ต้องไปบราซิเลีย แต่เผอิญว่าฟ้าลิขิตมามากกว่านั้น

        และที่ต้องย้ำอีกรอบก็คือ บราซิลไม่ได้แพ้ 1-7 เพราะไม่มี เนย์มาร์ หรือ ขาด ติอาโก้ ซิลวา ที่ได้แต่นั่งละเลียดแต่ละประตูที่ทีมชาติของเขาโดนส่องอยู่ข้างสนาม หากแต่แพ้เพราะทีมชุดนี้ไม่มีจุดแข็งแต่แรกดังที่เขียนไว้หลายครั้ง ให้เผอิญมาเจอของแข็งอย่างเยอรมนีเข้า ก็เลยโดนชันสูตรพลิกศพว่ามีบาดแผลตรงไหนอยู่ก่อนแล้ว

        นอกจากไม่มีทีมเวิร์กแล้ว ลา เซเลเซา ชุดนี้ยังขาดดาวดังเกินกว่าจะใฝ่ฝันถึงดาวดวงที่ 6 เพราะลำพัง เนย์มาร์ ซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่าความสามารถ ย่อมไม่เพียงพอ ไปๆ มาๆ ถ้าให้เลือกได้ หลายคนคงบอกว่ารู้งี้ให้ เมาริซิโอ ปีนีย่า ของชิลี ยิงประตูในช่วงนาทีสุดท้ายของการต่อเวลาเกมในรอบ 2 ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาอับอายเช่นนี้

        คงไม่ต้องพูดถึงเนื้อหาของรูปเกมให้เมื่อย เพราะนอกจากคนอื่นๆ 2 คอลัมนิสต์อาวุโสสายบอลเยอรมัน ทั้ง "ช่อคูน" และ "พี่ก.ป้อหล่วน" น่าจะแจกแจงได้ดีกว่า ไอ้ครั้นวันนี้จะเขียนเรื่องอื่น มันก็ไม่ได้อีก เนื่องจากโศกนาฏกรรมที่สนามมิไนเรามันบังคับให้ต้องเขียนไว้อาลัยให้กับทีมแซมบ้าและชาวบราซิเลียน

        แต่ถ้าให้สรุปสั้นๆ บราซิลบรรลัยด้วยเหตุผล 3 ประการ

        หนึ่ง เกมรับอ่อนด้อย ต่อให้เป็นวันที่มี ติอาโก้ ซิลวา ยืนคู่ ดาวิด ลุยซ์ ก็ไม่แน่เหมือนกัน

        สอง ทีมขึ้นกับ เนย์มาร์ มากเกินไป

        สาม ไม่มีทีมเวิร์ก แถมจิตใจนักเตะไม่หนักแน่นพอ ดังตัวอย่างกรณีที่ ติอาโก้  ซิลวา ขอไม่ยิงจุดโทษ ทั้งๆ ที่เขาคือกัปตันทีม

        ในการแถลงข่าวหลังเกม รู้สึกว่า "บิ๊กฟิล" ก็พยายามตอบให้ดีที่สุดแล้ว

        เมื่อถูกถามว่าเขาอยากจะบอกอะไรกับแฟนบอล หลุยซ์ เฟลิเป้ สโคลารี่ บอกว่า "ข้อความของผมส่งถึงประชาชนชาวบราซิเลียนและกองเชียร์บราซิเลียน เราได้ทำทุกอย่างที่เราสามารถทำได้แล้ว เราได้ทำเต็มที่ ดังนั้น เราขอโทษกับความผิดพลาดครั้งนี้ด้วย เราเสียใจที่ไม่สามารถเข้าให้ถึงนัดชิงชนะเลิศ แต่เราจะสู้เพื่ออันดับ 3 ที่บราซิเลีย และเราหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากพวกเขา"

        มาถึงคำถามสำคัญ "ใครคือผู้รับผิดชอบความพ่ายแพ้ครั้งนี้?"

        กุนซือทีมแซมบ้าชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 2002 ที่โดดเด่นเรื่องเกมรับ กับ โรนัลโด้ ในวันกลับมาเกิดใหม่ ตอบว่า "คือผมที่เป็นคนทำทีม ผมคือผู้รับผิดชอบ ผลลัพธ์มันเป็นหายนะ และในบั้นปลาย ผู้รับผิดชอบอาจต้องเฉลี่ยกัน แต่ผมคือผู้ที่ตัดสินใจว่าต้องใช้แท็กติกยังไง จึงเป็นผมที่ต้องรับผิดชอบ"
        ระหว่างนั่งดูความย่อยยับอัปราชัยของบราซิลในครึ่งแรก ตัวเองหันไปบอกกับ "เบน ไม่ต้องสืบ" และ "oNe" สองผู้ร่วมเดินทาง (มาเชิญทีมชาติฮอลแลนด์จากเซา เปาลู เพื่อไปชิงกับเยอรมนีที่มาราคาน่า) ว่างานที่ยากที่สุดของ "บิ๊กฟิล" ในตอนนี้คือนช่วงพักครึ่งเขาจะพูดอะไรและอย่างไรเพื่อให้ลูกทีมยังมีเรี่ยวแรงเดินหน้าต่อในครึ่งหลัง

        ผู้สื่อข่าวท้องถิ่นก็จัดคำถามนั้นมาให้ความว่า "แล้วคุณบอกอะไรกับนักเตะของคุณในช่วงพักครึ่ง?"

