คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
จริงๆทำเองได้เลยนะครับ แต่ต้องทำความเข้าใจก่อนเพื่อที่จะทำแล้วได้ประสิทธิภาพ สูงสุดครับ เพราะการจัดการทั้ง google และ facebook คือการ optimization (การปรับแต่งเฉพาะกลุ่มให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด) เพราะทั้งหมดเป็นการ Marketing ซึ่งในโลก digital marketing จะแตกต่างกับ การตลาดสมัยก่อนที่ สาดให้คนเห็นเยอะๆ และรอการตอบกลับในจำนวนที่เป็น%ที่รับได้ เช่น แจกใบปลิว 100,000 ใบ มีคนตอบรับ 2,000 คน คิดเป็น 2% มีคนซื้อหรือสมัคร 10% ของ2,000 เท่ากับ 200คน เป็นต้น
แต่ Digital Marketing (Facebook Google และอื่นๆ) เป็นการใช้ข้อมูลที่มีเพื่อที่จะค้นหากลุ่มเป้าหมาย(target group)อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะ Google หรือ facebook คือ ฐานข้อมูลขนาดยักษ์ เวลาเราใช้ facebook หรือ google adwords แล้ว เราจึงจะ optimize ได้อย่างมีประสิธิภาพ ซึ่ง จะสามารถเลือกได้เช่น facebook เลือก เพศ อายุ ความชอบส่วนบุคคล Google เลือก เวลา สถานที่(ip address ) และคำ หรือลัษณะคำ ที่แตกต่าง เพื่อที่จะ หาคนกลุ่นที่ใช่(target group) เพื่อลด คชจ ในการ โฆษนานั่นเอง เพราะฉนั้น พูดได้ง่ายๆว่า คนที่ ใช้ข้อมูลเป็น จะจ่ายค่าโฆษนา ถูกกว่า คนที่ทำไม่เก่งนั่นเอง
อีกอย่างที่ต้องเข้าใจ คือ product ของเราคืออะไร และมีความต้องการ facebook หรือ google ขนาดไหน เพราะบางอย่างใช้ google ดีกว่าบางอย่างใช้ Facebook ดีกว่า
google เป็น search Engine การโฆษนาเป็นแบบตั้งรับ (Defensive Strategy) เหมาะกับสินค้าที่มี demand ที่อยู่ในตลาด เพราะ คิดง่ายๆ ไม่มีใครหาไม่มีใครเจอ ต้องมี search demand ก่อนจึงจะทำและเหมาะสม
facebook เป็น community การโฆษนาเป็นแบบเปิดเกมรุก (Offensive Strategy) เหมาะ กับสินค้าที่เรากำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน และให้กลุ่มเป้าหมายได้เห็นโฆษนาเราโดยตรงได้
อันนี้เป็นตัวอย่างเบื้องต้นให้เข้าใจว่าต้องทำอย่างไร จริงๆมี การทำ digital อีกมากมา youtube ,google remarketing หรือ การทำ blog ต่างๆอีก ซึ่งขึ้นอยู่กับความเหมาะสม
บริษัทเปิดรับทำfacebook google มีเยอะแยะ และผมบอกได้เลยว่าบริษํท เกิน 80% ไม่ได้ทำได้แตกต่างกับหากเราเรียนรู้เอง เพียงแต่เข้ารู้วิธีทำ รู้ว่ากดปุ่มไหน อะไรจะเกิดขึ้น คุณเรียนรู้ไปก็จะทำได้ เช่นกัน สิ่งที่แตกต่างคือ วิธีการ และ tecnic ในการนำไปใช้ต่างหาก ซึ่ง บริษัท ที่ ชำนานและมีความเข้าใจ จะเห็นประสิทธิต่างกันอย่างชัดเจน เหมือน จ้างคนมา ทาสีบ้านอะครับ ทาเป็นเหมือนกันหมด แต่ช่างแต่ละคนก็ทาเนียนต่างกัน
