หมายเหตุ : บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญบางส่วน
SBR อายุครบ 10 ปีแล้วนะครับ.... นับตั้งแต่ตอนแรกลงโชเนนจัมป์ในปี 2004
จนถึงตอนสุดท้ายที่ลงอัลตร้าจัมป์ในปี 2011 จนถึงปัจจุบันนี้ ก็นับได้ 10 ย่าง
11 ปีแล้วสำหรับ SBR
ผมเลยขอมาเขียนบทความอะไรบางอย่างถึง SBR ยาวๆซักนิดนะครับ ^ ^
ในฐานะคนที่มีโจโจ้เป็นการ์ตูนที่ชอบมากที่สุดในดวงใจ (คงไม่ต้อง
บรรยายความชอบอะไรแล้ว เพราะหลายๆท่านคงรู้แล้วว่าผมรักโจโจ้
ปานจะกลืนขนาดไหน 5555 ไปเข้าเรื่องกันดีกว่า...)
เอาจริงๆ SBR ก็ไม่ถือว่าเป็นภาคที่สมบูรณ์เพอเฟ็คอะไรนัก เพราะตอนต้นๆของ
ภาค (รวมเล่มที่ 1-5) อะไรหลายๆอย่างยังไม่ชัดเจนลงตัว ยังขลุกๆขลักๆอยู่บ้าง
จนต่อๆมาเรื่องราวใน SBR ก็ค่อยๆลงตัวขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นถ้าตัดเนื้อหาในช่วงต้นๆ
ออกไป SBR จะเป็นโจโจ้ภาคที่สมบูรณ์เพอเฟ็คที่สุดภาคหนึ่งเลยทีเดียว ทั้งประ
เด็นเรื่องและการนำเสนอ (แต่เรื่องฉากบู๊ๆที่หลายๆคนชอบ อาจจะสู้ภาคก่อนๆไม่ได้)
และนี่คือเหตุผลหลายประการที่ผมได้อ่านและมองเห็นพัฒนาการ
ทางการเขียนเรื่องของ อ.อารากิ ใน SBR ครับ...
"โลกสีเทา กับตัวละครที่มีเลือดเนื้อ"- ใน SBR เราไม่ค่อยจะเจอตัวละครมาดเท่ห์ๆ
ที่มาพร้อมบทพูดเก๋ๆโดนๆ มากเท่าภาคก่อนๆนะครับ ...เพราะ SBR จะเปลี่ยนวิธีการ
ดีไซน์ตัวละครและโลกของพวกเขาไปอีกแบบหนึ่ง คือไม่ใช่การ์ตูนแอ็คชั่นขาวปะทะ
ดำ ธรรมมะปะทะอธรรม มีการแบ่งแยกคนดีคนเลวออกจากกันชัดเจนแล้ว แต่เป็นโลก
สีเทา ที่ทุกอย่างอยู่ในฐานของสิ่งที่เรารู้กันดีว่ามันมีจริง คือ
"ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี"
ที่เป็นมาตราวัดของทุกๆสิ่งบนโลก เรื่องราวใน SBR จึงไม่มีกลุ่มตัวละครเอกที่เดิน
ทางไปเป็นกลุ่มๆเหมือนภาคก่อนๆ
ที่สำคัญคือไม่มีใครดีไปหมด 100% หรือเลวไปหมด 100% เช่นกันในภาคนี้ ทุกคนต่าง
ทำในสิ่งที่เห็นสมควรว่าดี ...ผมเคยอ่านเจอที่ไหนซักแห่งว่า
"วายร้ายไม่ได้ทำเลวเพราะ
คิดว่าตัวเองเป็นคนเลว แต่ทำลงไปเพราะคิดว่าสิ่งที่ตนทำนั้นถูกต้องแล้ว" ใน SBR นี้ก็
เช่นกัน ต่างคนต่างที่เหตุผลที่จะตามล่าซากศพ โจนี่ ไจโร่ ดีโอ ฮอตแพนท์ส ต่างก็ล่า
ซากศพเพื่อตัวเองทั้งนั้น, วาเลนไทน์ก็ล่าซากศพเพื่ออำนาจและประเทศชาติ, เหล่าลูก
น้องของวาเลนไทน์ศัตรูประจำตอนของพวกโจนี่ทั้งหลายก็ทำงานให้ก็เพราะมองเห็น
ความเจริญรุ่งเรืองของประเทศในวันข้างหน้า ในมือของวาเลนไทน์ ฉะนั้นไม่ว่าจะอะไร
ก็ทำได้ทั้งนั้น...
