จากมติชนออนไลน์
นายอรรณภพ แก้วปทุมทิพย์ สถาปนิกและนักสะสมเหรียญหนึ่งในผู้ถือครองเหรียญ 10 บาท สองสี พ.ศ. 2533 ซึ่งกำลังเป็นกระแสมีผู้รับซื้อด้วยหลักแสนในตอนนี้ เล่าถึงที่มาของเหรียญ 10 บาทว่าได้จากแหล่งซื้อ-ขายยอดฮิตอย่างจตุจักรเมื่อปี 2543 แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีความคิดขายเหรียญหายากแม้จะมีผู้ประกาศรับซื้อเป็นเงินหลักแสนก็ตาม
กระแสการรับซื้อเหรียญ10บาทสองสีพ.ศ.2533ทำให้ชาวไทยแทบทุกคนกลับมาทุบกระปุกค้นเหรียญที่เก็บเอาไว้หวังว่าจะมีเหรียญหายากซึ่งร้านชื่อดังรับซื้อในราคาถึง1แสนบาทสำหรับนักสะสมเหรียญรุ่นใหญ่อย่างนายอรรณพสถาปนินักสะสมเหรียญซึ่งเก็บสะสมเหรียญหลายรูปแบบจำนวนหลายพันเหรียญ โดยหนึ่งในนั้นมีเหรียญ10บาทสองสี พ.ศ. 2533 รวมอยู่ด้วย ล่าสุด นายอรรณพ เปิดเผยถึงที่มาและรายละเอียดของเหรียญหายากโดยยืนยันว่า ไม่เคยคิดจะขายเหรียญที่ครอบครอง
สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับเหรียญ 10 บาท สองสี พ.ศ.2533 นายอรรณพ เปิดเผยว่า ผู้รู้รุ่นก่อนเล่าว่า อธิบดีกรมธนารักษ์ในสมัยนั้นทำหนังสือขอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขออนุญาตสร้างเหรียญ 10 บาท เป็นจำนวนประมาณ 100 เหรียญเพื่อเผยแพร่ในงานจัดแสดงเหรียญในต่างประเทศ ซึ่งผู้ถ่ายทอดเรื่องราวระบุว่ามีหนังสือการจัดทำเหรียญยืนยันแต่ก็ยังไม่เคยเห็นหนังสือด้วยตัวเองโดยได้ยินข้อมูลจากผู้รู้ที่ยืนยันข้อมูล อย่างไรก็ตาม ในช่วงจัดสร้างไม่ค่อยมีผู้สนใจเหรียญนี้มากนักจนกระทั่งเวลาผ่านไปกลุ่มพ่อค้าเหรียญซึ่งมักหาข้อมูลเรื่องการผลิตเหรียญอยู่แล้วทราบเรื่องเข้าก็กลายเป็นที่ฮือฮาขึ้นมาอีกเล็กน้อยแต่ก็ยังอยู่ในวงแคบเพราะวงการเหรียญไม่เหมือนวงการพระเครื่อง
นายอรรณพ เล่าต่อว่าหลังจากมีการผลิตเหรียญปี 2533 คนในวงการมีผู้พยายามค้นหาเหรียญนี้มากขึ้นตั้งแต่ปี2538เป็นต้นไปแต่ก็ยังไม่มีใครหาได้ส่วนใหญ่มักเป็นราคาคุยจนกระทั่งประมาณปี 2543 มีพ่อค้าหยิบเหรียญ 10 บาท ปี 2533 ให้ดูและเล่าข้อมูลต่างๆแบบที่เคยได้ยินมาก่อนซึ่งในช่วงเวลานั้นราคาที่ซื้อมาก็เป็นหลักแสนแล้ว
"คิดอยู่อย่างเดียวว่าถ้าเอาเหรียญนี้ไปก็จะสามารถถ่ายทอดข้อมูลเหรียญนี้โดยไม่ต้องไปหาข้อมูลจากที่อื่นตรงนี้คือหลักสำคัญการที่จะให้ข้อมูลคนอื่นถ้าไม่มีเหรียญประกอบด้วยใครจะมารู้เรื่องถ้าไม่มีรายละเอียดเหรียญประกอบเพราะฉะนั้นผมก็จะมีกล้องมีเหรียญและถ่ายเองก็เลยตัดใจซื้อมา"นายอรรณพกล่าว
