ก่อนที่จะลงทุนในหุ้น ผมอยากให้ลองปรับเปลี่ยนแนวคิดการลงทุนนะครับ สำหรับมือใหม่นะ
เปลี่ยนแนวคิด ไม่ได้ ต้องการให้เป็นผู้ที่ " ชนะ " ในตลาดหุ้น แต่เพื่อไม่ให้เป็นผู้ที่ " แพ้ " ในตลาดหุ้น
และผมก็ไม่เคยมองว่า คนที่ขาดทุน เป็นคนที่แพ้ ผมกลับมองว่าคนที่ไม่คิดจะลงทุนเลย เป็นผู้แพ้มากกว่า
ซึ่งคนที่พึ่งลงทุนในหุ้นช่วงแรกๆ ส่วนใหญ่จะคิดว่า ตลาดหุ้นนั้น ง่ายกว่าที่คิด !
ซึ่งถ้ามันง่ายจริง และ คนส่วนใหญ่ก็ทำได้ คือวันๆนึงเทรตได้กำไรหลายพัน แล้วยังทำได้ต่อเนื่องเรื่อยๆ
แล้วคนส่วนใหญ่ก็ทำได้จริง อย่างนี้ ทุกคนจะทำงานกันทำไม ? ทำไมไม่หันมาเทรตหุ้นกันหมด ?
ผมมองว่าการลงทุนในหุ้น เพื่อหวังกำไรจากส่วนต่างโดยการเล่นเก็งกำไรไปวันๆ แล้วได้กำไรจริง ซึ่งผมคิดว่ามันผิดหลักการ
สมมุติ คุณซื้อหุ้นตังนึง เพราะคุณมองว่าตัวนี้มันขึ้นแน่ๆ ด้วยการคาดเดา ซึ่งหากหุ้นตัวที่คุณซื้อ ลงมา 1 ช่อง คุณจะรู้สึกอยากขายมัน
เพราะกลัวว่ามันจะตกหนักกว่าเดิม พอคุณขายไป แล้วมันขึ้น คุณก็ขาดทุน
ทุกๆครั้งที่คุณได้กำไร โอกาศที่คุณจะขาดทุน มันเท่ากันนะ
แล้วคุณจะมั่นใจได้ยังไงว่าคุณจะไม่ขาดทุน และคุณจะทำกำไรได้ทุกวัน เพราะซื้อต้องเท่ากับขาย ใครจะไปยอมขาดทุนให้คุณ
ซึ่งมันผิดตั้งแต่คุณความคิดของคุณแล้ว เพราะคุณคิดว่า "เดี๋ยวหุ้นมันก็ขึ้น" คิดแบบนี้คุณ จะกลายเป็น ผู้แพ้ ในตลาด
คุณต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ว่าคุณลงทุนในหุ้น เพื่อต้องการ "เป็นส่วนนึงของบริษัท " หรือเป็นหุ้นส่วน และเติบโตไปกับมัน
ถ้าหากคุณคิดได้แล้ว เมื่อคุณเข้าไปลงทุนในหุ้นตัวนั้น คุณจะไม่สนใจราคาที่มันวิ่งขึ้นลง ทุกๆเวลา เพราะคุณจะมองยาวขึ้น
ว่าหุ้นที่คุณเข้าไปลงทุน ในอนาคตจะเติบโต คุณก็เหมือนเป็น "หุ้นส่วน" ซึ่งโตไปพร้อมกับบริษัท
แล้วถ้าทุกคนคิดแบบนี้เหมือนกันล่ะ แล้วใครจะขาดทุน ?
ทุกๆครั้งที่คุณขายหุ้น คุณได้กำไร ตังที่คุณได้กำไร เป็นของใคร แล้วคนที่เค้าขายให้คุณ คุณคิดว่าเค้าจะขาดทุน หรือเค้าจะกำไร
จำนวนที่ซื้อ ต้องเท่ากับ จำนวนที่ขาย ไม่งั้นจะซื้อขายไม่สำเร็จ แล้วถ้าคนส่วนใหญ่กำไร แล้วคนส่วนน้อยจะยอมขาดทุนให้คนส่วนใหญ่หรอ
ซึ่งแน่นอน ถ้าทุกคนคิดได้แล้วว่าจะลงทุน เพื่อเป็นส่วนนึงของบริษัท และจะเติบโตกับมัน แต่ก็ยังมีคนขาดทุน เพราะอะไร ?
