คุยกันวันเสาร์..กระทู้นี้ ไม่มีทางถูกลบ !
ไม่มียุคไหนสมัยไหน ที่คนจะไม่บ่นว่าของแพงๆ บ่นกันมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว เพราะของ(สินค้า)มันแพงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตามยุคตามสมัย
ตอนเมื่อเจ้าตากกู้กรุงศรีฯ พ.ศ.2311 ครั้งนั้น ข้าวสารแพงมาก เห็นว่า “ข้าวสารราคาถึงถังละ 4 บาท จนเจ้าตากต้องเอาเงินในพระคลังออกไปซื้อข้าวแจกราษฎร”..ว่ากันยังงั้น !
ของแพง มันแพงจากอะไร ? จากต้นทุนที่สูงขึ้น (วัตถุดิบ การขนส่ง การเก็บรักษา) จากดีมานด์-ซัพพลายที่ไม่สมดุล(ของมีน้อย ความต้องการมาก) จากการฉวยโอกาสของคนขาย-คนซื้อ..ก็ต้องดู
เมื่อคนไปซื้อของ ก็อยากได้ของถูกๆ ยิ่งของดีราคาถูกยิ่งชอบใจ แต่ปรากฏว่าไม่มี ก็บ่นว่าของแพงเพราะซื้อไม่ได้ แต่ถ้าคนซื้อ(คนนั้น)กลายไปอยู่ในโหมดของคนขาย ก็อยากซื้อของถูกๆไปขายแพงๆ..เอากำไรมากๆ
สินค้าอุปโภค-บริโภคที่จำเป็น หากแพง เช่นข้าวสาร ผัก กะปิ น้ำปลาฯลฯ คนก็อยู่ลำบาก เพราะต้องกินต้องใช้ทุกวัน แต่หากเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยมีไว้เพื่อเพิ่มความสุข เช่น เหล้า บุหรี่ หรือตุ๊กตายางอะไรทำนองนี้ จะแพงก็แพงไป..ไม่มีใครว่า
ที่ผ่านมา เห็นใจทุกรัฐบาล ที่ถูกประชาชนทั้ง 2 ฝ่ายคือคนซื้อ-คนขายร้องเรียน เรียกร้องมาตลอด คนซื้อบอกให้ควบคุมราคาสินค้าให้ถูกลง คนขายบอกให้ช่วยทำให้สินค้าราคาสูงขึ้น ซึ่งรัฐบาลก็มีกลไกสำหรับควบคุมอยู่แล้ว แต่ก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง..ว่ากันไป
ตย.คนปลูกมังคุด อยากขายกิโลละ 25 บาท แต่คนซื้ออยากซื้อกิโลละ 15 บาท ตกลงกันไม่ได้ คนปลูกมังคุดก็ไปร้องเรียนว่าทำไมราคามังคุดมันถูกจัง ขอให้รัฐบาลช่วยปรับราคาให้ได้ 25 บาท/กิโล ไม่งั้นชาวสวนมังคุดอยู่ไม่ได้ ส่วนคนซื้อก็มาเรียกร้องรัฐบาลว่า ทำไมราคามังคุดมันแพงจัง ขอให้รัฐบาลปรับราคามังคุดให้ถูกลงหน่อย ให้เหลือราคา 15 บาท/กิโล..รัฐบาลจะทำยังไง ?