นายอรรณพกล่าวต่อว่า เมื่อซื้อเสร็จก็ยังเดินทางถามหาเหรียญนี้จากร้านอื่น ขณะที่ร้านอื่นก็ยังคุยว่าหาเหรียญให้ได้ในราคา 4-5 หมื่นบาท นักสะสมเหรียญรุ่นใหญ่ยอมรับว่า รู้สึกหวิวเล็กน้อยเมื่อได้ยินราคาที่ต่ำกว่าที่ซื้อมา แต่ยังบอกว่าให้พ่อค้าหาเหรียญนี้โดยตัวเองจะให้ราคาเหรียญละ 8 หมื่นบาท อย่างไรก็ตาม จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เจอเหรียญอื่นนอกจากที่ซื้อมาในครั้งแรก แต่เคยเห็นผ่านสายตาในการประกวดเหรียญรวมถึงแต่งภาพโดยใช้เหรียญซึ่งจัดโดยกองกษาปณ์เมื่อนานมาแล้ว พบว่าคนที่ได้ที่หนึ่งมีเหรียญ 10 บาท ปี 2533 จำนวน 2 เหรียญติดอยู่ด้วย
เมื่อถามว่า เหรียญปีนี้อยู่กับมือนักสะสมคนอื่นบ้างหรือไม่ นายอรรณพ ตอบว่ามั่นใจว่าไม่มีใครรู้ข้อมูลนี้ พร้อมให้เหตุผลว่า ไม่มีใครทราบข้อมูลชัดเจนแม้แต่จำนวนเหรียญที่ผลิตมา ถ้าสมมติว่าทำมา 100 เหรียญจริง จะนำไปจัดแสดงทั้ง 100 เหรียญหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้แน่ชัด หรือถ้าสันนิษฐานว่าแจกเหรียญไม่หมดแล้วจะเหลือกลับมาเท่าไหร่ก็ไม่มีใครตอบได้ชัดเจนเพราะเชื่อว่าช่วงเวลานั้นไม่มีใครสนใจมากนัก แต่จนถึงวันนี้เชื่อว่าน่าจะมีคนที่มีอยู่แต่อาจไม่ได้สนใจกระแสหรือไม่ต้องการเป็นข่าว ส่วนตัวเองเพียงแต่พยายามเผยแพร่ข้อมูลต่างๆให้คนที่สนใจได้รู้ว่าสิ่งไหนมี สิ่งไหนไม่มี โดยทำมานานแล้วตั้งแต่ฝ่ายกษาปณ์เริ่มทำเว็บไซต์
"ผมเองผมประเมินจากที่สมมติว่าถ้าเอาไปแล้วแจกสักครึ่งหนึ่งหรืออาจแจกให้ผู้ติดตามต่างๆก็น่าจะร่วมร้อยเชื่อว่าน่าจะเหลือกลับมาเมืองไทยหรืออยู่ในเมืองไทยประมาณ 30 เหรียญจากตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็ประมาณว่าน่าจะวนเวียนอยู่แถวนี้ไม่มากนัก" นักสะสมเหรียญเล่า
นายอรรณพ ระบุว่าแม้ว่าการปลอมเหรียญในช่วงนั้นจะทำได้ไม่เหมือนของจริงมากนักและสามารถมองออกว่าเป็นเหรียญจริงหรือปลอมขึ้นมาถ้ามีข้อมูลและสังเกตอย่างละเอียดซึ่งการซื้อเหรียญก็ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดโดยตัวเองจะพกแว่นส่องทั้งขนาด1ต่อ10และ1ต่อ20 เสมอ สำหรับเหรียญ 10 บาทปี 2533 จุดที่นักสะสมกังวลคือจุดเลขปีพ.ศ.ผลิตซึ่งอาจมีการตัดหางเลข 7 (๗) แบบไทยให้กลายเป็นเลข 3 (๓)
อย่างไรก็ตาม นอกจากจะสังเกตอย่างละเอียดแล้ว ข้อเท็จจริงคือหัวของเลข ๓ กับเลข ๗ แบบที่ถูกตัดหางไปก็แตกต่างกันอยู่ดีแม้ว่าจะตัดหางได้เนียนแค่ไหน
เมื่อถามว่าสนใจขายเหรียญหรือไม่ นายอรรณพ ระบุว่าในชีวิตไม่เคยขายเหรียญแม้แต่เหรียญเดียวแต่ถ้ารักกันจริงๆก็ให้ฟรีและไม่รู้จักกับร้านที่ประกาศรับซื้อเป็นการส่วนตัวแต่เชื่อว่าอย่างน้อยก็สามารถสร้างกระแสให้คนสนใจเหรียญและทำให้คนเห็นว่าเหรียญที่อยู่ในกระเป๋าทั่วไปก็มีค่าอาจทำให้คนรุ่นใหม่รักการสะสมมากยิ่งขึ้น