"แนวก้าวพ้นวัย, ดราม่า, ความเชื่อ, การเมือง รวมอยู่ในเรื่องเดียว" - หากต้องการฉาก
แอ็คชั่นกระหน่ำโอร่าๆๆๆๆแบบในภาคก่อนๆ SBR ไม่เหมาะกับท่านเลยครับ แต่หากต้องการ
มังงะเนื้อหาเข้มข้นล่ะก็ SBR คือที่สุดของโจโจ้ที่มีเนื้อหาเข้มข้นมากๆ เพราะ SBR มีเรื่องราว
ทั้งการต่อสู้ การเดินทาง การเติบโต ความเชื่อ ระทึกขวัญการเมือง รวมอยู่ในเรื่องเดียวเลย
ถ้าเปรียบเทียบการเล่าเรื่องของโจโจ้เป็นคลื่นน้ำ ภาคก่อนๆคงเป็นคลื่นน้ำรุนแรงระดับสึนามิ
ที่สนุกและระทึกตลอดเรื่อง แต่สำหรับ SBR คงเป็นคลื่นน้ำลูกเล็กๆแต่มีคลื่นเกิดขึ้นต่อเนื่อง
นั่นเอง เพราะ SBR จะเน้นไปที่เรื่องราวและตัวละครจริงๆ พลังสแตนด์และการต่อสู้แทบจะเป็น
แค่ส่วนประกอบเล็กๆเท่านั้น เนื้อหาแทบไม่มีมุขตลกแทรกเป็นพักๆเหมือนภาคก่อนๆเลย
เต็มไปด้วยดราม่าเข้มข้น ปวดตับ (มุขก็คงมีแต่มุขแป้กๆของเฮียไจโร่คนเดียว ..ฮาาา)
...โจโจ้ภาคก่อนๆเป็นเหมือนมังงะแอ็คชั่นที่มีดราม่าเป็นส่วนประกอบ แต่ SBR จะเป็นมังงะ
ดราม่าเข้มข้นที่มีแอ็คชั่นเป็นส่นประกอบ กลับกันเลย...
เพราะแบบนี้แหละครับ อ.อารากิ ถึงไม่อยากเอาชื่อ โจโจ้ ขึ้นบนปกอีก เพราะการนำเสนอ
ที่ต่างจากภาคก่อนๆมาก จนแทบจะเป็นการ์ตูนเรื่องใหม่เลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยเหตุผลทางการ
ตลาด สุดท้าย SBR ก็กลายเป็นโจโจ้ภาคที่ 7 สานต่อตำนานให้มีชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน
(ถ้าไม่กลับมาใช้ชื่อโจโจ้อีก ไม่รู้ว่า อ.อารากิ จะเขียน Jojolion ต่อมั๊ย)
"ซากศพศักดิ์สิทธิ์"- สุดท้าย อ.อารากิ ก็ไม่ได้บอกอะไรชัดเจนว่าซากศพนี้คือใคร เพราะสิ่ง
ที่ตัวละครหลายๆตัวเห็นกันก็อาจจะเป็นแค่ความเชื่อของคนๆนั้นเองก็ได้ ไม่มีอะไรยืนยันว่า
ซากศพจะเป็นท่านผู้นั้นจริงๆ ...แต่ยังไงก็ตามซากศพนักบุญก็มีพลังอำนาจมากมาย และ
เป็นตัวแทนของ
"ความสุข" ของมนุษย์
ความสุข ที่แท้จริงของมนุษย์คืออะไร? บางทีคำตอบอาจจะใกล้ตัวกว่าที่เราคิดนะครับ
ถ้าดูจากสิ่งที่วาเลนไทน์พูด หรือสิ่งที่โจนี่คิด ความสุขมันก็คือ "ความต้องการ" มนุษย์
ต้องการให้ทุกอย่างเป็นในสิ่งที่ตัวเองอยากให้เป็นเสมอ ซากศพจึงเลยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
หากมนุษย์คนนั้นมีความมุ่งมันแรงกล้าพอ ซากศพก็จะอยู่ข้างเดียวกับเขาแน่นอน
(เหมือนที่ D4C ถูกอัพเกรดเป็น เลิฟเทรน เพราะในสายตาของซากศพ อาจไม่ได้
มองในมุมที่คนอ่านมอง โจนี่กับไจโร่ไม่ใช่พระเอก วาเลนไทน์ก็ไม่ใช่ตัวร้ายที่พระเอก
จะต้องกำจัด ทุกคนคือมนุษย์ที่มีความต้องการและความมุ่งมั่นเท่าเทียมกัน)
...ที่สำคัญในตอนจบ ที่โจนี่ไม่ได้เป็นคนชนะศึกสุดท้ายด้วยตัวเอง
เพราะโจนี่ไม่ใช่วีรบุรุษ และเขาก็ไม่ได้กำลังช่วยโลกแต่อย่างใด...