เพราะคนส่วนใหญ่เล่นหุ้นตามอารมณ์ มากกว่าการลงทุน ตัวสำคัญที่ทำให้คุณ อ่อนไหวง่ายต่อหุ้น คือ " อารมณ์ "
นี่ละคือ สิ่งที่ " ยาก " ที่สุดสำหรับการลงทุนในหุ้น คือการจัดการกับอารมณ์ไม่ให้อ่อนไหวต่อราคาหุ้นบนกระดาน
ตัวแปรสำคัญของอารมณ์ คือ " สภาพคล่อง "
สมมุติคุณซื้อ คอนโด ราคา 5 แสนบาท หลังจากคุณซื้อคุณมีความรู้สึกกลัวว่าราคาคอนโดที่คุณซื้อมันจะลงไหม ?
ถ้าหากคอนโดที่คุณซื้อ อยู่ในทำเลที่ดีติดรถไฟฟ้า อนาคตราคาขึ้นสูงแน่ๆ เมื่อคุณรู้อย่างนั้น พอคุณซื้อ คุณจะไม่รู้สึกอยากจะขายมัน
เพราะคุณคิดว่า ยิ่งปล่อยนานๆไป มูลค่าคอนโดที่คุณซื้อ ก็จะสูงขึ้น
แล้วทำไมเวลาคุณซื้อคอนโด คุณยังรู้สึกรอได้ ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับมัน ? แต่ทำไมแค่ราคาหุ้นลงนิดเดียวคุณอยากจะขายมัน ?
เพราะสภาพคล่องของอสังหาริมทรัพย์ นั้นต่ำกว่า หุ้น
ซึ่งคนส่วนใหญ่มองว่าสภาพคล่องสูง เป็นข้อดี ผมกลับมองตรงข้าม ผมมองว่าสภาพคล่องสูง ทำให้จัดการกับอารมณ์ยากมาก
สภาพคล่องต่ำ ทำให้คุณมีสติ ไม่อ่อนไหวต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
แสดงว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ อารมณ์ เพราะคุณคิดจะลงทุนในตลาดหุ้น
แสดงว่าคุณ จะต้องรับได้ กับ สภาพคล่องสูง และ มันจะเป็นตัวแปรไปสู่อารมณ์ ซึ่งมันจะทำให้คุณไม่ทันได้คิด เมื่อคุณซื้อหุ้นไปแล้ว
หุ้นตัวนั้นมันลง คุณก็จะกลับมาคิดว่าทำไมตอนนั้นซื้อ ทำไมต้องซื้อตอนแพง ทำไมไม่ดูพื้นฐานหุ้นก่อน ทำไมไม่ดูกราฟ
สิ่งที่ทำให้คุณคิดไม่ทัน ก็คือ " อารมณ์ของคุณมันอ่อนไหวไปกับราคาในตลาดหุ้น "
ผมมีวิธีที่จะจัดการกับ " อารมณ์ " ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากก็จริง
แต่เมื่อทำซ้ำๆ จนเกิดเป็น " นิสัย " ต่อไปเราก็จะไม่อ่อนไหวกับตลาดหุ้น โดยให้อารมณ์มันพาไป
ก็คือ คุณปรับแนวคิดใหม่ เพื่อต้องการเป็นหุ้นส่วนของบริษัท แต่คุณจะต้องมั่นใจในบริษัทนั้นว่าจะเติบโตในอนาคตข้างหน้า
ซื้อหุ้น ที่มีพื้นฐานดีรองรับ มีปันผลให้คุณ ในราคาถูก สำคัญมากนะครับ
เพราะตัวที่จะทำให้คุณจัดการกับอารมณ์เวลาหุ้นขึ้น หรือหุ้นลง โดยคุณจะไม่ขายมัน คือ เงินปันผล
ต่อให้หุ้นวิ่ง + 50% คุณก็สามารถทำใจไม่ให้ขายได้ ต่อให้พอร์ต - 50% คุณก็จะไม่รู้สึกอยากขายมัน
เพราะ คุณมั่นใจแล้วว่าตัวที่คุณซื้ออนาคตมันจะขึ้น แสดงว่าต่อให้ -50% เดี๋ยวมันก็ขึ้นมาเท่าทุน แต่ !! ต้องมีปันผลมารองรับ
ตัวที่จะทำให้เราสามารถจัดการกับ "อารมณ์" ได้คือ เลือกหุ้นพื้นฐานดี มีปันผล ซื้อในราคาถูก
ซึ่งตัวแปรที่จะทำให้เราไม่อยากขายมัน คือ ปันผล