ที่ยกตัวอย่างมังคุด เพราะเมื่อวานได้มีโอกาสซื้อมังคุด 6 โล 100 บาทที่มาขายในซอย รู้สึกว่ามันถูกมากๆ เพราะเมื่อหลายปีก่อนเคยซื้อมังคุดกิโลละไม่ต่ำกว่า 40 บาทขึ้นไป จึงสงสัยว่ามันผ่านมาต้องหลายปี ทำไมมันกลับราคาถูกลง ..ชาวสวนจะอยู่ได้ยังไง
ตอนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ประกาศนโยบายรับจำนำข้าว 15000 บาท ข้าวสวยหุงสุก ที่แม่ค้า-พ่อค้าเคยขายถุงละ 5 บาท ก็ทะลุไปถุงละ 10 บาท(ขึ้น 100 %) โดยแม่ค้าอ้างว่าข้าวแพงแล้ว (ฉวยโอกาส) แต่ปัจจุบันข้าวเหลือตันละ 7000 บาท แต่ข้าวสวยที่แม่ค้าขาย ก็ยังคงราคาถุงละ 10 บาทเหมือนเดิม...ไม่เห็นลด
“ขอความร่วมมือบรรดาพ่อค้า นักธุรกิจ ทั้งหมดช่วยกันดูแลชาติ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการซื้อขาย การส่งออก พ่อค้าคนกลาง ธุรกิจก่อสร้าง ขนส่งหรืออื่น ๆ ทั้งหมด ช่วยกันระดมสติปัญญา และระดมน้ำใจช่วยกันว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศชาติอยู่รอดในสถานการณ์ที่ไม่ปกติของโลก ลดราคาขาย เพิ่มกำลังซื้อ ลดกำไรให้พออยู่ได้ นึกถึงผู้ที่มีรายได้น้อยให้มาก ว่าเขาจะอยู่กันอย่างไร ครอบครัวจะอยู่กันอย่างไร ถ้าหากท่านรับซื้อโดยกดราคาขั้นต่ำมาก เกษตรกรอยู่ไม่ได้ รัฐไม่สามารถจะใช้เงินจำนวนมากมารับซื้อ หรือพยุงราคาได้ตามที่ทุกคนต้องการได้ทั้งหมด
ทุกคนต้องเสียสละ กำไรน้อยลง พออยู่ได้ ประชาชนไม่เดือดร้อน ค่าครองชีพที่เหมาะสม ลดลง ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะกอบโกยผลกำไรกันให้มากนัก คอยแต่จะขึ้นราคา ผมอยากให้ขายของเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยลดกำไรลงบ้าง เผื่อแผ่ แบ่งปันให้ทุกคนได้รับผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม ไม่อย่างนั้นแล้วประเทศชาติไปไม่รอดแน่นอน”..พล.อ.ประยุทธ์ (15/8/57)
อะไรคือจุดสมดุลที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะยอมรับกันได้ คนซื้อก็อยู่ได้ คนขายก็อยู่ได้ ไม่เอาเปรียบกันเกินไป สุดท้าย ทำไปทำมามันอยู่ภายใต้คติเตือนใจ ที่เห็นกันทั่วบ้านทั่วเมืองว่า “อย่าเห็นแก่ตัว”..แค่นั้นเอง !!!
...พอเป็นคนซื้ออยากซื้อของถูก แต่พอเป็นคนขายก็อยากขายแพงๆ อะไรคือจุดสมดุล... คุยกันวันเสาร์..ก่อนหวยออก !
ไม่มียุคไหนสมัยไหน ที่คนจะไม่บ่นว่าของแพงๆ บ่นกันมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว เพราะของ(สินค้า)มันแพงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตามยุคตามสมัย ตอนเมื่อเจ้าตากกู้กรุงศรีฯ พ.ศ.2311 ครั้งนั้น ข้าวสารแพงมาก เห็นว่า “ข้าวสารราคาถึงถังละ 4 บาท จนเจ้าตากต้องเอาเงินในพระคลังออกไปซื้อข้าวแจกราษฎร”..ว่ากันยังงั้น !
ของแพง มันแพงจากอะไร ? จากต้นทุนที่สูงขึ้น (วัตถุดิบ การขนส่ง การเก็บรักษา) จากดีมานด์-ซัพพลายที่ไม่สมดุล(ของมีน้อย ความต้องการมาก) จากการฉวยโอกาสของคนขาย-คนซื้อ..ก็ต้องดู
เมื่อคนไปซื้อของ ก็อยากได้ของถูกๆ ยิ่งของดีราคาถูกยิ่งชอบใจ แต่ปรากฏว่าไม่มี ก็บ่นว่าของแพงเพราะซื้อไม่ได้ แต่ถ้าคนซื้อ(คนนั้น)กลายไปอยู่ในโหมดของคนขาย ก็อยากซื้อของถูกๆไปขายแพงๆ..เอากำไรมากๆ
สินค้าอุปโภค-บริโภคที่จำเป็น หากแพง เช่นข้าวสาร ผัก กะปิ น้ำปลาฯลฯ คนก็อยู่ลำบาก เพราะต้องกินต้องใช้ทุกวัน แต่หากเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยมีไว้เพื่อเพิ่มความสุข เช่น เหล้า บุหรี่ หรือตุ๊กตายางอะไรทำนองนี้ จะแพงก็แพงไป..ไม่มีใครว่า
ที่ผ่านมา เห็นใจทุกรัฐบาล ที่ถูกประชาชนทั้ง 2 ฝ่ายคือคนซื้อ-คนขายร้องเรียน เรียกร้องมาตลอด คนซื้อบอกให้ควบคุมราคาสินค้าให้ถูกลง คนขายบอกให้ช่วยทำให้สินค้าราคาสูงขึ้น ซึ่งรัฐบาลก็มีกลไกสำหรับควบคุมอยู่แล้ว แต่ก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง..ว่ากันไป
ตย.คนปลูกมังคุด อยากขายกิโลละ 25 บาท แต่คนซื้ออยากซื้อกิโลละ 15 บาท ตกลงกันไม่ได้ คนปลูกมังคุดก็ไปร้องเรียนว่าทำไมราคามังคุดมันถูกจัง ขอให้รัฐบาลช่วยปรับราคาให้ได้ 25 บาท/กิโล ไม่งั้นชาวสวนมังคุดอยู่ไม่ได้ ส่วนคนซื้อก็มาเรียกร้องรัฐบาลว่า ทำไมราคามังคุดมันแพงจัง ขอให้รัฐบาลปรับราคามังคุดให้ถูกลงหน่อย ให้เหลือราคา 15 บาท/กิโล..รัฐบาลจะทำยังไง ?
