ASTVผู้จัดการรายวัน - “CTH - PSI - InfoSat - AB TV” 4 ธุรกิจแพลตฟอร์มของประเทศไทยวอนขอความเป็นธรรม พร้อมแจงข้อเท็จจริงที่ต้องแบกรับต่อ คสช. และ กสทช. เพื่อให้ทบทวนกรณีการแจกคูปองกล่องทีวีดิจิตอลอย่างเป็นธรรม เกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง และทบทวนการแจกกล่องรับสัญญาณระบบความคมชัดมาตรฐาน (SD) เป็นระบบความคมชัดสูง (HD) เพื่อรองรับการรับชมทีวีดิจิตอล
สืบเนื่องจากการที่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้าไปตรวจสอบ 4 โครงการใหญ่ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยได้มีคำสั่งให้ชะลอโครงการทั้ง 4 ดังกล่าว หนึ่งในนั้นคือโครงการจัดสรรคูปองให้กับประชาชนเพื่อรับชมทีวีดิจิตอลมูลค่า 1พันบาทต่อครัวเรือน คิดเป็นเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท และก่อนที่ คสช. จะมีคำสั่งตรวจสอบดังกล่าวได้มี 14 ผู้ประกอบการฟรีทีวียื่นข้อคัดค้านการแจกคูปองผ่านทางเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมต่อ กสทช. เมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยอ้างว่า เงินกองทุนที่นำมาตั้งเพื่อจัดสรรคูปองดังกล่าวเป็นเงินที่ได้มาจากการประมูลใบอนุญาตฟรีทีวี 24 ช่อง
ทั้งนี้ นายเชิดศักดิ์ กู้เกียรตินันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายวรสิทธิ์ ลีลาบูรณพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีเอสไอ โฮลดิ้ง จำกัด นาย นิรันดร์ ตั้งพิรุฬห์ธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินโฟแซท จำกัด และนายณัฐ รองสวัสดิ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย บรอดคาสติ้ง เทเลวิชั่น จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก (เพย์ทีวี) ทั้งระบบเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม รวมทั้งถือใบอนุญาตโครงข่ายจาก กสทช. ได้ร่วมกันชี้แจงถึงข้อเท็จจริงซึ่งโต้แย้งกับข้อคัดค้านของกลุ่ม 14 ฟรีทีวีดังกล่าวถึง คสช. ผ่าน พล.ท.อนันตพร กาญจนรัตน์ ประธานคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) และ กสทช.
ย้ำชัดคำสั่งทำร้ายผู้ประกอบการเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม
นายเชิดศักดิ์ กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมนั้นล้วนถือกำเนิดก่อนการก่อตั้ง กสทช. ซึ่งผู้ประกอบการทั้งหมดล้วนต้องฝ่าฟันบนเส้นทางธุรกิจด้วยตนเองโดยปราศจากการสนับสนุนใดๆ จากภาครัฐ แต่เมื่อเกิดโครงการแห่งชาติที่ต้องการเปลี่ยนผ่านจากระบบการออกอากาศจากระบบอนาล็อกมาเป็นระบบดิจิตอลเช่นเดียวกับนานาชาติในภูมิภาค ทำให้ผู้ประกอบการเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมต้องปรับตัวอย่างหนัก พร้อมทั้งต้องลงทุนพัฒนาโครงการด้วยเม็ดเงินลงทุนมูลค่ามหาศาล เพื่อสนองนโยบายแห่งรัฐ ดังนั้นการจำกัดตัดสิทธิ์จึงถือเป็นกรณีที่ไม่เท่าเทียมและไม่เป็นธรรม
“การพัฒนาตนเองเพื่อรองรับระบบการออกอากาศบนระบบดิจิตอลให้ลุล่วงตามเจตนารมณ์ของ กสทช. นั้นมีองค์ประกอบสำคัญทางด้านยุทธศาสตร์คือ ทำอย่างไรจึงจะสามารถดำเนินการได้อย่างมีศักยภาพและรวดเร็วโดยเกิดปัญหาน้อยที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องการให้ผู้ประกอบการเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว แต่กลับไม่เคยให้ความช่วยเหลือใดๆ เลย อีกทั้งไม่ให้เครื่องมือสำคัญเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ลุล่วงไปด้วยดี สาเหตุดังกล่าวจึงกลายเป็นการทำร้ายผู้ประกอบการทั้งสองกลุ่มโดยตรง”
นายเชิดศักดิ์ กล่าวอีกว่า เนื่องจากต้นทุนที่สำคัญของเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมคือ ระบบโครงข่ายและกล่องรับสัญญาณ (กล่อง Set-Top-Box) หากต้องการเร่งวางกล่องรับสัญญาณแบบดิจิตอล ผู้ประกอบการจำเป็นต้องพัฒนาโครงข่ายก่อนจึงจะสามารถวางกล่องดิจิตอลได้ แม้ในวันนี้ผู้ประกอบการหลายรายได้พัฒนาตนเองเพื่อรองรับระบบดิจิตอลแล้วแต่ยังต้องลงทุนเรื่องกล่อง Set-Top-Box ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญอีก ในขณะที่ฟรีทีวีที่เข้ามาดำเนินธุรกิจภายหลังกลับได้สิทธิพิเศษตามที่ตนเองต้องการย่อมไม่ถูกต้องตามเจตนารมณ์ของ กสทช.