"โจนี่ โจสตาร์ & ไจโร เซเปลี่" - จนบัดนี้ยังมีคนเถียงไม่เลิกว่าตกลงเฮียไจโร่กับน้องโจนี่
ใครเป็นพระเอกของภาคนี้กันแน่? คือถ้านับว่าโจโจ้จะต้องมีโจสตาร์เป็นตัวเอก ก็คงเป็น
โจนี่ล่ะครับ ...แต่สำหรับผม ผมยกให้เป้นพระเอกกันทั้งคู่นะครับ เพราะไม่มีใครเด่นไปกว่าใครเลย
สองคนนี้ถือเป็นตัวเอกที่พัฒนาความสัมพันธุ์ที่ยาวนานและทำให้เชื่อได้ในทุกๆการกระทำว่า
พวกเขาเรียนรู้และผูกพันจริงๆ ...ภูมิหลังและนิสัยที่ต่างกันสุดขั้ว ทำให้ต่างฝ่ายต่างเรียนรู้ซึ่ง
กันและกัน โจนี่เป็นเด็กหนุ่มวัย 19 ที่ผ่านโลกมาเยอะพอดู ส่วนไจโร่ก็เป็นคนหนุ่มจากต่าง
แดนที่กำลังจะออกมาเรียนรู้โลก ...ทั้งคู่ต่างมีบางอย่างที่เข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดของกันและ
กัน จนเป็นความสัมพันธุ์ที่เป็นทั้ง เพื่อนรัก, พี่ชายกับน้องชาย, ศิษย์กับอาจารย์ ...มันทำให้
เราลุ้นไปกับการผจญภัยท้าทายโชคชะตาของสองคนนี้ได้จนถึงวินาทีสุดท้าย
ในการเดินทางของสองคนนี้ เราจะเห็นฉากวัดศีลธรรมของทั้งคู่อยู่เยอะนะครับ เช่นตอนแลก
เปลี่ยนของชูการ์ เมาเท่น ที่สุดท้ายโจนี่ก็เสียซากศพไปทั้งน้ำตาเพื่อช่วยชีวิตไจโร่ หรือตอน
ศึกในสวนลูกพลับของริงโก้ โร้ดอะเกน ที่ทำให้ไจโร่ได้รู้เป็นครั้งแรกว่าสังคมลูกผู้ชายมันเป็น
แค่โลกในอุดมคติเท่านั้น
โจนี่กับไจโร่เลยเป็นตัวละครที่แฟนๆหลายคนรักนะครับ ^ ^ ไม่ใช่เพราะพวกเขาเก่ง
เท่ห์มาจากไหน แต่เพราะทั้งคู่มีความเป็นมนุษย์สูง จิตใจไม่ได้สูงส่งหรือกล้าหาญ
เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่กำลังออกเดินทางก็เท่านั้น
"ดิเอโก้ บรันโด" - นัยหนึ่ง หากสองคนข้างบนเป็นพระเอก บทของดีโอก็คง
หนีไม่พ้นตัวร้ายที่เป็นศัตรูกับพระเอกนะครับ ...แต่สำหรับดีโอใน SBR คนนี้ เขา
เป็นตัวร้ายของเรื่องจริงๆเหรอ?
สำหรับผม ดีโอก็เป็นคนที่กำลังออกเดินทางไม่ต่างไปจากคนอื่นๆเลย แต่เส้นทางที่เขา
เลือกเดินนั้นรุนแรงกว่ามาก เขาไม่เคยหันมาเหลียวหลังดูเพื่อนที่กำลังตามหลังว่าเป็น
อะไรหรือเปล่า อะไรก็ตามที่สามารถทำให้ได้มาซึ่งอำนาจ ดีโอก็พร้อมจะทำอย่างไม่ลังเล
เพราะยังไงชีวิตมันก็ไม่ได้มีดีมากมายอยู่แล้ว แล้วจะไปทำตัวเป็นคนดีให้โลกมันหัวเราะ
เยาะทำไม? นั่นแหละครับคือเส้นทางที่ดีโอคิดและเลือกจะทำ
เราคงต้องถามตัวเองให้ดีๆก่อนว่า หากเราเผชิญหน้ากับชีวิตที่ย่ำแย่และถูกโชคชะตาทำ
ร้ายมามากแบบดีโอ เราจะตัดสินใจยังไง จะเดินทางแบบไหน? สำหรับดีโอเขาเลือกจะ
เป็น
"ผู้หิวโหย" (แบบที่โจนี่เรียก) ที่แย่งชิงทุกอย่างตั้งแต่ของกินไปจนถึงโชคชะตา...
ผมเลยไม่เคยคิดว่าดีโอเวอร์ชั่นจิ้งเหลนผู้นี้เป็นตัวร้ายเลย (เหมือนเป็นการเอาดีโอใน
จักรวาลเก่ามาทำให้ดูมีมิติมากขึ้นนั่นเอง)
"ลูซี่ สตีล" - ท่ามกลางโลกสีเทานี้ มันก็ยังมีแสงสว่าง
อยู่บ้างนะครับ ...ลูซี่ สตีล ผู้นี้นี่เอง
ลูซี่เป็นตัวละครหญิงตัวแรก (ไม่นับโจลีนที่เป็น Protagonist ของเรื่องอยู่แล้ว) ที่ อ.อารากิ
ให้ความสำคัญกับบทมากๆ ไม่ใช่แค่ไม้ประดับในโจโจ้เท่านั้น แต่เป็นเด็กสาวแสนธรรมดา
ที่ถูกบ่มเพาะจิตใจในทางที่ดีมาตลอดชีวิต จากสตีเฟ่น สตีล สามีผู้มีพระคุณ ทำให้เธอเป็น
คนที่ดูจะเป็นตัวละครสีขาวจริงๆเพียงคนเดียวในเรื่อง ...เพราะแบบนี้ล่ะครับ คิดดูว่าตัวละคร
หัวใจบริสุทธ์ในโลกที่เป็นสีเทา จะมีชะตากรรมยังไงบ้าง? เพราะเมื่อเธอพบว่าสตีลกำลัง
ถูกวาเลนไทน์หลอกใช้ เธอก็พร้อมเสี่ยงชีวิตช่วยสามีของเธอทันที โดยไม่ได้เตรียมใจ
เลยว่าโลกใบนี้มันโหดร้ายขนาดไหน
เหตุผลเท่านี้ คงเพียงพอแล้วที่จะรองรับว่า ลูซี่คือคนที่เหมาะสม
ที่จะครอบครองซากศพที่สุดในเรื่องนะครับ..