เมื่อทำอย่างนี้ได้แล้ว คุณก็จะไม่หวั่นไหวต่อราคา และ มีสติ ไม่เป็นคนที่แพ้ ให้กับตลาดหุ้น
แล้วคุณจะมีความสุขกับการลงทุนในหุ้น
เมื่อหุ้นลงคุณก็มีความสุข เพราะได้ซื้อหุ้นในราคาถูก หุ้นขึ้นคุณก็มีความสุข เพราะปล่อยให้ let profit run
สิ่งที่คุณต้องรับได้สำหรับตลาดหุ้น คือสภาพคล่องสูง เสี่ยงสูง ที่จะขาดทุน แต่ก็มีคนมากมายลงทุนในตลาดหุ้น เพราะอยากที่จะร่ำรวย
ซึ่งแน่นอนว่า "การขาดทุนเป็นกระบวนการหนึ่งสู่ความรวย หากกลัวที่จะขาดทุน คุณก็จะห่างไกลความรวย"
หุ้นเป็นเรื่องที่ดูเหมือนง่าย แต่ทำยาก จึงต้องศึกษาให้ดีก่อนที่จะลงทุน
ผมได้แนวคิดมาจาก คุณ พิชัย จาวลา เลยอยากมาแชร์วิธีคิดครับ
ทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ
เปลี่ยนแนวคิดการลงทุนใหม่ จะได้ไม่เป็น " ผู้แพ้ " ในตลาดหุ้น !! สำหรับมือใหม่
เปลี่ยนแนวคิด ไม่ได้ ต้องการให้เป็นผู้ที่ " ชนะ " ในตลาดหุ้น แต่เพื่อไม่ให้เป็นผู้ที่ " แพ้ " ในตลาดหุ้น
และผมก็ไม่เคยมองว่า คนที่ขาดทุน เป็นคนที่แพ้ ผมกลับมองว่าคนที่ไม่คิดจะลงทุนเลย เป็นผู้แพ้มากกว่า
ซึ่งคนที่พึ่งลงทุนในหุ้นช่วงแรกๆ ส่วนใหญ่จะคิดว่า ตลาดหุ้นนั้น ง่ายกว่าที่คิด !
ซึ่งถ้ามันง่ายจริง และ คนส่วนใหญ่ก็ทำได้ คือวันๆนึงเทรตได้กำไรหลายพัน แล้วยังทำได้ต่อเนื่องเรื่อยๆ
แล้วคนส่วนใหญ่ก็ทำได้จริง อย่างนี้ ทุกคนจะทำงานกันทำไม ? ทำไมไม่หันมาเทรตหุ้นกันหมด ?
ผมมองว่าการลงทุนในหุ้น เพื่อหวังกำไรจากส่วนต่างโดยการเล่นเก็งกำไรไปวันๆ แล้วได้กำไรจริง ซึ่งผมคิดว่ามันผิดหลักการ
สมมุติ คุณซื้อหุ้นตังนึง เพราะคุณมองว่าตัวนี้มันขึ้นแน่ๆ ด้วยการคาดเดา ซึ่งหากหุ้นตัวที่คุณซื้อ ลงมา 1 ช่อง คุณจะรู้สึกอยากขายมัน
เพราะกลัวว่ามันจะตกหนักกว่าเดิม พอคุณขายไป แล้วมันขึ้น คุณก็ขาดทุน
ทุกๆครั้งที่คุณได้กำไร โอกาศที่คุณจะขาดทุน มันเท่ากันนะ
แล้วคุณจะมั่นใจได้ยังไงว่าคุณจะไม่ขาดทุน และคุณจะทำกำไรได้ทุกวัน เพราะซื้อต้องเท่ากับขาย ใครจะไปยอมขาดทุนให้คุณ
ซึ่งมันผิดตั้งแต่คุณความคิดของคุณแล้ว เพราะคุณคิดว่า "เดี๋ยวหุ้นมันก็ขึ้น" คิดแบบนี้คุณ จะกลายเป็น ผู้แพ้ ในตลาด
คุณต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ว่าคุณลงทุนในหุ้น เพื่อต้องการ "เป็นส่วนนึงของบริษัท " หรือเป็นหุ้นส่วน และเติบโตไปกับมัน
ถ้าหากคุณคิดได้แล้ว เมื่อคุณเข้าไปลงทุนในหุ้นตัวนั้น คุณจะไม่สนใจราคาที่มันวิ่งขึ้นลง ทุกๆเวลา เพราะคุณจะมองยาวขึ้น
ว่าหุ้นที่คุณเข้าไปลงทุน ในอนาคตจะเติบโต คุณก็เหมือนเป็น "หุ้นส่วน" ซึ่งโตไปพร้อมกับบริษัท
แล้วถ้าทุกคนคิดแบบนี้เหมือนกันล่ะ แล้วใครจะขาดทุน ?