CTH-PSI-InfoSat-AB TV ขอความเป็นธรรม คสช. พร้อมแจงข้อเท็จจริงกรณีถูกคัดค้านแจกคูปองทีวีดีจิตอล
เผยต้องรับต้นทุนเพิ่มเพราะกฎ Must Carry
ขณะที่ นายวรสิทธิ์ ลีลาบูรณพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีเอสไอ โฮลดิ้ง จำกัด กล่าวว่า ที่ผ่านมาธุรกิจดาวเทียมได้สร้างฐานมาด้วยตนเอง เห็นจากการเข้าถึงในทุกพื้นที่อย่างครอบคลุมอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนพื้นที่ที่ยากแก่เข้าถึง อาทิ พื้นที่ในที่ห่างไกลและภูมิประเทศอย่างภูเขา หรือเกาะต่างๆ ขณะที่การให้บริการในยุคดิจิตอลระยะเริ่มแรกนั้น การแพร่ภาพเสียงและภาพได้ใช้จานรับสัญญาณดาวเทียมในการส่งต่อสัญญาณให้ได้รับชมในแพลตฟอร์มดาวเทียมอย่างมีศักยภาพเช่นเดียวกัน แต่กลับเผชิญอุปสรรคที่ผู้ประกอบการเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมปฏิเสธไม่ได้จากหลักเกณฑ์การเผยแพร่กิจการโทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วไป หรือกฎ Must Carry ของภาครัฐซึ่งมีเจตนารมณ์เพื่อสร้างหลักประกันว่าผู้ชมจะต้องเข้าถึงและได้รับชมฟรีทีวีได้อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นการรับชมผ่านช่องทาง (Platform) ของผู้ให้บริการโครงข่าย (ทั้งภาคพื้นดินและดาวเทียม) ผู้ให้บริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก (เคเบิลทีวี หรือทีวีดาวเทียม) กฎ Must Carry ดังกล่าวจึงมีนัยยะที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า นับจากนี้ผู้ประกอบการทั้งสองกลุ่มจะต้องถูกบังคับให้แพร่ภาพฟรีทีวี (24 ช่อง) และทีวีสาธารณะ (12 ช่อง) รวมทั้งหมด 36 ช่องบนระบบดิจิตอล ขณะที่ทีวีที่แพร่ภาพบนระบบอนาล็อกนั้นมีช่องรายการไม่เกิน 5-60 ช่อง
“การแพร่ภาพบนระบบดิจิตอล 36 ช่องจึงทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจากการเสียค่าเช่าช่องทรานสปอนเดอร์เพิ่มขึ้นอีกด้วย ดังนั้นเมื่อมาถึงวันนี้ที่ภาครัฐมีโครงการจัดสรรคูปองทีวีดิจิตอล แต่กลุ่มธุรกิจเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมกลับไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ ในฐานะที่เป็นผู้ประกอบการธุรกิจเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมจึงต้องการให้ทั้ง คตร. และ กสทช. พิจารณาทบทวนใหม่อีกครั้งเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม” นายวรสิทธิ์ กล่าว
ระบุเสียค่าธรรมเนียมสูงกว่าฟรีทีวีอย่างไม่เป็นธรรม
นอกจากนี้ นายนิรันดร์ ตั้งพิรุฬห์ธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินโฟแซท จำกัด ยังได้กล่าวเสริมถึงประเด็นกฎ Must Carry เพิ่มเติมว่า นับแต่การใช้กฎ Must Carry กับทีวีดิจิตอล 36 ช่องผ่านทีวีดาวเทียมมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2557 ตามเจตนารมณ์ของ กสทช. ปัญหาจากการดำเนินการนี้ก็ส่งผลต่อการให้บริการของบริษัท อาทิ ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ที่จะต้องตอบคำถามลูกค้าในกรณีที่ไม่สามารถรับชมทีวีดิจิตอลได้ เนื่องจากทีวีดิจิตอลนั้นเข้ารหัสที่เรียกว่า “บิส คีย์” (Biss Key) ทั้งหมด ทำให้กล่อง Set-Top-Box เดิมก่อนปี 2554 ไม่สามารถรองรับได้และต้องมีการอัพเกรดและปรับปรุงซอฟต์แวร์