"ฟันนี่ วาเลนไทน์"- บอสประจำภาคที่คนอ่านเกลียดไม่ลง ...เอาจริงๆนอกจากดีโอแล้ว
บอสของโจโจ้คนอื่นๆก็มีแต่คนที่เลวแบบ 100% หัวใจมีแต่สีดำสนิทกันหมดทุกคน ..แต่วาเลน
ไทน์ก็เป็นบอสที่มิติมากไม่แพ้ดีโอเลย เพราะด้วยตำแหน่งหน้าที่การงานของเขา (ประธานาธิบดี
ของอเมริกา) กับอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ที่ทำให้เชื่อได้ว่า พลังศรัทธาและแรงสนับสนุนของประชา
ชนที่มีต่อวาเลนไทน์ผู้นี้ไม่ได้มาจากการชักจูงใดๆทั้งสิ้น แต่มาจากความศรัทธาในการกระทำของ
เขาจริงๆ วาเลนไทน์เลยห่างไกลจากบอสใหญ่ของเรื่องในความคิดของหลายๆคน เพราะเขาไม่
ใช่มารร้ายที่จะยึดครองโลก แต่อำนาจที่เขาต้องการนั้น ท้ายสุดก็เพื่อการทำให้อเมริกาเจริญรุ่งเรือง
ในทางกลับกันอุดมการณ์ของวาเลนไทน์ก้สะท้อนความเป็นอเมริกาได้ดีนะครับ เพราะจน
บัดนี้อเมริกาของยังเป็นประเทศที่ไขว่ขว้าอำนาจด้วยการโยนภาระให้คนอื่นอยู่เนืองๆ ...แต่ท้าย
ที่สุดผลลัพท์มันก้คือความสุขของทุกๆคน วาเลนไทน์นั้นมีความเชื่อว่าโลกเราจำเป็นต้องมีขาว
และดำ หากแผ่นดินที่มีซากศพคือสีขาว ก็จะต้องมีแผ่นดินที่ไหนซักแห่งเป็นสีดำ เพื่อสร้างสม
ดุลให้กับโลก บวกมีลบ ขาวมีดำ ...แม้จะต้องมีการเสียเลือดเสียเนื้อมากเท่าไหร่ แต่หากมันได้
มาซึ่งความสุข มันก็เป็นเสียสละที่จำเป็นต้องแลก ...หลักการแบบวาเลนไทน์เลยออกจะเลือด
เย็นและรุนแรง แต่เป็นอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ จนโจนี่เทียบไม่ได้เลยซักอย่างเดียว
ผมเลยไม่สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าวาเลนไทน์เป็นตัวร้าย เรียกว่าเป็น
คนที่มีอุดมการณ์ยิ่งใหญ่และเด็ดขาดจะดีกว่า ...แม้หลักการจะผิดศีลธรรม
แต่ก็มาพร้อมกับความรุ่งเรืองในอนาคต เป็นเราจะเลือกอะไร?
สรุปคือแม้ อ.อารากิ จะไม่ได้สร้างให้ SBR เป็นจุดพีคในอาชีพเหมือนตอนภาค 3-5
แต่ SBR ก็ถือเป็นการยกระดับให้โจโจ้ เป็นมากกว่าการ์ตูนไปอีกขั้นหนึ่ง ที่แม้จะค่อน
ข้างแล้งความมันส์ ขาดความบันเทิง แต่เนื้อหาก็เปิดโอกาสให้คนอ่านใช้บางสิ่งที่
ไม่ค่อยได้ใช้เวลาอ่านการ์ตูน คือการ
"เปิดใจ" รับเรื่องราวต่างๆด้วยหัวใจไม่ใช่แค่
ตากับสมองเท่านั้น เช่นเดียวกับอำนาจจากซากศพที่ต้องใช้แรงศรัทธานั่นเอง
นึกไม่ถึงว่า SBR จะมีอายุครบ 10 ปีแล้วนะครับ (SBR ใช้เวลาเขียน 7 ปีเต็ม คงเพราะ
เป็นมังงะรายเดือนมันถึงยาวนานแบบนี้ ^ ^ แม้จะไม่ได้ชอบภาคนี้ที่สุดก็ตาม (ถ้าชอบ
สุดก็ภาค 4) แต่ก็เป็นภาคที่ชอบเป็นอันดับต้นๆ เพราะได้อะไรเยอะแยะเหลือเกินจาก
การอ่านภาคนี้ มีเพื่อนๆคนไหนชอบอะไรใน SBR บ้างครับ? มาแชร์ๆความรู้สึกต่างๆกันได้
โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ ภาค 7 สตีล บอล รัน (Steel Ball Run) อายุครบ 10 ปีแล้วนะครับ
SBR อายุครบ 10 ปีแล้วนะครับ.... นับตั้งแต่ตอนแรกลงโชเนนจัมป์ในปี 2004
จนถึงตอนสุดท้ายที่ลงอัลตร้าจัมป์ในปี 2011 จนถึงปัจจุบันนี้ ก็นับได้ 10 ย่าง
11 ปีแล้วสำหรับ SBR
ผมเลยขอมาเขียนบทความอะไรบางอย่างถึง SBR ยาวๆซักนิดนะครับ ^ ^
ในฐานะคนที่มีโจโจ้เป็นการ์ตูนที่ชอบมากที่สุดในดวงใจ (คงไม่ต้อง
บรรยายความชอบอะไรแล้ว เพราะหลายๆท่านคงรู้แล้วว่าผมรักโจโจ้
ปานจะกลืนขนาดไหน 5555 ไปเข้าเรื่องกันดีกว่า...)
