หากจะมี "เผด็จการ" ที่ร่วมยุคสมัย
และ มีชื่อเสียงในด้านเลวร้ายพอๆกับ "ซัดดัม ฮุสเซ็น" แล้วละก็
จ่าว่าชื่อของ "พอ.โมอัมมาร์ กัดดาฟี" น่าจะเป็นคนที่สมน้ำสมเนื้อที่สุดในการเปรียบมวยครัชชชชชช.......
ทั้งคู่เป็น "เผด็จการ"
ที่เอารถถัง เอาเอ็ม16 ออกมายึดอำนาจ
และ สถาปนาตนเองเป็น "ท่านผู้นำ" เหมือนๆกัน
แถมยังมี "โจทก์" คนเดียวกันคือ "อเมริกา" อีกต่างหาก!!!
กัดดาฟีมันชอบการเมืองตั้งแต่เป็นวัยรุ่น
มันซ่าขนาดเคยเข้าร่วมการเดินขบวนนัดหยุดเรียน
จนถูกทางโรงเรียนเขาอัปเปหิพ้นสภาพนักเรียน ต้องหาที่เรียนใหม่
แต่กัดดาฟีมันดันเป็นคนหัวดี
เพราะตอนหลังมันก็ไปสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยเบงกาซีได้สำเร็จ
ในช่วงที่กัดดาฟีเป็นนายทหารใหม่ๆนั้น
ลิเบียอยู่ภายใต้การปกครองของ "ฟารุค" ที่กัดดาฟีไม่ปลื้มเลยซักนิด
เพราะลิเบียมีแหล่งน้ำมันดิบ แต่ชนชั้นปกครองกลับร่ำรวยจากการให้สัมปทานกับต่างชาติ
ในขณะที่คนส่วนใหญ่ของประเทศที่เป็นชนชั้นรากหญ้านั้นกลับต้องลำบากอดอยากปากแห้ง ไม่มีข้าวสารจะกรอกหม้อ
กัดดาฟีมันก็เลย แอ่น แอน แอ๊น...... ยึดอำนาจมันซะเลย !!!
1 กันยายน 1969 ก็เป็นวันที่กัดดาฟีได้ "ฤกษ์โจร" ครัชชชช
กัดดาฟี และ พลพรรคของมันได้เชิญนายทหารใหญ่ และ นายตำรวจใหญ่มาดินเนอร์กัน
ในขณะที่กำลังกิน กูส กูส เนื้อแกะ กันอย่างเอร็ดอร่อยนั้น กองกำลังของกัดดาฟีก็ "ปิดประตูตีแมว" จับกุมตัวทุกคน
(ขุ่นพระ...ต้อนเข้าห้องแล้วล็อคตัวนี่จ่าว่ามันคุ้นๆจริงๆนะครัชชชชชช)
จากนั้นกัดดาฟีก็ขนอาวุธออกมา
ไล่ยึดเมืองทริโปลี และ เมืองเบงกาซี
พอมันยึดทุกอย่างได้แล้ว "ท่านผู้นำกัดดาฟี" ก็ออกประกาศเลื่อนยศตัวเองเป็น "พันเอก"
โห....โคดจะมักน้อยเลย ทำไมมันไม่เป็น "พลเอก" ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ??
พอได้เป็นท่านผู้นำที่อายุแค่ 27 ขวบ
กัดดาฟีมันก็ออกฤทธิ์ด้วยการตะเพิดอเมริกา กับ อังกฤษ
ให้รีบๆถอนฐานทัพของทั้ง 2 ชาติกลับออกไปจากลิเบียอย่างเร็วไว
จากนั้นมันก็ขึ้นราคาค่าจัดเก็บน้ำมันไปถึง 120% แล้วให้โอนกิจการมาเป็นของรัฐทั้งหมด !!!
เป็นไงล่ะ...ฤทธิ์เดชเผด็จการ !!