ขณะเดียวกันก็มีข้อสังเกตอีก 2 ประการคือ 1) กสทช.ได้ทำประชาพิจารณ์ก่อนหน้านี้แต่มิได้ดำเนินการตามผลของประชาพิจารณ์ เนื่องจากมีเป้าหมายของหน่วยงานอยู่แล้ว 2) การเสียค่าธรรมเนียมของกล่อง Set-Top-Box ของกลุ่มธุรกิจเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมนั้นก็มีการส่งให้ กสทช. ตรวจสอบเช่นเดียวกันกับของทีวีจิจิตอล แต่กล่อง Set-Top-Box ของกลุ่มธุรกิจเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมซึ่งเป็นรุ่น S1, S2 กลับต้องเสียค่าธรรมเนียม 10 บาทต่อกล่อง ในขณะที่กล่อง Set-Top-Box ของทีวีจิจิตอลรุ่น T2 กลับเสียค่าธรรมเนียมเพียง 5 บาทต่อกล่องกลับได้รับการติดสติ๊กเกอร์ “น้องดูดี” รับรองว่าดูทีวีดิจิตอลได้ อีกทั้งได้รับการสนับสนุนทางด้านการตลาดอื่นๆ ในขณะที่กลุ่มธุรกิจเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมซึ่งเสียค่าธรรมเนียมต่อกล่องแพงกว่ากลับไม่ได้สติ๊กเกอร์และการสนับสนุนใดๆ เลย
“จากการประชุมของ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ หรือ กสท. หลายครั้ง โดยที่ประชุมได้มีมติให้มีการจัดสรรคูปองแก่ทุกกลุ่มธุรกิจอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ ก็เห็นชอบกับมติดังกล่าว อีกทั้งได้มีการเผยแพร่ข่าวสารประชาสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันนี้จนเป็นที่รับทราบกันเป็นที่สาธารณะในทุกภาคส่วนตรงกัน หากจะมีการเปลี่ยนแปลงขอบเขตการจัดสรร ตลอดจนเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของการจัดสรรเพื่อตอบสนองประโยชน์ของกลุ่มธุรกิจเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจึงย่อมไม่ใช่เรื่องชอบธรรมด้วยประการทั้งปวง ที่สำคัญเงินกองทุนที่นำมาจัดตั้งเพื่อเป็นงบประมาณสำหรับการจัดสรรคูปองฯ ดังกล่าวมิใช่เงินของกลุ่มธุรกิจฟรีทีวีเท่านั้น หากแต่เป็นรายได้ของประเทศที่สมควรกระจายสู่กลุ่มธุรกิจทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ” นายนิรันดร์ กล่าว
วอน คตร. - กสทช. ทบทวนใหม่
สำหรับประเด็นของ “บิส คีย์” นายณัฐ รองสวัสดิ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย บรอดคาสติ้ง เทเลวิชั่น จำกัด ได้กล่าวเสริมว่า ทีวีดิจิตอลไม่จำเป็นต้องใส่ “บิส คีย์” เพราะเป็นการทำให้ต้องเข้ารหัสซ้ำซ้อน เนื่องจากเพียงแค่การเข้ารหัสด้วยการทำ “โอทีเอ” (OTA : Over-The-Air) ซึ่งเป็นการถ่ายข้อมูลจากดาวเทียมลงสู่เครื่องรับสัญญาณดาวเทียมโดยตรงก็เพียงพอแล้ว และการเข้ารหัส “บัส คีย์” ยังทำให้ประชาชนที่มีกล่องรุ่นเดิมไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้จึงถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
“ส่วนตัวเลขของคูปองการจัดสรรกล่อง Set-Top-Box นั้น ไม่ว่าตัวเลขของคูปองจะเป็น 690 หรือ 1,000 บาทก็ตาม ผมอยากให้มองอย่างไม่หลงประเด็นว่าเม็ดเงินดังกล่าวคือ ส่วนลดที่ กสทช. มอบให้กับประชาชนเพื่อใช้ซื้อกล่อง Set-Top-Box เพื่อเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่มีทางให้เลือกเสพมากขึ้นนอกเหนือจากฟรีทีวีที่มีเพียงไม่กี่ช่องมาเป็นจำนวนหลายสิบช่องจากการเปิดตัวของทีวีจิจิตอล” นายณัฐ กล่าว