เอาจริงๆ SBR ก็ไม่ถือว่าเป็นภาคที่สมบูรณ์เพอเฟ็คอะไรนัก เพราะตอนต้นๆของ
ภาค (รวมเล่มที่ 1-5) อะไรหลายๆอย่างยังไม่ชัดเจนลงตัว ยังขลุกๆขลักๆอยู่บ้าง
จนต่อๆมาเรื่องราวใน SBR ก็ค่อยๆลงตัวขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นถ้าตัดเนื้อหาในช่วงต้นๆ
ออกไป SBR จะเป็นโจโจ้ภาคที่สมบูรณ์เพอเฟ็คที่สุดภาคหนึ่งเลยทีเดียว ทั้งประ
เด็นเรื่องและการนำเสนอ (แต่เรื่องฉากบู๊ๆที่หลายๆคนชอบ อาจจะสู้ภาคก่อนๆไม่ได้)
และนี่คือเหตุผลหลายประการที่ผมได้อ่านและมองเห็นพัฒนาการ
ทางการเขียนเรื่องของ อ.อารากิ ใน SBR ครับ...
"โลกสีเทา กับตัวละครที่มีเลือดเนื้อ"- ใน SBR เราไม่ค่อยจะเจอตัวละครมาดเท่ห์ๆ
ที่มาพร้อมบทพูดเก๋ๆโดนๆ มากเท่าภาคก่อนๆนะครับ ...เพราะ SBR จะเปลี่ยนวิธีการ
ดีไซน์ตัวละครและโลกของพวกเขาไปอีกแบบหนึ่ง คือไม่ใช่การ์ตูนแอ็คชั่นขาวปะทะ
ดำ ธรรมมะปะทะอธรรม มีการแบ่งแยกคนดีคนเลวออกจากกันชัดเจนแล้ว แต่เป็นโลก
สีเทา ที่ทุกอย่างอยู่ในฐานของสิ่งที่เรารู้กันดีว่ามันมีจริง คือ "ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี"
ที่เป็นมาตราวัดของทุกๆสิ่งบนโลก เรื่องราวใน SBR จึงไม่มีกลุ่มตัวละครเอกที่เดิน
ทางไปเป็นกลุ่มๆเหมือนภาคก่อนๆ
ที่สำคัญคือไม่มีใครดีไปหมด 100% หรือเลวไปหมด 100% เช่นกันในภาคนี้ ทุกคนต่าง
ทำในสิ่งที่เห็นสมควรว่าดี ...ผมเคยอ่านเจอที่ไหนซักแห่งว่า "วายร้ายไม่ได้ทำเลวเพราะ
คิดว่าตัวเองเป็นคนเลว แต่ทำลงไปเพราะคิดว่าสิ่งที่ตนทำนั้นถูกต้องแล้ว" ใน SBR นี้ก็
เช่นกัน ต่างคนต่างที่เหตุผลที่จะตามล่าซากศพ โจนี่ ไจโร่ ดีโอ ฮอตแพนท์ส ต่างก็ล่า
ซากศพเพื่อตัวเองทั้งนั้น, วาเลนไทน์ก็ล่าซากศพเพื่ออำนาจและประเทศชาติ, เหล่าลูก
น้องของวาเลนไทน์ศัตรูประจำตอนของพวกโจนี่ทั้งหลายก็ทำงานให้ก็เพราะมองเห็น
ความเจริญรุ่งเรืองของประเทศในวันข้างหน้า ในมือของวาเลนไทน์ ฉะนั้นไม่ว่าจะอะไร
ก็ทำได้ทั้งนั้น...