ดูให้ชัด! สถาปนิกนักสะสมมีเหรียญ 10 บ.ปี 33 ลั่นไม่คิดขายเหรียญที่เก็บไว้
นายอรรณภพ แก้วปทุมทิพย์ สถาปนิกและนักสะสมเหรียญหนึ่งในผู้ถือครองเหรียญ 10 บาท สองสี พ.ศ. 2533 ซึ่งกำลังเป็นกระแสมีผู้รับซื้อด้วยหลักแสนในตอนนี้ เล่าถึงที่มาของเหรียญ 10 บาทว่าได้จากแหล่งซื้อ-ขายยอดฮิตอย่างจตุจักรเมื่อปี 2543 แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีความคิดขายเหรียญหายากแม้จะมีผู้ประกาศรับซื้อเป็นเงินหลักแสนก็ตาม
กระแสการรับซื้อเหรียญ10บาทสองสีพ.ศ.2533ทำให้ชาวไทยแทบทุกคนกลับมาทุบกระปุกค้นเหรียญที่เก็บเอาไว้หวังว่าจะมีเหรียญหายากซึ่งร้านชื่อดังรับซื้อในราคาถึง1แสนบาทสำหรับนักสะสมเหรียญรุ่นใหญ่อย่างนายอรรณพสถาปนินักสะสมเหรียญซึ่งเก็บสะสมเหรียญหลายรูปแบบจำนวนหลายพันเหรียญ โดยหนึ่งในนั้นมีเหรียญ10บาทสองสี พ.ศ. 2533 รวมอยู่ด้วย ล่าสุด นายอรรณพ เปิดเผยถึงที่มาและรายละเอียดของเหรียญหายากโดยยืนยันว่า ไม่เคยคิดจะขายเหรียญที่ครอบครอง
สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับเหรียญ 10 บาท สองสี พ.ศ.2533 นายอรรณพ เปิดเผยว่า ผู้รู้รุ่นก่อนเล่าว่า อธิบดีกรมธนารักษ์ในสมัยนั้นทำหนังสือขอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขออนุญาตสร้างเหรียญ 10 บาท เป็นจำนวนประมาณ 100 เหรียญเพื่อเผยแพร่ในงานจัดแสดงเหรียญในต่างประเทศ ซึ่งผู้ถ่ายทอดเรื่องราวระบุว่ามีหนังสือการจัดทำเหรียญยืนยันแต่ก็ยังไม่เคยเห็นหนังสือด้วยตัวเองโดยได้ยินข้อมูลจากผู้รู้ที่ยืนยันข้อมูล อย่างไรก็ตาม ในช่วงจัดสร้างไม่ค่อยมีผู้สนใจเหรียญนี้มากนักจนกระทั่งเวลาผ่านไปกลุ่มพ่อค้าเหรียญซึ่งมักหาข้อมูลเรื่องการผลิตเหรียญอยู่แล้วทราบเรื่องเข้าก็กลายเป็นที่ฮือฮาขึ้นมาอีกเล็กน้อยแต่ก็ยังอยู่ในวงแคบเพราะวงการเหรียญไม่เหมือนวงการพระเครื่อง
นายอรรณพ เล่าต่อว่าหลังจากมีการผลิตเหรียญปี 2533 คนในวงการมีผู้พยายามค้นหาเหรียญนี้มากขึ้นตั้งแต่ปี2538เป็นต้นไปแต่ก็ยังไม่มีใครหาได้ส่วนใหญ่มักเป็นราคาคุยจนกระทั่งประมาณปี 2543 มีพ่อค้าหยิบเหรียญ 10 บาท ปี 2533 ให้ดูและเล่าข้อมูลต่างๆแบบที่เคยได้ยินมาก่อนซึ่งในช่วงเวลานั้นราคาที่ซื้อมาก็เป็นหลักแสนแล้ว
"คิดอยู่อย่างเดียวว่าถ้าเอาเหรียญนี้ไปก็จะสามารถถ่ายทอดข้อมูลเหรียญนี้โดยไม่ต้องไปหาข้อมูลจากที่อื่นตรงนี้คือหลักสำคัญการที่จะให้ข้อมูลคนอื่นถ้าไม่มีเหรียญประกอบด้วยใครจะมารู้เรื่องถ้าไม่มีรายละเอียดเหรียญประกอบเพราะฉะนั้นผมก็จะมีกล้องมีเหรียญและถ่ายเองก็เลยตัดใจซื้อมา"นายอรรณพกล่าว