ดังนั้น จึงต้องการให้ กสทช. ทบทวนถึงการให้เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริงซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถที่จะเลือกซื้อกล่อง Set-Top-Box ที่รองรับระบบ HD ได้ด้วย เนื่องจากปฏิเสธไม่ได้ว่าในอนาคตระบบการออกอากาศของโทรทัศน์ไทยก็จะเป็นดิจิตอลทั้งหมด และด้วยเม็ดเงินดังกล่าวนั้นก็ไม่สามารถซื้อกล่อง Set-Top-Box ได้ทั้งหมด หากแต่เป็นส่วนลดที่จะทำให้ประชาชนใช้วิจารณญาณของตนเองตัดสินใจได้ตามกำลังซื้อด้วยตนเองว่าจะสามารถซื้อกล่อง Set-Top-Box ประเภทใดระหว่าง SD หรือ HD และหากในอนาคตจะซื้อเครื่องรับโทรทัศน์ดิจิตอลและอยู่ในเขตภูมิภาคก็จะสามารถใช้กล่อง Set-Top-Box ที่รองรับระบบ HD ได้
“อย่างไรก็ตาม เราเคารพความคิดเห็นของ 14 กลุ่มฟรีทีวี เพียงแต่อยากเสนอให้ทั้ง คตร. และ กสทช. ได้มีการทบทวนโดยมุ่งคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งและปรับความเข้าใจที่ถูกต้องที่มีต่อ “ที่มา” ที่แท้จริงของเงินกองทุนเพื่อการจัดสรรคูปองดังกล่าวว่า เงินกองทุนฯ นี้ไม่ได้เป็นของกลุ่มฟรีทีวีแต่เพียงกลุ่มเดียว เนื่องจากการประมูลขายทีวีดิจิตอลนั้นเป็นการประมูลคลื่นความถี่ซึ่งเป็นทรัพยากรของชาติ ดังนั้นรายได้ที่ได้จากการประมูลจึงถือเป็นรายได้ของประเทศ หรือ “เงินแผ่นดิน” การใช้เงินแผ่นดินเพื่อการใดก็ตามจึงควรที่จะคำนึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก” นายณัฐ กล่าว
ขณะที่ นายเชิดศักดิ์ กล่าวเสริมด้วยว่า “มีข้อเท็จจริงอีกประการที่ผมคิดว่าฟรีทีวีอาจมองข้ามประเด็นนี้ไป นั่นคือยุทธศาสตร์การเพิ่มสายตาผู้ชม หรือที่เรียกว่า Eye Ball จะเกิดขึ้นได้อย่างมากมายมหาศาลทันที หากสามารถวางกล่อง Set-Top-Box ได้อย่างรวดเร็ว ครอบคลุมและทั่วถึง ซึ่งเมื่อเกิด Eye Ball เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลภายในระยะเวลาอันสั้นแล้ว ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมหมายถึงเม็ดเงินของรายได้ที่จะมาจากโฆษณาทีวีประมาณ 7-8 หมื่นล้านบาทต่อปี เนื่องจากฟรีทีวีสามารถโฆษณาได้ 12 นาทีต่อชั่วโมง ในขณะที่เคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมสามารถโฆษณาได้เพียง 6 นาทีต่อชั่วโมงเท่านั้น
http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000090041
CTH-PSI-InfoSat-AB TV ขอความเป็นธรรม คสช. พร้อมแจงข้อเท็จจริงกรณีถูกคัดค้านแจกคูปองทีวีดีจิตอล
สืบเนื่องจากการที่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้าไปตรวจสอบ 4 โครงการใหญ่ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยได้มีคำสั่งให้ชะลอโครงการทั้ง 4 ดังกล่าว หนึ่งในนั้นคือโครงการจัดสรรคูปองให้กับประชาชนเพื่อรับชมทีวีดิจิตอลมูลค่า 1พันบาทต่อครัวเรือน คิดเป็นเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท และก่อนที่ คสช. จะมีคำสั่งตรวจสอบดังกล่าวได้มี 14 ผู้ประกอบการฟรีทีวียื่นข้อคัดค้านการแจกคูปองผ่านทางเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมต่อ กสทช. เมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยอ้างว่า เงินกองทุนที่นำมาตั้งเพื่อจัดสรรคูปองดังกล่าวเป็นเงินที่ได้มาจากการประมูลใบอนุญาตฟรีทีวี 24 ช่อง