ผมแนะนำเลยทำเองเลยครับ เรียนรู้เองเลยครับ จะได้เข้าใจ มันไม่ยากเลย แล้วไม่แนะนำให้ใช้บริการ ที่มีโฆษนา อยู่เยอะแยะ รับทำ 1,000-3,000บาทต่อเดือน ผมไม่ได้บอกไม่ดีนะ ราคานี้เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมาใส่ใจเราขนาดนั้น คิดง่าย
จ่าย facebook google เดือนละ 1,000-3,000 เขาจะมาดู มาแก้คำ มาปรับ กลยุทธ ทุกเดือนเลยหรอ เป็นไปไม่ได้หรอก เขาก็จะตั้ง add หรือคิดคำให้ตลอดเวลาหรอ ไม่มีทาง โดยเฉพาะราคานี้เขาต้องรับงานเยอะจะได้กำไร คนหนึ่งอาจจะดู ลูกค้า 50-100 คน
แต่จ่ายแพงก็ใช่ว่าจะได้ ประสิทธิภาพเสมอไปนะ เพราะหลายที่คิดแพงเพราะ referal ดี แต่ทำออกมาไร้ประสิทธิภาพ จึงแนะนำว่า ลองทำเองให้เข้าใจ และหากจะจ้างใครทำให้ในอนาคตจะได้ตั้งคำถามถูก โดยเฉพาะ ว่า คุณจ้างเขาทำ มีอะไรแต่ต่างกับการทำเองบ้าง ถ้าจะจ้างต้องดูความคุ้มค่า และควรจะทำเป็นสัญญาระยะสั้นวัด KPI หากไม่แน่ใจว่าที่จ่ายไปจะคุ้มค่าหรือไม่ จะได้ลงทุนไม่เยอะ เพราะสุดท้าย จ้างแพถูกต้องดูที่ ผลลับ คุณจ้าง 1,000 เดียว ได้ 500 เท่ากับขาดทุน แต่จ้าง 1 ล้าน ได้ 3 ล้าน คือกำไร(ยกตัวอย่างเฉยๆนะครับ)
หวังว่าที่เขียนมาจะมีประโยช์นกับ จขกท นะครับ
แต่ Digital Marketing (Facebook Google และอื่นๆ) เป็นการใช้ข้อมูลที่มีเพื่อที่จะค้นหากลุ่มเป้าหมาย(target group)อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะ Google หรือ facebook คือ ฐานข้อมูลขนาดยักษ์ เวลาเราใช้ facebook หรือ google adwords แล้ว เราจึงจะ optimize ได้อย่างมีประสิธิภาพ ซึ่ง จะสามารถเลือกได้เช่น facebook เลือก เพศ อายุ ความชอบส่วนบุคคล Google เลือก เวลา สถานที่(ip address ) และคำ หรือลัษณะคำ ที่แตกต่าง เพื่อที่จะ หาคนกลุ่นที่ใช่(target group) เพื่อลด คชจ ในการ โฆษนานั่นเอง เพราะฉนั้น พูดได้ง่ายๆว่า คนที่ ใช้ข้อมูลเป็น จะจ่ายค่าโฆษนา ถูกกว่า คนที่ทำไม่เก่งนั่นเอง
อีกอย่างที่ต้องเข้าใจ คือ product ของเราคืออะไร และมีความต้องการ facebook หรือ google ขนาดไหน เพราะบางอย่างใช้ google ดีกว่าบางอย่างใช้ Facebook ดีกว่า
google เป็น search Engine การโฆษนาเป็นแบบตั้งรับ (Defensive Strategy) เหมาะกับสินค้าที่มี demand ที่อยู่ในตลาด เพราะ คิดง่ายๆ ไม่มีใครหาไม่มีใครเจอ ต้องมี search demand ก่อนจึงจะทำและเหมาะสม
facebook เป็น community การโฆษนาเป็นแบบเปิดเกมรุก (Offensive Strategy) เหมาะ กับสินค้าที่เรากำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน และให้กลุ่มเป้าหมายได้เห็นโฆษนาเราโดยตรงได้