"แนวก้าวพ้นวัย, ดราม่า, ความเชื่อ, การเมือง รวมอยู่ในเรื่องเดียว" - หากต้องการฉาก
แอ็คชั่นกระหน่ำโอร่าๆๆๆๆแบบในภาคก่อนๆ SBR ไม่เหมาะกับท่านเลยครับ แต่หากต้องการ
มังงะเนื้อหาเข้มข้นล่ะก็ SBR คือที่สุดของโจโจ้ที่มีเนื้อหาเข้มข้นมากๆ เพราะ SBR มีเรื่องราว
ทั้งการต่อสู้ การเดินทาง การเติบโต ความเชื่อ ระทึกขวัญการเมือง รวมอยู่ในเรื่องเดียวเลย
ถ้าเปรียบเทียบการเล่าเรื่องของโจโจ้เป็นคลื่นน้ำ ภาคก่อนๆคงเป็นคลื่นน้ำรุนแรงระดับสึนามิ
ที่สนุกและระทึกตลอดเรื่อง แต่สำหรับ SBR คงเป็นคลื่นน้ำลูกเล็กๆแต่มีคลื่นเกิดขึ้นต่อเนื่อง
นั่นเอง เพราะ SBR จะเน้นไปที่เรื่องราวและตัวละครจริงๆ พลังสแตนด์และการต่อสู้แทบจะเป็น
แค่ส่วนประกอบเล็กๆเท่านั้น เนื้อหาแทบไม่มีมุขตลกแทรกเป็นพักๆเหมือนภาคก่อนๆเลย
เต็มไปด้วยดราม่าเข้มข้น ปวดตับ (มุขก็คงมีแต่มุขแป้กๆของเฮียไจโร่คนเดียว ..ฮาาา)
...โจโจ้ภาคก่อนๆเป็นเหมือนมังงะแอ็คชั่นที่มีดราม่าเป็นส่วนประกอบ แต่ SBR จะเป็นมังงะ
ดราม่าเข้มข้นที่มีแอ็คชั่นเป็นส่นประกอบ กลับกันเลย...
เพราะแบบนี้แหละครับ อ.อารากิ ถึงไม่อยากเอาชื่อ โจโจ้ ขึ้นบนปกอีก เพราะการนำเสนอ
ที่ต่างจากภาคก่อนๆมาก จนแทบจะเป็นการ์ตูนเรื่องใหม่เลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยเหตุผลทางการ
ตลาด สุดท้าย SBR ก็กลายเป็นโจโจ้ภาคที่ 7 สานต่อตำนานให้มีชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน
(ถ้าไม่กลับมาใช้ชื่อโจโจ้อีก ไม่รู้ว่า อ.อารากิ จะเขียน Jojolion ต่อมั๊ย)
"ซากศพศักดิ์สิทธิ์"- สุดท้าย อ.อารากิ ก็ไม่ได้บอกอะไรชัดเจนว่าซากศพนี้คือใคร เพราะสิ่ง
ที่ตัวละครหลายๆตัวเห็นกันก็อาจจะเป็นแค่ความเชื่อของคนๆนั้นเองก็ได้ ไม่มีอะไรยืนยันว่า
ซากศพจะเป็นท่านผู้นั้นจริงๆ ...แต่ยังไงก็ตามซากศพนักบุญก็มีพลังอำนาจมากมาย และ
เป็นตัวแทนของ "ความสุข" ของมนุษย์
ความสุข ที่แท้จริงของมนุษย์คืออะไร? บางทีคำตอบอาจจะใกล้ตัวกว่าที่เราคิดนะครับ
ถ้าดูจากสิ่งที่วาเลนไทน์พูด หรือสิ่งที่โจนี่คิด ความสุขมันก็คือ "ความต้องการ" มนุษย์
ต้องการให้ทุกอย่างเป็นในสิ่งที่ตัวเองอยากให้เป็นเสมอ ซากศพจึงเลยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
หากมนุษย์คนนั้นมีความมุ่งมันแรงกล้าพอ ซากศพก็จะอยู่ข้างเดียวกับเขาแน่นอน
(เหมือนที่ D4C ถูกอัพเกรดเป็น เลิฟเทรน เพราะในสายตาของซากศพ อาจไม่ได้
มองในมุมที่คนอ่านมอง โจนี่กับไจโร่ไม่ใช่พระเอก วาเลนไทน์ก็ไม่ใช่ตัวร้ายที่พระเอก
จะต้องกำจัด ทุกคนคือมนุษย์ที่มีความต้องการและความมุ่งมั่นเท่าเทียมกัน)
...ที่สำคัญในตอนจบ ที่โจนี่ไม่ได้เป็นคนชนะศึกสุดท้ายด้วยตัวเอง
เพราะโจนี่ไม่ใช่วีรบุรุษ และเขาก็ไม่ได้กำลังช่วยโลกแต่อย่างใด...