ทั้งนี้ นายเชิดศักดิ์ กู้เกียรตินันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายวรสิทธิ์ ลีลาบูรณพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีเอสไอ โฮลดิ้ง จำกัด นาย นิรันดร์ ตั้งพิรุฬห์ธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินโฟแซท จำกัด และนายณัฐ รองสวัสดิ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย บรอดคาสติ้ง เทเลวิชั่น จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก (เพย์ทีวี) ทั้งระบบเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม รวมทั้งถือใบอนุญาตโครงข่ายจาก กสทช. ได้ร่วมกันชี้แจงถึงข้อเท็จจริงซึ่งโต้แย้งกับข้อคัดค้านของกลุ่ม 14 ฟรีทีวีดังกล่าวถึง คสช. ผ่าน พล.ท.อนันตพร กาญจนรัตน์ ประธานคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) และ กสทช.
ย้ำชัดคำสั่งทำร้ายผู้ประกอบการเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม
นายเชิดศักดิ์ กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมนั้นล้วนถือกำเนิดก่อนการก่อตั้ง กสทช. ซึ่งผู้ประกอบการทั้งหมดล้วนต้องฝ่าฟันบนเส้นทางธุรกิจด้วยตนเองโดยปราศจากการสนับสนุนใดๆ จากภาครัฐ แต่เมื่อเกิดโครงการแห่งชาติที่ต้องการเปลี่ยนผ่านจากระบบการออกอากาศจากระบบอนาล็อกมาเป็นระบบดิจิตอลเช่นเดียวกับนานาชาติในภูมิภาค ทำให้ผู้ประกอบการเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมต้องปรับตัวอย่างหนัก พร้อมทั้งต้องลงทุนพัฒนาโครงการด้วยเม็ดเงินลงทุนมูลค่ามหาศาล เพื่อสนองนโยบายแห่งรัฐ ดังนั้นการจำกัดตัดสิทธิ์จึงถือเป็นกรณีที่ไม่เท่าเทียมและไม่เป็นธรรม
“การพัฒนาตนเองเพื่อรองรับระบบการออกอากาศบนระบบดิจิตอลให้ลุล่วงตามเจตนารมณ์ของ กสทช. นั้นมีองค์ประกอบสำคัญทางด้านยุทธศาสตร์คือ ทำอย่างไรจึงจะสามารถดำเนินการได้อย่างมีศักยภาพและรวดเร็วโดยเกิดปัญหาน้อยที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องการให้ผู้ประกอบการเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว แต่กลับไม่เคยให้ความช่วยเหลือใดๆ เลย อีกทั้งไม่ให้เครื่องมือสำคัญเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ลุล่วงไปด้วยดี สาเหตุดังกล่าวจึงกลายเป็นการทำร้ายผู้ประกอบการทั้งสองกลุ่มโดยตรง”
นายเชิดศักดิ์ กล่าวอีกว่า เนื่องจากต้นทุนที่สำคัญของเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมคือ ระบบโครงข่ายและกล่องรับสัญญาณ (กล่อง Set-Top-Box) หากต้องการเร่งวางกล่องรับสัญญาณแบบดิจิตอล ผู้ประกอบการจำเป็นต้องพัฒนาโครงข่ายก่อนจึงจะสามารถวางกล่องดิจิตอลได้ แม้ในวันนี้ผู้ประกอบการหลายรายได้พัฒนาตนเองเพื่อรองรับระบบดิจิตอลแล้วแต่ยังต้องลงทุนเรื่องกล่อง Set-Top-Box ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญอีก ในขณะที่ฟรีทีวีที่เข้ามาดำเนินธุรกิจภายหลังกลับได้สิทธิพิเศษตามที่ตนเองต้องการย่อมไม่ถูกต้องตามเจตนารมณ์ของ กสทช.