นายอรรณพกล่าวต่อว่า เมื่อซื้อเสร็จก็ยังเดินทางถามหาเหรียญนี้จากร้านอื่น ขณะที่ร้านอื่นก็ยังคุยว่าหาเหรียญให้ได้ในราคา 4-5 หมื่นบาท นักสะสมเหรียญรุ่นใหญ่ยอมรับว่า รู้สึกหวิวเล็กน้อยเมื่อได้ยินราคาที่ต่ำกว่าที่ซื้อมา แต่ยังบอกว่าให้พ่อค้าหาเหรียญนี้โดยตัวเองจะให้ราคาเหรียญละ 8 หมื่นบาท อย่างไรก็ตาม จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เจอเหรียญอื่นนอกจากที่ซื้อมาในครั้งแรก แต่เคยเห็นผ่านสายตาในการประกวดเหรียญรวมถึงแต่งภาพโดยใช้เหรียญซึ่งจัดโดยกองกษาปณ์เมื่อนานมาแล้ว พบว่าคนที่ได้ที่หนึ่งมีเหรียญ 10 บาท ปี 2533 จำนวน 2 เหรียญติดอยู่ด้วย
เมื่อถามว่า เหรียญปีนี้อยู่กับมือนักสะสมคนอื่นบ้างหรือไม่ นายอรรณพ ตอบว่ามั่นใจว่าไม่มีใครรู้ข้อมูลนี้ พร้อมให้เหตุผลว่า ไม่มีใครทราบข้อมูลชัดเจนแม้แต่จำนวนเหรียญที่ผลิตมา ถ้าสมมติว่าทำมา 100 เหรียญจริง จะนำไปจัดแสดงทั้ง 100 เหรียญหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้แน่ชัด หรือถ้าสันนิษฐานว่าแจกเหรียญไม่หมดแล้วจะเหลือกลับมาเท่าไหร่ก็ไม่มีใครตอบได้ชัดเจนเพราะเชื่อว่าช่วงเวลานั้นไม่มีใครสนใจมากนัก แต่จนถึงวันนี้เชื่อว่าน่าจะมีคนที่มีอยู่แต่อาจไม่ได้สนใจกระแสหรือไม่ต้องการเป็นข่าว ส่วนตัวเองเพียงแต่พยายามเผยแพร่ข้อมูลต่างๆให้คนที่สนใจได้รู้ว่าสิ่งไหนมี สิ่งไหนไม่มี โดยทำมานานแล้วตั้งแต่ฝ่ายกษาปณ์เริ่มทำเว็บไซต์
"ผมเองผมประเมินจากที่สมมติว่าถ้าเอาไปแล้วแจกสักครึ่งหนึ่งหรืออาจแจกให้ผู้ติดตามต่างๆก็น่าจะร่วมร้อยเชื่อว่าน่าจะเหลือกลับมาเมืองไทยหรืออยู่ในเมืองไทยประมาณ 30 เหรียญจากตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็ประมาณว่าน่าจะวนเวียนอยู่แถวนี้ไม่มากนัก" นักสะสมเหรียญเล่า
นายอรรณพ ระบุว่าแม้ว่าการปลอมเหรียญในช่วงนั้นจะทำได้ไม่เหมือนของจริงมากนักและสามารถมองออกว่าเป็นเหรียญจริงหรือปลอมขึ้นมาถ้ามีข้อมูลและสังเกตอย่างละเอียดซึ่งการซื้อเหรียญก็ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดโดยตัวเองจะพกแว่นส่องทั้งขนาด1ต่อ10และ1ต่อ20 เสมอ สำหรับเหรียญ 10 บาทปี 2533 จุดที่นักสะสมกังวลคือจุดเลขปีพ.ศ.ผลิตซึ่งอาจมีการตัดหางเลข 7 (๗) แบบไทยให้กลายเป็นเลข 3 (๓)
อย่างไรก็ตาม นอกจากจะสังเกตอย่างละเอียดแล้ว ข้อเท็จจริงคือหัวของเลข ๓ กับเลข ๗ แบบที่ถูกตัดหางไปก็แตกต่างกันอยู่ดีแม้ว่าจะตัดหางได้เนียนแค่ไหน
เมื่อถามว่าสนใจขายเหรียญหรือไม่ นายอรรณพ ระบุว่าในชีวิตไม่เคยขายเหรียญแม้แต่เหรียญเดียวแต่ถ้ารักกันจริงๆก็ให้ฟรีและไม่รู้จักกับร้านที่ประกาศรับซื้อเป็นการส่วนตัวแต่เชื่อว่าอย่างน้อยก็สามารถสร้างกระแสให้คนสนใจเหรียญและทำให้คนเห็นว่าเหรียญที่อยู่ในกระเป๋าทั่วไปก็มีค่าอาจทำให้คนรุ่นใหม่รักการสะสมมากยิ่งขึ้น