ที่ยกตัวอย่างมังคุด เพราะเมื่อวานได้มีโอกาสซื้อมังคุด 6 โล 100 บาทที่มาขายในซอย รู้สึกว่ามันถูกมากๆ เพราะเมื่อหลายปีก่อนเคยซื้อมังคุดกิโลละไม่ต่ำกว่า 40 บาทขึ้นไป จึงสงสัยว่ามันผ่านมาต้องหลายปี ทำไมมันกลับราคาถูกลง ..ชาวสวนจะอยู่ได้ยังไง
ตอนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ประกาศนโยบายรับจำนำข้าว 15000 บาท ข้าวสวยหุงสุก ที่แม่ค้า-พ่อค้าเคยขายถุงละ 5 บาท ก็ทะลุไปถุงละ 10 บาท(ขึ้น 100 %) โดยแม่ค้าอ้างว่าข้าวแพงแล้ว (ฉวยโอกาส) แต่ปัจจุบันข้าวเหลือตันละ 7000 บาท แต่ข้าวสวยที่แม่ค้าขาย ก็ยังคงราคาถุงละ 10 บาทเหมือนเดิม...ไม่เห็นลด
“ขอความร่วมมือบรรดาพ่อค้า นักธุรกิจ ทั้งหมดช่วยกันดูแลชาติ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการซื้อขาย การส่งออก พ่อค้าคนกลาง ธุรกิจก่อสร้าง ขนส่งหรืออื่น ๆ ทั้งหมด ช่วยกันระดมสติปัญญา และระดมน้ำใจช่วยกันว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศชาติอยู่รอดในสถานการณ์ที่ไม่ปกติของโลก ลดราคาขาย เพิ่มกำลังซื้อ ลดกำไรให้พออยู่ได้ นึกถึงผู้ที่มีรายได้น้อยให้มาก ว่าเขาจะอยู่กันอย่างไร ครอบครัวจะอยู่กันอย่างไร ถ้าหากท่านรับซื้อโดยกดราคาขั้นต่ำมาก เกษตรกรอยู่ไม่ได้ รัฐไม่สามารถจะใช้เงินจำนวนมากมารับซื้อ หรือพยุงราคาได้ตามที่ทุกคนต้องการได้ทั้งหมด
ทุกคนต้องเสียสละ กำไรน้อยลง พออยู่ได้ ประชาชนไม่เดือดร้อน ค่าครองชีพที่เหมาะสม ลดลง ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะกอบโกยผลกำไรกันให้มากนัก คอยแต่จะขึ้นราคา ผมอยากให้ขายของเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยลดกำไรลงบ้าง เผื่อแผ่ แบ่งปันให้ทุกคนได้รับผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม ไม่อย่างนั้นแล้วประเทศชาติไปไม่รอดแน่นอน”..พล.อ.ประยุทธ์ (15/8/57)
อะไรคือจุดสมดุลที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะยอมรับกันได้ คนซื้อก็อยู่ได้ คนขายก็อยู่ได้ ไม่เอาเปรียบกันเกินไป สุดท้าย ทำไปทำมามันอยู่ภายใต้คติเตือนใจ ที่เห็นกันทั่วบ้านทั่วเมืองว่า “อย่าเห็นแก่ตัว”..แค่นั้นเอง !!!