CTH-PSI-InfoSat-AB TV ขอความเป็นธรรม คสช. พร้อมแจงข้อเท็จจริงกรณีถูกคัดค้านแจกคูปองทีวีดีจิตอล
เผยต้องรับต้นทุนเพิ่มเพราะกฎ Must Carry
ขณะที่ นายวรสิทธิ์ ลีลาบูรณพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีเอสไอ โฮลดิ้ง จำกัด กล่าวว่า ที่ผ่านมาธุรกิจดาวเทียมได้สร้างฐานมาด้วยตนเอง เห็นจากการเข้าถึงในทุกพื้นที่อย่างครอบคลุมอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนพื้นที่ที่ยากแก่เข้าถึง อาทิ พื้นที่ในที่ห่างไกลและภูมิประเทศอย่างภูเขา หรือเกาะต่างๆ ขณะที่การให้บริการในยุคดิจิตอลระยะเริ่มแรกนั้น การแพร่ภาพเสียงและภาพได้ใช้จานรับสัญญาณดาวเทียมในการส่งต่อสัญญาณให้ได้รับชมในแพลตฟอร์มดาวเทียมอย่างมีศักยภาพเช่นเดียวกัน แต่กลับเผชิญอุปสรรคที่ผู้ประกอบการเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมปฏิเสธไม่ได้จากหลักเกณฑ์การเผยแพร่กิจการโทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วไป หรือกฎ Must Carry ของภาครัฐซึ่งมีเจตนารมณ์เพื่อสร้างหลักประกันว่าผู้ชมจะต้องเข้าถึงและได้รับชมฟรีทีวีได้อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นการรับชมผ่านช่องทาง (Platform) ของผู้ให้บริการโครงข่าย (ทั้งภาคพื้นดินและดาวเทียม) ผู้ให้บริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก (เคเบิลทีวี หรือทีวีดาวเทียม) กฎ Must Carry ดังกล่าวจึงมีนัยยะที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า นับจากนี้ผู้ประกอบการทั้งสองกลุ่มจะต้องถูกบังคับให้แพร่ภาพฟรีทีวี (24 ช่อง) และทีวีสาธารณะ (12 ช่อง) รวมทั้งหมด 36 ช่องบนระบบดิจิตอล ขณะที่ทีวีที่แพร่ภาพบนระบบอนาล็อกนั้นมีช่องรายการไม่เกิน 5-60 ช่อง
“การแพร่ภาพบนระบบดิจิตอล 36 ช่องจึงทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจากการเสียค่าเช่าช่องทรานสปอนเดอร์เพิ่มขึ้นอีกด้วย ดังนั้นเมื่อมาถึงวันนี้ที่ภาครัฐมีโครงการจัดสรรคูปองทีวีดิจิตอล แต่กลุ่มธุรกิจเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมกลับไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ ในฐานะที่เป็นผู้ประกอบการธุรกิจเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมจึงต้องการให้ทั้ง คตร. และ กสทช. พิจารณาทบทวนใหม่อีกครั้งเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม” นายวรสิทธิ์ กล่าว
ระบุเสียค่าธรรมเนียมสูงกว่าฟรีทีวีอย่างไม่เป็นธรรม
นอกจากนี้ นายนิรันดร์ ตั้งพิรุฬห์ธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินโฟแซท จำกัด ยังได้กล่าวเสริมถึงประเด็นกฎ Must Carry เพิ่มเติมว่า นับแต่การใช้กฎ Must Carry กับทีวีดิจิตอล 36 ช่องผ่านทีวีดาวเทียมมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2557 ตามเจตนารมณ์ของ กสทช. ปัญหาจากการดำเนินการนี้ก็ส่งผลต่อการให้บริการของบริษัท อาทิ ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ที่จะต้องตอบคำถามลูกค้าในกรณีที่ไม่สามารถรับชมทีวีดิจิตอลได้ เนื่องจากทีวีดิจิตอลนั้นเข้ารหัสที่เรียกว่า “บิส คีย์” (Biss Key) ทั้งหมด ทำให้กล่อง Set-Top-Box เดิมก่อนปี 2554 ไม่สามารถรองรับได้และต้องมีการอัพเกรดและปรับปรุงซอฟต์แวร์