        คำตอบ "มันยากจริงๆ ที่จะดึงทีมกลับมาตอน 5-0 ซึ่งเป็นขีดจำกัดที่เป็นไปไม่ได้ ครึ่งหลัง เราได้ยิงหลายครั้ง และเราน่าจะยิงได้หนึ่งหรือสองประตู แต่เวลาที่คุณยิงไม่ได้ในโอกาสแรกๆ ที่มี ในขณะที่คู่แข่งของคุณยิงไปแล้ว 5 ประตู มันกลายเป็นเรื่องยากมากในเชิงความรู้สึก ถึงอย่างนั้นเรายังหาโอกาสต่อไป แต่มันเป็นวันที่ไม่ว่าพวกเยอรมันจะทำอะไรก็ดีไปหมด"

        เมื่อถูกถามต่อว่า "คิดว่ามีหนี้ติดค้างประชาชนชาวบราซิเลียนมั้ย?" เฮดโค้ชวัย 65 ตอบว่า "ผมไม่มีหนี้ ผมทำงานของผม ผมทำในสิ่งที่ผมคิดว่าดีที่สุดและที่ผมคิดว่าถูกต้องที่สุด ใช่แล้ว! พวกคุณสามารถพูดว่ามันเป็นความพ่ายแพ้ย่อยยับอันเนื่องมาจากผลการแข่งขัน แต่ผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องของหนี้สินหรือเครดิต จากนี้ก็อย่าลืมว่ายังมีแมตช์ในวันเสาร์ เราอยากชนะแมตช์นั้น"

        แมตช์ชิงที่ 3 ในวันเสาร์นี้จะเป็นอีกนัดที่ชาวแซมบ้าทำใจลำบาก ว่าจะอยากดูหรือไม่ และจะทำตัวอย่างไร เว้นเสียแต่ว่าคู่ชิงที่ 3 ซึ่งเป็นอันดับที่ไม่มีใครอยากจะได้ เป็น...อาร์เจนตินา และ "บิ๊กฟิล" เองก็พยายามย้ำนักย้ำหนาว่าภารกิจของเขากับลูกทีมยังไม่จบ

        เกมในวันเสาร์นี้ยังน่าจะเป็นนัดสุดท้ายของ "บิ๊กฟิล" ในฐานะผู้จัดการทีมชาติบราซิลด้วย ถามว่าเขาคือ "กุนซือตกยุค" แล้วหรือยัง? ก็ตอบลำบาก เพราะอายุของเขามากกว่า หลุยส์ ฟาน กาล เพียง 3 ปีเท่านั้น เรื่องอายุจึงไม่อาจนำมาตัดสินแนวทางการทำทีมของเขาได้เท่ากับความคิดอ่าน และอีกประการก็คือต้องดูตัวที่มีให้เขาเลือกในยุคนี้ด้วย

        ตบท้ายการแถลงข่าวหลังเกมที่ต้องยกนิ้วให้กับเขาเหมือนกันว่ายังอุตส่าห์มานั่งให้สื่อถากถางด้วยคำถามอยู่ได้ สโคลารี่ถูกถามว่า "ได้รับบทเรียนอะไรในวันนี้?"

        คำตอบ "เรากับทีมต้องนั่งลงคุยกัน วิเคราะห์ในสิ่งที่เกิดขึ้น และศึกษามันกับพวกนักเตะ คุณภาพของนักเตะเยอรมันนั้นมหาศาล แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ปกติ มันเป็นความพ่ายแพ้ที่เลวร้ายที่สุดของบราซิลแม้แต่รวมในเกมกระชับมิตรด้วย ทว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ทีนี้ชีวิตต้องดำเนินต่อไปแม้นี่จะเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของผม ต้องยอมรับมันและดูว่าเราสามารถทำอะไรที่แตกต่างได้บ้าง"  

        ชีวิตของ "บิ๊กฟิล" จากนี้ย่อมอยู่ยาก เพราะบราซิลเป็นประเทศที่มีผู้ตัดสินผลงานของกุนซือทีมชาติถึง 200 กว่าล้านคน ช่วงเวลา 3 วันที่มีให้เขาและลูกทีมหลบเลียแผลใจ ไม่มีอะไรดีไปกว่าปล่อยให้พวกเขาอยู่กันตามลำพัง

        ขอให้จิตใจกลับมาดีวันดีคืน และไหนๆ ก็แสดงความเห็นใจเต็มที่แล้ว อยากขอสิ่งแลกเปลี่ยนเป็นเพียงแค่...ช่วยเอาอาร์เจนตินาไป "ชิงที่ 3" ด้วยเถอะนะ!!!    

-มาเฟียรี่-

ข้อมูลจาก http://www.siamsport.co.th/

ถ้าอยากทราบเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับทีมชาติบราซิล เข้าไปดูใน Blog ผมได้นะครับ
  www.brazil.bloggang.com
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่