ขอเสริมแนวคิดครับ  ..เจ้าของกระทู้หากมีเจตนาแท้จริงกู้เพื่อทำธุรกิจ โดยที่วัยยังน้อย 20 ปี ซึ่งยังอยู่ในวัยเรียน ก็น่าชมเชยครับ ขณะเดียวกันท่านเจ้าของความคิดเห็น แต่ละท่านต่างมีประสบการณ์ และวัย ที่ผ่านร้อนหนาวมามาก แนะนำเพื่อให้เจ้าของกระทู้ ใช้ความละเอียดถี่ถ้วนระมัดระวังการดำเนินชีวิต ในการทำธุรกิจไม่อยากให้พลาด ท่านเหล่านั้นมีความปรารถนาดีและคงไม่มีใครคิดจะดูถูกวัยยังน้อยของเจ้าของกระทู้

การเป็นหนี้สินมันง่ายแต่ใช้หนี้คืนมันยากจริงๆ  หากไม่สมหวังการทำธุรกิจ จะนั่งเครียดหมดสภาพชีวิตไปทันที ทั้งนี้ดอกเบี้ยจะทำหน้าที่ของมันอย่างตรงไปตรงมาทุกวินาทีโดยไม่มีคำว่าปราณีผู้ใด  สถาบันการเงินเองก็ต้องระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากต้องรับผิดชอบต่อผู้ฝากเงิน  เงินฝากที่ลูกค้ามาฝากและนำไปปล่อยสินเชื่อต้องสร้างกำไร และให้มีความเสี่ยงที่น้อยที่สุดเช่นกัน ดังนั้นการให้สินเชื่อของสถาบันการ ก็จะคำนึงด้านความสามารถชำระหนี้คืน และหากลูกหนี้ไม่สามารถนำเงินใช้หนี้คืน ก็ต้องสามารถนำหลักประกันที่จำนองไว้มาขายทอดตลาดเพื่อชดใช้หนี้ ดังนั้นการปล่อยหนี้สินเชื่อของสถาบันการเงินจึงแยกประเภทสินเชื่อต่างๆ มีหลักเกณฑ์ที่ไม่เหมือนกัน ตามความเสี่ยงของสินเชื่อแต่ละประเภท อัตราดอกเบี้ยจึงแตกต่างตามสินเชื่อแต่ละประเภท  ระยะเวลาชำระหนี้คืนยาวนานก็ขึ้นอยู่กับสินเชื่อแต่ละอย่างด้วยเช่นกัน เช่นกู้ซื้อบ้าน เขาจะให้หนี้ระยะยาว อัตราดอกเบี้ยน้อยๆ เนื่องจากเขามั่นใจมากกว่า การให้สินเชื่อเพื่อทำธุรกิจที่ไม่ให้หนี้สินนานไป  เพื่อให้มีธุรกิจที่มีแผนงานเร่งรัดทำกำไรและใช้คืนในเวลาอันสั้น ความเสี่ยงจากเงินที่ให้สินเชื่อไปเพื่อทำธุรกิจ มีโอกาสเสี่ยงสูง ดอกเบี้ยจึงสูงกว่าสินเชื่อบ้าน และระยะเวลาสร้างหนี้จะกำหนดสั้น เช่น O/D สินเชื่อหมุนเวียนชั่วคราว ระยะเวลาในสัญญาจะกำหนดปีต่อปีในการต่ออายุ  หรือเงินกู้คือนำเงินไปทั้งหมดตามที่ตกลงกู้ก็จะกำหนดไว้ประมาณ 3-5 ปี ต้องจ่ายคืนเป็นต้น

ความสามารถชำระหนี้เป็นสิ่งสำคัญสุดที่เขามองลูกค้าที่มากู้  เช่นรายได้คุณเดือนละหลักหมื่น โอกาสกู้เงินจากเขาเป็นหลัก 500,000.-  ขึ้นไปคงยากมาก ประวัติการเป็นหนี้สินที่ผ่านมา เช่นมีหนี้ที่ใดบ้าง หนี้รถ หรือหนี้บัตรเครดิตมีไหม มีประวัติเสียค้างชำระไม่ตรงกำหนดหรือไม่ สิ่งเหล่านี้เขาย่อมนำมาพิจารณาด้วย เพราะไม่มีเจ้าหนี้คนใดที่จะให้ลูกหนี้นำเงินไปใช้ฟรีๆไม่ต้องจ่ายคืน  