ขณะเดียวกันก็มีข้อสังเกตอีก 2 ประการคือ 1) กสทช.ได้ทำประชาพิจารณ์ก่อนหน้านี้แต่มิได้ดำเนินการตามผลของประชาพิจารณ์ เนื่องจากมีเป้าหมายของหน่วยงานอยู่แล้ว 2) การเสียค่าธรรมเนียมของกล่อง Set-Top-Box ของกลุ่มธุรกิจเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมนั้นก็มีการส่งให้ กสทช. ตรวจสอบเช่นเดียวกันกับของทีวีจิจิตอล แต่กล่อง Set-Top-Box ของกลุ่มธุรกิจเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมซึ่งเป็นรุ่น S1, S2 กลับต้องเสียค่าธรรมเนียม 10 บาทต่อกล่อง ในขณะที่กล่อง Set-Top-Box ของทีวีจิจิตอลรุ่น T2 กลับเสียค่าธรรมเนียมเพียง 5 บาทต่อกล่องกลับได้รับการติดสติ๊กเกอร์ “น้องดูดี” รับรองว่าดูทีวีดิจิตอลได้ อีกทั้งได้รับการสนับสนุนทางด้านการตลาดอื่นๆ ในขณะที่กลุ่มธุรกิจเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมซึ่งเสียค่าธรรมเนียมต่อกล่องแพงกว่ากลับไม่ได้สติ๊กเกอร์และการสนับสนุนใดๆ เลย
“จากการประชุมของ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ หรือ กสท. หลายครั้ง โดยที่ประชุมได้มีมติให้มีการจัดสรรคูปองแก่ทุกกลุ่มธุรกิจอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ ก็เห็นชอบกับมติดังกล่าว อีกทั้งได้มีการเผยแพร่ข่าวสารประชาสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันนี้จนเป็นที่รับทราบกันเป็นที่สาธารณะในทุกภาคส่วนตรงกัน หากจะมีการเปลี่ยนแปลงขอบเขตการจัดสรร ตลอดจนเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของการจัดสรรเพื่อตอบสนองประโยชน์ของกลุ่มธุรกิจเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจึงย่อมไม่ใช่เรื่องชอบธรรมด้วยประการทั้งปวง ที่สำคัญเงินกองทุนที่นำมาจัดตั้งเพื่อเป็นงบประมาณสำหรับการจัดสรรคูปองฯ ดังกล่าวมิใช่เงินของกลุ่มธุรกิจฟรีทีวีเท่านั้น หากแต่เป็นรายได้ของประเทศที่สมควรกระจายสู่กลุ่มธุรกิจทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ” นายนิรันดร์ กล่าว
วอน คตร. - กสทช. ทบทวนใหม่
สำหรับประเด็นของ “บิส คีย์” นายณัฐ รองสวัสดิ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย บรอดคาสติ้ง เทเลวิชั่น จำกัด ได้กล่าวเสริมว่า ทีวีดิจิตอลไม่จำเป็นต้องใส่ “บิส คีย์” เพราะเป็นการทำให้ต้องเข้ารหัสซ้ำซ้อน เนื่องจากเพียงแค่การเข้ารหัสด้วยการทำ “โอทีเอ” (OTA : Over-The-Air) ซึ่งเป็นการถ่ายข้อมูลจากดาวเทียมลงสู่เครื่องรับสัญญาณดาวเทียมโดยตรงก็เพียงพอแล้ว และการเข้ารหัส “บัส คีย์” ยังทำให้ประชาชนที่มีกล่องรุ่นเดิมไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้จึงถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