อันนี้เป็นตัวอย่างเบื้องต้นให้เข้าใจว่าต้องทำอย่างไร จริงๆมี การทำ digital อีกมากมา youtube ,google remarketing หรือ การทำ blog ต่างๆอีก ซึ่งขึ้นอยู่กับความเหมาะสม
บริษัทเปิดรับทำfacebook google มีเยอะแยะ และผมบอกได้เลยว่าบริษํท เกิน 80% ไม่ได้ทำได้แตกต่างกับหากเราเรียนรู้เอง เพียงแต่เข้ารู้วิธีทำ รู้ว่ากดปุ่มไหน อะไรจะเกิดขึ้น คุณเรียนรู้ไปก็จะทำได้ เช่นกัน สิ่งที่แตกต่างคือ วิธีการ และ tecnic ในการนำไปใช้ต่างหาก ซึ่ง บริษัท ที่ ชำนานและมีความเข้าใจ จะเห็นประสิทธิต่างกันอย่างชัดเจน เหมือน จ้างคนมา ทาสีบ้านอะครับ ทาเป็นเหมือนกันหมด แต่ช่างแต่ละคนก็ทาเนียนต่างกัน
ผมแนะนำเลยทำเองเลยครับ เรียนรู้เองเลยครับ จะได้เข้าใจ มันไม่ยากเลย แล้วไม่แนะนำให้ใช้บริการ ที่มีโฆษนา อยู่เยอะแยะ รับทำ 1,000-3,000บาทต่อเดือน ผมไม่ได้บอกไม่ดีนะ ราคานี้เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมาใส่ใจเราขนาดนั้น คิดง่าย
จ่าย facebook google เดือนละ 1,000-3,000 เขาจะมาดู มาแก้คำ มาปรับ กลยุทธ ทุกเดือนเลยหรอ เป็นไปไม่ได้หรอก เขาก็จะตั้ง add หรือคิดคำให้ตลอดเวลาหรอ ไม่มีทาง โดยเฉพาะราคานี้เขาต้องรับงานเยอะจะได้กำไร คนหนึ่งอาจจะดู ลูกค้า 50-100 คน
แต่จ่ายแพงก็ใช่ว่าจะได้ ประสิทธิภาพเสมอไปนะ เพราะหลายที่คิดแพงเพราะ referal ดี แต่ทำออกมาไร้ประสิทธิภาพ จึงแนะนำว่า ลองทำเองให้เข้าใจ และหากจะจ้างใครทำให้ในอนาคตจะได้ตั้งคำถามถูก โดยเฉพาะ ว่า คุณจ้างเขาทำ มีอะไรแต่ต่างกับการทำเองบ้าง ถ้าจะจ้างต้องดูความคุ้มค่า และควรจะทำเป็นสัญญาระยะสั้นวัด KPI หากไม่แน่ใจว่าที่จ่ายไปจะคุ้มค่าหรือไม่ จะได้ลงทุนไม่เยอะ เพราะสุดท้าย จ้างแพถูกต้องดูที่ ผลลับ คุณจ้าง 1,000 เดียว ได้ 500 เท่ากับขาดทุน แต่จ้าง 1 ล้าน ได้ 3 ล้าน คือกำไร(ยกตัวอย่างเฉยๆนะครับ)
หวังว่าที่เขียนมาจะมีประโยช์นกับ จขกท นะครับ
แสดงความคิดเห็น
อยากจะเข้าใจเรื่องการลงโฆษณาใน Google และ Facebook อย่างถ่องแท้
สำหรับ Google Adword เห็นมี บริษิท รับจ้างลงโฆษณา คิดแพงด้วย ถ้าเราทำเองเป็นน่าจะดี คือเหมือนเสียให้กูเกิ้ล แล้วต้องมาเสียให้ตัวแทนอีก สองต่อป่าว คือจริงๆทำเองก็ได้ ใช่ไหม? เข้าใจถูกไหมคะ
ถ้าจะเรียนให้ตัวเองทำได้ประมาณพวกที่รับทำนี่เลย จะได้ไหม มีที่ไหนสอนไหม แล้วมันจะต้องไปเป็นตัวแทนตรวจสอบโดย Google อะไรไหม
ส่วน Facebook พอทำได้โปรโมทให้กดไลค์ แต่มันยังมีหัวข้ออื่น อีก เช่น Engage สักอย่าง และ อะไรอีกอัน ถ้าเป็นร้านค้า จะต้องเลือกอะไร ยังไง
ยังไม่เข้าใจ จึงอยากจะศึกษาแบบจริงจังไปเลย เสียตังค์ก็ยอม