จากที่มันเคยด่ากลุ่มอำนาจเก่า
ว่าเอาแต่เสวยสุข และ เอารัดเอาเปรียบประชาชน
แต่พอกัดดาฟีได้เป็นใหญ่ มันเองก็ทำไม่ต่างจากคนที่ตัวเองไปยึดอำนาจ
กัดดาฟีอยู่อย่างหรูหรา
มีบ้านพักที่แสนจะโอ่อ่าอลังการ
มีรถยนต์หรูที่บางคันแทบไม่ได้ออกมาวิ่ง (เพราะมันมีเยอะมาก)
ขนาดปืนประจำตัวของกัดดาฟียังเป็น "ปืนทอง" เลยครัชชชชช
แต่หลังๆกัดดาฟีก็ไม่ได้อยู่สบายหรอก
เพราะลิเบียโดน UN แซงชั่นจนประเทศมันอ่วมอรทัย
เนื่องจาก UN มองว่ากัดดาฟีสนับสนุนการก่อการร้าย
ทั้งการระเบิดที่คลับแห่งหนึ่งในเยอรมนีจนมีคนอเมริกันตายไป 2 คน
ทั้งการก่อวินาศกรรมทางอากาศที่แสนจะโหดเหี้ยมสยดสยองกับสายการบินพานิชย์
แม้ว่าต่อมาลิเบียจะส่งมอบตัวของมือระเบิดเครื่องบิน "แพน แอม"
ที่โดนระเบิดเป็นจุลในน่านฟ้าของเมือง "ล็อคเคอร์บี" ประเทศสก็อตแลนด์
แต่ก็ไม่ได้ทำให้ไอ้กัดดาฟีดูดีขึ้นมาเลย ที่มันยอมก็เพราะมันลำบากจากมาตรการแซงชั่นของนานาชาติ
กัดดาฟีไปไหนมาไหนก็ลำบากครัชช
แม้จะกุมอำนาจเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ
แต่มันก็ไม่สามารถเดินดินกินข้าวมันไก่ข้างทางได้เลย เพราะฝ่ายตะวันตกจ้องจะเก็บมันตลอดเวลา
และ ด้วยความที่เป็นคน "หน้าหม้อ"
กัดดาฟีจึงเลือกที่จะใช้ทีมบอดี้การ์ดเป็นผู้หญิง
โดยทีมบอดี้การ์ดของมันจะต้องเป็น "สาวบริสุทธิ์" เท่านั้น
กัดดาฟีตั้งชื่อทีมบอดี้การ์ดสาวนี้ว่า “Amazonian guard” ครัชชชชชช
ทีมนี้มีทั้งหมด 41 คน
แต่ละคนต้องฝึกหนักเพื่อที่จะทำงานกับกัดดาฟี
และ ที่สำคัญ ทุกคนต้อง "สวย" ครัชชชช เพราะกัดดาฟีมันจะเป็นคนลงมือ "คัด" ด้วยตัวเอง !!!
แหมมมม....จ่าล่ะอิจฉามันจริงๆ
ด้วยความที่เป็นท่านผู้นำเผด็จการ
มันเลยทำให้กัดดาฟีมีผลประโยชน์ที่ไม่มีใครไปตรวจสอบได้
เพราะระบอบเผด็จการไม่เปิดโอกาสให้เกิดการตรวจสอบอะไรเลยจากสาธารณะ
ดังนั้นกัดดาฟีใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยแบบละลายแม่น้ำ
กัดดาฟีเคยจัดปาร์ตี้ เมา มั่ว กิน ขี้ พี้ นอน
และ ทุ่มเงินนับล้านดอลล่าในการจ้างนักร้องระดับซุปเปอร์สตาร์
เช่น บียอนเซ่ , เนลลี่ เฟอร์ทาโด และ มารายห์ แครี่ มาครวญเพลงให้ฟังแบบตัวเป็นๆ !!!
ตอนหลังพอเรื่องแดง
จ่าจำได้ว่าน้องเนลลี่เอาเงินค่าตัว 1 ล้านเหรียญที่ได้จากกัดดาฟีไปบริจาคการกุศลหมด
ส่วนบียอนเซ่ก็เอาไปบริจาคให้กับเหยื่อนแผ่นดินไหวที่ประเทศเฮติ ยกเว้นมารายห์ แครี่ ที่เก็บเงียบ (แหมมม... ตั้ง 1 ล้านเหรียญ จ่าว่าเป็นใครก็คิดหนัก)
เจอแบบนี้เข้า
ชาวลิเบียบางส่วนเริ่มจะหมดความอดทน
เพราะเล็งเห็นแล้วว่าภายใต้ระบอบเผด็จการนับสิบๆปีนั้น
กัดดาฟีคือคนที่เสวยสุขอยู่คนเดียว ในขณะที่ประชาชนกลับถูกกดหัวจนโงไม่ขึ้น
และแล้วก็ถึงวันที่คนลิเบียลุกขึ้นมาไล่ "เผด็จการ" ครัชชชชช !!!