“ส่วนตัวเลขของคูปองการจัดสรรกล่อง Set-Top-Box นั้น ไม่ว่าตัวเลขของคูปองจะเป็น 690 หรือ 1,000 บาทก็ตาม ผมอยากให้มองอย่างไม่หลงประเด็นว่าเม็ดเงินดังกล่าวคือ ส่วนลดที่ กสทช. มอบให้กับประชาชนเพื่อใช้ซื้อกล่อง Set-Top-Box เพื่อเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่มีทางให้เลือกเสพมากขึ้นนอกเหนือจากฟรีทีวีที่มีเพียงไม่กี่ช่องมาเป็นจำนวนหลายสิบช่องจากการเปิดตัวของทีวีจิจิตอล” นายณัฐ กล่าว
ดังนั้น จึงต้องการให้ กสทช. ทบทวนถึงการให้เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริงซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถที่จะเลือกซื้อกล่อง Set-Top-Box ที่รองรับระบบ HD ได้ด้วย เนื่องจากปฏิเสธไม่ได้ว่าในอนาคตระบบการออกอากาศของโทรทัศน์ไทยก็จะเป็นดิจิตอลทั้งหมด และด้วยเม็ดเงินดังกล่าวนั้นก็ไม่สามารถซื้อกล่อง Set-Top-Box ได้ทั้งหมด หากแต่เป็นส่วนลดที่จะทำให้ประชาชนใช้วิจารณญาณของตนเองตัดสินใจได้ตามกำลังซื้อด้วยตนเองว่าจะสามารถซื้อกล่อง Set-Top-Box ประเภทใดระหว่าง SD หรือ HD และหากในอนาคตจะซื้อเครื่องรับโทรทัศน์ดิจิตอลและอยู่ในเขตภูมิภาคก็จะสามารถใช้กล่อง Set-Top-Box ที่รองรับระบบ HD ได้
“อย่างไรก็ตาม เราเคารพความคิดเห็นของ 14 กลุ่มฟรีทีวี เพียงแต่อยากเสนอให้ทั้ง คตร. และ กสทช. ได้มีการทบทวนโดยมุ่งคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งและปรับความเข้าใจที่ถูกต้องที่มีต่อ “ที่มา” ที่แท้จริงของเงินกองทุนเพื่อการจัดสรรคูปองดังกล่าวว่า เงินกองทุนฯ นี้ไม่ได้เป็นของกลุ่มฟรีทีวีแต่เพียงกลุ่มเดียว เนื่องจากการประมูลขายทีวีดิจิตอลนั้นเป็นการประมูลคลื่นความถี่ซึ่งเป็นทรัพยากรของชาติ ดังนั้นรายได้ที่ได้จากการประมูลจึงถือเป็นรายได้ของประเทศ หรือ “เงินแผ่นดิน” การใช้เงินแผ่นดินเพื่อการใดก็ตามจึงควรที่จะคำนึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก” นายณัฐ กล่าว
ขณะที่ นายเชิดศักดิ์ กล่าวเสริมด้วยว่า “มีข้อเท็จจริงอีกประการที่ผมคิดว่าฟรีทีวีอาจมองข้ามประเด็นนี้ไป นั่นคือยุทธศาสตร์การเพิ่มสายตาผู้ชม หรือที่เรียกว่า Eye Ball จะเกิดขึ้นได้อย่างมากมายมหาศาลทันที หากสามารถวางกล่อง Set-Top-Box ได้อย่างรวดเร็ว ครอบคลุมและทั่วถึง ซึ่งเมื่อเกิด Eye Ball เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลภายในระยะเวลาอันสั้นแล้ว ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมหมายถึงเม็ดเงินของรายได้ที่จะมาจากโฆษณาทีวีประมาณ 7-8 หมื่นล้านบาทต่อปี เนื่องจากฟรีทีวีสามารถโฆษณาได้ 12 นาทีต่อชั่วโมง ในขณะที่เคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมสามารถโฆษณาได้เพียง 6 นาทีต่อชั่วโมงเท่านั้น
http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000090041