"โจนี่ โจสตาร์ & ไจโร เซเปลี่" - จนบัดนี้ยังมีคนเถียงไม่เลิกว่าตกลงเฮียไจโร่กับน้องโจนี่
ใครเป็นพระเอกของภาคนี้กันแน่? คือถ้านับว่าโจโจ้จะต้องมีโจสตาร์เป็นตัวเอก ก็คงเป็น
โจนี่ล่ะครับ ...แต่สำหรับผม ผมยกให้เป้นพระเอกกันทั้งคู่นะครับ เพราะไม่มีใครเด่นไปกว่าใครเลย
สองคนนี้ถือเป็นตัวเอกที่พัฒนาความสัมพันธุ์ที่ยาวนานและทำให้เชื่อได้ในทุกๆการกระทำว่า
พวกเขาเรียนรู้และผูกพันจริงๆ ...ภูมิหลังและนิสัยที่ต่างกันสุดขั้ว ทำให้ต่างฝ่ายต่างเรียนรู้ซึ่ง
กันและกัน โจนี่เป็นเด็กหนุ่มวัย 19 ที่ผ่านโลกมาเยอะพอดู ส่วนไจโร่ก็เป็นคนหนุ่มจากต่าง
แดนที่กำลังจะออกมาเรียนรู้โลก ...ทั้งคู่ต่างมีบางอย่างที่เข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดของกันและ
กัน จนเป็นความสัมพันธุ์ที่เป็นทั้ง เพื่อนรัก, พี่ชายกับน้องชาย, ศิษย์กับอาจารย์ ...มันทำให้
เราลุ้นไปกับการผจญภัยท้าทายโชคชะตาของสองคนนี้ได้จนถึงวินาทีสุดท้าย
ในการเดินทางของสองคนนี้ เราจะเห็นฉากวัดศีลธรรมของทั้งคู่อยู่เยอะนะครับ เช่นตอนแลก
เปลี่ยนของชูการ์ เมาเท่น ที่สุดท้ายโจนี่ก็เสียซากศพไปทั้งน้ำตาเพื่อช่วยชีวิตไจโร่ หรือตอน
ศึกในสวนลูกพลับของริงโก้ โร้ดอะเกน ที่ทำให้ไจโร่ได้รู้เป็นครั้งแรกว่าสังคมลูกผู้ชายมันเป็น
แค่โลกในอุดมคติเท่านั้น
โจนี่กับไจโร่เลยเป็นตัวละครที่แฟนๆหลายคนรักนะครับ ^ ^ ไม่ใช่เพราะพวกเขาเก่ง
เท่ห์มาจากไหน แต่เพราะทั้งคู่มีความเป็นมนุษย์สูง จิตใจไม่ได้สูงส่งหรือกล้าหาญ
เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่กำลังออกเดินทางก็เท่านั้น
"ดิเอโก้ บรันโด" - นัยหนึ่ง หากสองคนข้างบนเป็นพระเอก บทของดีโอก็คง
หนีไม่พ้นตัวร้ายที่เป็นศัตรูกับพระเอกนะครับ ...แต่สำหรับดีโอใน SBR คนนี้ เขา
เป็นตัวร้ายของเรื่องจริงๆเหรอ?
สำหรับผม ดีโอก็เป็นคนที่กำลังออกเดินทางไม่ต่างไปจากคนอื่นๆเลย แต่เส้นทางที่เขา
เลือกเดินนั้นรุนแรงกว่ามาก เขาไม่เคยหันมาเหลียวหลังดูเพื่อนที่กำลังตามหลังว่าเป็น
อะไรหรือเปล่า อะไรก็ตามที่สามารถทำให้ได้มาซึ่งอำนาจ ดีโอก็พร้อมจะทำอย่างไม่ลังเล
เพราะยังไงชีวิตมันก็ไม่ได้มีดีมากมายอยู่แล้ว แล้วจะไปทำตัวเป็นคนดีให้โลกมันหัวเราะ
เยาะทำไม? นั่นแหละครับคือเส้นทางที่ดีโอคิดและเลือกจะทำ
เราคงต้องถามตัวเองให้ดีๆก่อนว่า หากเราเผชิญหน้ากับชีวิตที่ย่ำแย่และถูกโชคชะตาทำ
ร้ายมามากแบบดีโอ เราจะตัดสินใจยังไง จะเดินทางแบบไหน? สำหรับดีโอเขาเลือกจะ
เป็น "ผู้หิวโหย" (แบบที่โจนี่เรียก) ที่แย่งชิงทุกอย่างตั้งแต่ของกินไปจนถึงโชคชะตา...
ผมเลยไม่เคยคิดว่าดีโอเวอร์ชั่นจิ้งเหลนผู้นี้เป็นตัวร้ายเลย (เหมือนเป็นการเอาดีโอใน
จักรวาลเก่ามาทำให้ดูมีมิติมากขึ้นนั่นเอง)
"ลูซี่ สตีล" - ท่ามกลางโลกสีเทานี้ มันก็ยังมีแสงสว่าง
อยู่บ้างนะครับ ...ลูซี่ สตีล ผู้นี้นี่เอง
ลูซี่เป็นตัวละครหญิงตัวแรก (ไม่นับโจลีนที่เป็น Protagonist ของเรื่องอยู่แล้ว) ที่ อ.อารากิ
ให้ความสำคัญกับบทมากๆ ไม่ใช่แค่ไม้ประดับในโจโจ้เท่านั้น แต่เป็นเด็กสาวแสนธรรมดา
ที่ถูกบ่มเพาะจิตใจในทางที่ดีมาตลอดชีวิต จากสตีเฟ่น สตีล สามีผู้มีพระคุณ ทำให้เธอเป็น
คนที่ดูจะเป็นตัวละครสีขาวจริงๆเพียงคนเดียวในเรื่อง ...เพราะแบบนี้ล่ะครับ คิดดูว่าตัวละคร
หัวใจบริสุทธ์ในโลกที่เป็นสีเทา จะมีชะตากรรมยังไงบ้าง? เพราะเมื่อเธอพบว่าสตีลกำลัง
ถูกวาเลนไทน์หลอกใช้ เธอก็พร้อมเสี่ยงชีวิตช่วยสามีของเธอทันที โดยไม่ได้เตรียมใจ
เลยว่าโลกใบนี้มันโหดร้ายขนาดไหน
เหตุผลเท่านี้ คงเพียงพอแล้วที่จะรองรับว่า ลูซี่คือคนที่เหมาะสม
ที่จะครอบครองซากศพที่สุดในเรื่องนะครับ..