ปรากฏการณ์ "อาหรับ สปริง"
คือหนึ่งในเหตุการณ์ที่คนลิเบียหลายแสนคนลุกฮือขึ้นต่อต้านเผด็จการกัดดาฟี
ซึ่งกัดดาฟีเองมันก็ "สู้ยิบตา" ด้วยการสั่งปราบปรามประชาชนอย่างรุนแรงด้วย "กระสุนจริง"
(เห้ยยยยยยยย.......ขุ่นพระ....ใครลอกใครล่ะเนี่ย)
UN เห็นท่าไม่ดี
ก็เลยมีมติให้ใช้ปฏิบัติการทางอากาศกับลิเบีย
จนนำไปสู่การล่มสลายของระบอบเผด็จการแบบกัดดาฟี ที่ปกครองลิเบียมากว่า 40 ปี !!!
กัดดาฟีหลบหนีการจับกุมไปซ่อนอยู่ในท่อระบายน้ำ
แต่ก็ไม่พ้นมือของชาวลิเบียที่สั่งสมความคั่งแค้นในระบอบเผด็จการ
เพราะชาวบ้านลากตัวกัดดาฟีขึ้นมาจากท่อระบายน้ำ และ ช่วยกันกระทืบจนตายครัชชช !!!
และนี่คือการรูดม่านปิดฉาก "จอมเผด็จการ" ด้วยฝีมือของ "ประชาชน" อย่างแท้จริง !!!!
เราต่างเรียนรู้อดีต เพื่อทำปัจจุบัน และ อนาคตของเราให้มันดีกว่าวันวานครับ ..!!!!!!
จ่าพิเชษฐ์
เฮ้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ.........ยินดีกับชาว "ลิเบีย" ครัชชชชช........
และ มีชื่อเสียงในด้านเลวร้ายพอๆกับ "ซัดดัม ฮุสเซ็น" แล้วละก็
จ่าว่าชื่อของ "พอ.โมอัมมาร์ กัดดาฟี" น่าจะเป็นคนที่สมน้ำสมเนื้อที่สุดในการเปรียบมวยครัชชชชชช.......
ทั้งคู่เป็น "เผด็จการ"
ที่เอารถถัง เอาเอ็ม16 ออกมายึดอำนาจ
และ สถาปนาตนเองเป็น "ท่านผู้นำ" เหมือนๆกัน
แถมยังมี "โจทก์" คนเดียวกันคือ "อเมริกา" อีกต่างหาก!!!
กัดดาฟีมันชอบการเมืองตั้งแต่เป็นวัยรุ่น
มันซ่าขนาดเคยเข้าร่วมการเดินขบวนนัดหยุดเรียน
จนถูกทางโรงเรียนเขาอัปเปหิพ้นสภาพนักเรียน ต้องหาที่เรียนใหม่
แต่กัดดาฟีมันดันเป็นคนหัวดี
เพราะตอนหลังมันก็ไปสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยเบงกาซีได้สำเร็จ
ในช่วงที่กัดดาฟีเป็นนายทหารใหม่ๆนั้น
ลิเบียอยู่ภายใต้การปกครองของ "ฟารุค" ที่กัดดาฟีไม่ปลื้มเลยซักนิด
เพราะลิเบียมีแหล่งน้ำมันดิบ แต่ชนชั้นปกครองกลับร่ำรวยจากการให้สัมปทานกับต่างชาติ
ในขณะที่คนส่วนใหญ่ของประเทศที่เป็นชนชั้นรากหญ้านั้นกลับต้องลำบากอดอยากปากแห้ง ไม่มีข้าวสารจะกรอกหม้อ
กัดดาฟีมันก็เลย แอ่น แอน แอ๊น...... ยึดอำนาจมันซะเลย !!!