หลักประกันเช่นกันหากเป็นบุคคลค้ำประกัน ไม่มีหลักทรัพย์เลยความเสี่ยงสูงมาก  หากลูกหนี้ไม่จ่าย เขาไปฟ้องหนี้คืน คงได้เงินคืนมาจ่ายหนี้ยากมาก  การให้สินเชื่อเพื่อทำธุรกิจ หากลูกค้าเป็นผู้ทำธุรกิจมานานและมีฐานะการเงินดี มีหลักประกันที่คุ้มวงเงิน คำว่าคุ้มวงเงินเช่นหมายถึงบ้านพร้อมที่ดินที่เสนอเป็นหลักประกัน สถาบันการเงินเขาประเมินราคาไว้ 1.0 ล้าน เขาคงให้กู้ประมาณ 8 แสนเป็นต้น แต่ทั้งนี้อายุ วัตถุประสงค์การกู้  สภาพธุรกิจที่แสดงให้เขารับรู้ได้มีจริง ประสบการณ์งานในธุรกิจ รายได้เสริม ระยะเวลาทำธุรกิจ และเงื่อนไขอื่นๆอีกมากตามที่สถาบันการเงินแต่ละแห่งสร้างมุมมองและกำหนดไว้ ซึ่งอาจไม่เหมือนกัน ถ้าเขาพิจารณาจากตัวเลขเข้าออก หักกลบลบหนี้ทั้งหมดรวมทั้งของใหม่ที่จะขอกู้ เข้าเงื่อนไขที่ตามเกณฑ์ ก็จะผ่านการอนุมัติ เป็นต้น
แต่หากเป็นลูกค้าใหม่ ไม่เคยติดต่อมาก่อน วัยยังน้อย หลักประกันไม่มีหรือไม่คุ้มจำนวนเงินกู้ โอกาสจะได้คงเป็นเพียงความฝันตามทฤษฎีการศึกษาที่เด็กหนุ่มสาวชอบนั่งฝัน นั่งวาดโครงการในอากาศ

ชีวิตจริงไม่ใช่นิยาย การทำธุรกิจที่คนหนุ่มสาวฝัน เพราะคิดว่าจะสร้างรายได้จากการทำธุรกิจมากกว่าการทำงานประจำ  มันไม่ง่ายทุกรายไป การทำธุรกิจต้องมีทั้งความรู้ความสามารถ จังหวะและโอกาส รวมทั้งสภาพทางเศรษฐกิจ และสิ่งสำคัญคือโชค ซึ่งแต่ละคนไม่เท่าเที่ยมกัน  ธุรกิจหลายประเภทที่ล้มเหลว และส่งผลให้คนที่ทำเดิม แล้วเลิกกิจการไปก็เยอะ เช่นแข่งกันลดราคาเพื่อแย่งลูกค้า แข่งกันตกแต่งหน้าร้านความหรูหรา เพื่อแย่งและสร้างการดึงดูดตาผู้มาใช้บริการ  เป็นต้น โดยหารู้ว่าเป็นการลงทุนสร้างหนี้ที่ต้องใช้เวลาเก็บคืนในระยะยาว ทำให้ขาดเงินสดหมุนเวียน เมื่อไม่มีสภาพคล่อง ไม่สามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินมาเสริมสภาพคล่อง หรือบางรายกู้มาเสริมแต่ยิ่งทรุดหนักกว่าเดิม ก็มีมาก และในที่สุดกิจการต้องเลิกไป และหนี้ไม่หมด ต้องหาเงินมาจ่ายหนี้ ต้องถูกบังคับจำนองหลักประกันเพื่อใช้หนี้คืน ต้องถูกฟ้องร้อง หมดสภาพชีวิตไปเป็นต้น
คงไม่ปฎิเสธกับสุภาษิตจีน ที่ว่า เงินมันล่องลอยอยู่บนอากาศ อยู่ที่ใครดูดมาได้หรือไม่เท่านั้น แต่ในชีวิตจริง เทคนิคกลยุทธ ขีดความสามารถแต่ละคนไม่เท่ากัน โอกาสไม่เท่ากัน จึงต้องระมัดระวังจุดนี้ด้วย

จากข้อมูลเหล่านี้คือสิ่งที่ผมมีจากประสบการณ์ และมีความปรารถนาดีต่อเจ้าของกระทู้ด้วยความจริงใจ  ขอให้ระมัดระวัง การตัดสินใจ และพัฒนาธุรกิจที่คิดหวังให้ไปต่อได้ตามหวังครับ การลงทุนที่ดีระยะแรกเริ่มควรใช้เงินของตนเองก่อน เมื่อสามารถต่อยอดไปได้ และพร้อมในสิ่งดังกล่าว ก็สามารถตัดสินใจนำโครงการเสนอต่อสถาบันการเงินที่คุณคิดว่าสะดวกไปใช้บริการ