"ฟันนี่ วาเลนไทน์"- บอสประจำภาคที่คนอ่านเกลียดไม่ลง ...เอาจริงๆนอกจากดีโอแล้ว
บอสของโจโจ้คนอื่นๆก็มีแต่คนที่เลวแบบ 100% หัวใจมีแต่สีดำสนิทกันหมดทุกคน ..แต่วาเลน
ไทน์ก็เป็นบอสที่มิติมากไม่แพ้ดีโอเลย เพราะด้วยตำแหน่งหน้าที่การงานของเขา (ประธานาธิบดี
ของอเมริกา) กับอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ที่ทำให้เชื่อได้ว่า พลังศรัทธาและแรงสนับสนุนของประชา
ชนที่มีต่อวาเลนไทน์ผู้นี้ไม่ได้มาจากการชักจูงใดๆทั้งสิ้น แต่มาจากความศรัทธาในการกระทำของ
เขาจริงๆ วาเลนไทน์เลยห่างไกลจากบอสใหญ่ของเรื่องในความคิดของหลายๆคน เพราะเขาไม่
ใช่มารร้ายที่จะยึดครองโลก แต่อำนาจที่เขาต้องการนั้น ท้ายสุดก็เพื่อการทำให้อเมริกาเจริญรุ่งเรือง
ในทางกลับกันอุดมการณ์ของวาเลนไทน์ก้สะท้อนความเป็นอเมริกาได้ดีนะครับ เพราะจน
บัดนี้อเมริกาของยังเป็นประเทศที่ไขว่ขว้าอำนาจด้วยการโยนภาระให้คนอื่นอยู่เนืองๆ ...แต่ท้าย
ที่สุดผลลัพท์มันก้คือความสุขของทุกๆคน วาเลนไทน์นั้นมีความเชื่อว่าโลกเราจำเป็นต้องมีขาว
และดำ หากแผ่นดินที่มีซากศพคือสีขาว ก็จะต้องมีแผ่นดินที่ไหนซักแห่งเป็นสีดำ เพื่อสร้างสม
ดุลให้กับโลก บวกมีลบ ขาวมีดำ ...แม้จะต้องมีการเสียเลือดเสียเนื้อมากเท่าไหร่ แต่หากมันได้
มาซึ่งความสุข มันก็เป็นเสียสละที่จำเป็นต้องแลก ...หลักการแบบวาเลนไทน์เลยออกจะเลือด
เย็นและรุนแรง แต่เป็นอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ จนโจนี่เทียบไม่ได้เลยซักอย่างเดียว
ผมเลยไม่สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าวาเลนไทน์เป็นตัวร้าย เรียกว่าเป็น
คนที่มีอุดมการณ์ยิ่งใหญ่และเด็ดขาดจะดีกว่า ...แม้หลักการจะผิดศีลธรรม
แต่ก็มาพร้อมกับความรุ่งเรืองในอนาคต เป็นเราจะเลือกอะไร?
สรุปคือแม้ อ.อารากิ จะไม่ได้สร้างให้ SBR เป็นจุดพีคในอาชีพเหมือนตอนภาค 3-5
แต่ SBR ก็ถือเป็นการยกระดับให้โจโจ้ เป็นมากกว่าการ์ตูนไปอีกขั้นหนึ่ง ที่แม้จะค่อน
ข้างแล้งความมันส์ ขาดความบันเทิง แต่เนื้อหาก็เปิดโอกาสให้คนอ่านใช้บางสิ่งที่
ไม่ค่อยได้ใช้เวลาอ่านการ์ตูน คือการ "เปิดใจ" รับเรื่องราวต่างๆด้วยหัวใจไม่ใช่แค่
ตากับสมองเท่านั้น เช่นเดียวกับอำนาจจากซากศพที่ต้องใช้แรงศรัทธานั่นเอง
นึกไม่ถึงว่า SBR จะมีอายุครบ 10 ปีแล้วนะครับ (SBR ใช้เวลาเขียน 7 ปีเต็ม คงเพราะ
เป็นมังงะรายเดือนมันถึงยาวนานแบบนี้ ^ ^ แม้จะไม่ได้ชอบภาคนี้ที่สุดก็ตาม (ถ้าชอบ
สุดก็ภาค 4) แต่ก็เป็นภาคที่ชอบเป็นอันดับต้นๆ เพราะได้อะไรเยอะแยะเหลือเกินจาก
การอ่านภาคนี้ มีเพื่อนๆคนไหนชอบอะไรใน SBR บ้างครับ? มาแชร์ๆความรู้สึกต่างๆกันได้