1 กันยายน 1969 ก็เป็นวันที่กัดดาฟีได้ "ฤกษ์โจร" ครัชชชช
กัดดาฟี และ พลพรรคของมันได้เชิญนายทหารใหญ่ และ นายตำรวจใหญ่มาดินเนอร์กัน
ในขณะที่กำลังกิน กูส กูส เนื้อแกะ กันอย่างเอร็ดอร่อยนั้น กองกำลังของกัดดาฟีก็ "ปิดประตูตีแมว" จับกุมตัวทุกคน
(ขุ่นพระ...ต้อนเข้าห้องแล้วล็อคตัวนี่จ่าว่ามันคุ้นๆจริงๆนะครัชชชชชช)
จากนั้นกัดดาฟีก็ขนอาวุธออกมา
ไล่ยึดเมืองทริโปลี และ เมืองเบงกาซี
พอมันยึดทุกอย่างได้แล้ว "ท่านผู้นำกัดดาฟี" ก็ออกประกาศเลื่อนยศตัวเองเป็น "พันเอก"
โห....โคดจะมักน้อยเลย ทำไมมันไม่เป็น "พลเอก" ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ??
พอได้เป็นท่านผู้นำที่อายุแค่ 27 ขวบ
กัดดาฟีมันก็ออกฤทธิ์ด้วยการตะเพิดอเมริกา กับ อังกฤษ
ให้รีบๆถอนฐานทัพของทั้ง 2 ชาติกลับออกไปจากลิเบียอย่างเร็วไว
จากนั้นมันก็ขึ้นราคาค่าจัดเก็บน้ำมันไปถึง 120% แล้วให้โอนกิจการมาเป็นของรัฐทั้งหมด !!!
เป็นไงล่ะ...ฤทธิ์เดชเผด็จการ !!
จากที่มันเคยด่ากลุ่มอำนาจเก่า
ว่าเอาแต่เสวยสุข และ เอารัดเอาเปรียบประชาชน
แต่พอกัดดาฟีได้เป็นใหญ่ มันเองก็ทำไม่ต่างจากคนที่ตัวเองไปยึดอำนาจ
กัดดาฟีอยู่อย่างหรูหรา
มีบ้านพักที่แสนจะโอ่อ่าอลังการ
มีรถยนต์หรูที่บางคันแทบไม่ได้ออกมาวิ่ง (เพราะมันมีเยอะมาก)
ขนาดปืนประจำตัวของกัดดาฟียังเป็น "ปืนทอง" เลยครัชชชชช
แต่หลังๆกัดดาฟีก็ไม่ได้อยู่สบายหรอก
เพราะลิเบียโดน UN แซงชั่นจนประเทศมันอ่วมอรทัย
เนื่องจาก UN มองว่ากัดดาฟีสนับสนุนการก่อการร้าย
ทั้งการระเบิดที่คลับแห่งหนึ่งในเยอรมนีจนมีคนอเมริกันตายไป 2 คน
ทั้งการก่อวินาศกรรมทางอากาศที่แสนจะโหดเหี้ยมสยดสยองกับสายการบินพานิชย์
แม้ว่าต่อมาลิเบียจะส่งมอบตัวของมือระเบิดเครื่องบิน "แพน แอม"
ที่โดนระเบิดเป็นจุลในน่านฟ้าของเมือง "ล็อคเคอร์บี" ประเทศสก็อตแลนด์
แต่ก็ไม่ได้ทำให้ไอ้กัดดาฟีดูดีขึ้นมาเลย ที่มันยอมก็เพราะมันลำบากจากมาตรการแซงชั่นของนานาชาติ
กัดดาฟีไปไหนมาไหนก็ลำบากครัชช
แม้จะกุมอำนาจเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ
แต่มันก็ไม่สามารถเดินดินกินข้าวมันไก่ข้างทางได้เลย เพราะฝ่ายตะวันตกจ้องจะเก็บมันตลอดเวลา
และ ด้วยความที่เป็นคน "หน้าหม้อ"
กัดดาฟีจึงเลือกที่จะใช้ทีมบอดี้การ์ดเป็นผู้หญิง
โดยทีมบอดี้การ์ดของมันจะต้องเป็น "สาวบริสุทธิ์" เท่านั้น
กัดดาฟีตั้งชื่อทีมบอดี้การ์ดสาวนี้ว่า “Amazonian guard” ครัชชชชชช
ทีมนี้มีทั้งหมด 41 คน
แต่ละคนต้องฝึกหนักเพื่อที่จะทำงานกับกัดดาฟี
และ ที่สำคัญ ทุกคนต้อง "สวย" ครัชชชช เพราะกัดดาฟีมันจะเป็นคนลงมือ "คัด" ด้วยตัวเอง !!!
แหมมมม....จ่าล่ะอิจฉามันจริงๆ
ด้วยความที่เป็นท่านผู้นำเผด็จการ
มันเลยทำให้กัดดาฟีมีผลประโยชน์ที่ไม่มีใครไปตรวจสอบได้
เพราะระบอบเผด็จการไม่เปิดโอกาสให้เกิดการตรวจสอบอะไรเลยจากสาธารณะ
ดังนั้นกัดดาฟีใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยแบบละลายแม่น้ำ
กัดดาฟีเคยจัดปาร์ตี้ เมา มั่ว กิน ขี้ พี้ นอน
และ ทุ่มเงินนับล้านดอลล่าในการจ้างนักร้องระดับซุปเปอร์สตาร์
เช่น บียอนเซ่ , เนลลี่ เฟอร์ทาโด และ มารายห์ แครี่ มาครวญเพลงให้ฟังแบบตัวเป็นๆ !!!
ตอนหลังพอเรื่องแดง
จ่าจำได้ว่าน้องเนลลี่เอาเงินค่าตัว 1 ล้านเหรียญที่ได้จากกัดดาฟีไปบริจาคการกุศลหมด
ส่วนบียอนเซ่ก็เอาไปบริจาคให้กับเหยื่อนแผ่นดินไหวที่ประเทศเฮติ ยกเว้นมารายห์ แครี่ ที่เก็บเงียบ (แหมมม... ตั้ง 1 ล้านเหรียญ จ่าว่าเป็นใครก็คิดหนัก)
เจอแบบนี้เข้า
ชาวลิเบียบางส่วนเริ่มจะหมดความอดทน
เพราะเล็งเห็นแล้วว่าภายใต้ระบอบเผด็จการนับสิบๆปีนั้น
กัดดาฟีคือคนที่เสวยสุขอยู่คนเดียว ในขณะที่ประชาชนกลับถูกกดหัวจนโงไม่ขึ้น
และแล้วก็ถึงวันที่คนลิเบียลุกขึ้นมาไล่ "เผด็จการ" ครัชชชชช !!!
ปรากฏการณ์ "อาหรับ สปริง"
คือหนึ่งในเหตุการณ์ที่คนลิเบียหลายแสนคนลุกฮือขึ้นต่อต้านเผด็จการกัดดาฟี
ซึ่งกัดดาฟีเองมันก็ "สู้ยิบตา" ด้วยการสั่งปราบปรามประชาชนอย่างรุนแรงด้วย "กระสุนจริง"
(เห้ยยยยยยยย.......ขุ่นพระ....ใครลอกใครล่ะเนี่ย)
UN เห็นท่าไม่ดี
ก็เลยมีมติให้ใช้ปฏิบัติการทางอากาศกับลิเบีย
จนนำไปสู่การล่มสลายของระบอบเผด็จการแบบกัดดาฟี ที่ปกครองลิเบียมากว่า 40 ปี !!!
กัดดาฟีหลบหนีการจับกุมไปซ่อนอยู่ในท่อระบายน้ำ
แต่ก็ไม่พ้นมือของชาวลิเบียที่สั่งสมความคั่งแค้นในระบอบเผด็จการ
เพราะชาวบ้านลากตัวกัดดาฟีขึ้นมาจากท่อระบายน้ำ และ ช่วยกันกระทืบจนตายครัชชช !!!
และนี่คือการรูดม่านปิดฉาก "จอมเผด็จการ" ด้วยฝีมือของ "ประชาชน" อย่างแท้จริง !!!!
เราต่างเรียนรู้อดีต เพื่อทำปัจจุบัน และ อนาคตของเราให้มันดีกว่าวันวานครับ ..!!!!!!
จ่าพิเชษฐ์