ทุกๆครั้งที่คุณขายหุ้น คุณได้กำไร ตังที่คุณได้กำไร เป็นของใคร แล้วคนที่เค้าขายให้คุณ คุณคิดว่าเค้าจะขาดทุน หรือเค้าจะกำไร
จำนวนที่ซื้อ ต้องเท่ากับ จำนวนที่ขาย ไม่งั้นจะซื้อขายไม่สำเร็จ แล้วถ้าคนส่วนใหญ่กำไร แล้วคนส่วนน้อยจะยอมขาดทุนให้คนส่วนใหญ่หรอ
ซึ่งแน่นอน ถ้าทุกคนคิดได้แล้วว่าจะลงทุน เพื่อเป็นส่วนนึงของบริษัท และจะเติบโตกับมัน แต่ก็ยังมีคนขาดทุน เพราะอะไร ?
เพราะคนส่วนใหญ่เล่นหุ้นตามอารมณ์ มากกว่าการลงทุน ตัวสำคัญที่ทำให้คุณ อ่อนไหวง่ายต่อหุ้น คือ " อารมณ์ "
นี่ละคือ สิ่งที่ " ยาก " ที่สุดสำหรับการลงทุนในหุ้น คือการจัดการกับอารมณ์ไม่ให้อ่อนไหวต่อราคาหุ้นบนกระดาน
ตัวแปรสำคัญของอารมณ์ คือ " สภาพคล่อง "
สมมุติคุณซื้อ คอนโด ราคา 5 แสนบาท หลังจากคุณซื้อคุณมีความรู้สึกกลัวว่าราคาคอนโดที่คุณซื้อมันจะลงไหม ?
ถ้าหากคอนโดที่คุณซื้อ อยู่ในทำเลที่ดีติดรถไฟฟ้า อนาคตราคาขึ้นสูงแน่ๆ เมื่อคุณรู้อย่างนั้น พอคุณซื้อ คุณจะไม่รู้สึกอยากจะขายมัน
เพราะคุณคิดว่า ยิ่งปล่อยนานๆไป มูลค่าคอนโดที่คุณซื้อ ก็จะสูงขึ้น
แล้วทำไมเวลาคุณซื้อคอนโด คุณยังรู้สึกรอได้ ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับมัน ? แต่ทำไมแค่ราคาหุ้นลงนิดเดียวคุณอยากจะขายมัน ?
เพราะสภาพคล่องของอสังหาริมทรัพย์ นั้นต่ำกว่า หุ้น
ซึ่งคนส่วนใหญ่มองว่าสภาพคล่องสูง เป็นข้อดี ผมกลับมองตรงข้าม ผมมองว่าสภาพคล่องสูง ทำให้จัดการกับอารมณ์ยากมาก
สภาพคล่องต่ำ ทำให้คุณมีสติ ไม่อ่อนไหวต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
แสดงว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ อารมณ์ เพราะคุณคิดจะลงทุนในตลาดหุ้น
แสดงว่าคุณ จะต้องรับได้ กับ สภาพคล่องสูง และ มันจะเป็นตัวแปรไปสู่อารมณ์ ซึ่งมันจะทำให้คุณไม่ทันได้คิด เมื่อคุณซื้อหุ้นไปแล้ว
หุ้นตัวนั้นมันลง คุณก็จะกลับมาคิดว่าทำไมตอนนั้นซื้อ ทำไมต้องซื้อตอนแพง ทำไมไม่ดูพื้นฐานหุ้นก่อน ทำไมไม่ดูกราฟ
สิ่งที่ทำให้คุณคิดไม่ทัน ก็คือ " อารมณ์ของคุณมันอ่อนไหวไปกับราคาในตลาดหุ้น "
ผมมีวิธีที่จะจัดการกับ " อารมณ์ " ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากก็จริง
แต่เมื่อทำซ้ำๆ จนเกิดเป็น " นิสัย " ต่อไปเราก็จะไม่อ่อนไหวกับตลาดหุ้น โดยให้อารมณ์มันพาไป
ก็คือ คุณปรับแนวคิดใหม่ เพื่อต้องการเป็นหุ้นส่วนของบริษัท แต่คุณจะต้องมั่นใจในบริษัทนั้นว่าจะเติบโตในอนาคตข้างหน้า
ซื้อหุ้น ที่มีพื้นฐานดีรองรับ มีปันผลให้คุณ ในราคาถูก สำคัญมากนะครับ
เพราะตัวที่จะทำให้คุณจัดการกับอารมณ์เวลาหุ้นขึ้น หรือหุ้นลง โดยคุณจะไม่ขายมัน คือ เงินปันผล
ต่อให้หุ้นวิ่ง + 50% คุณก็สามารถทำใจไม่ให้ขายได้ ต่อให้พอร์ต - 50% คุณก็จะไม่รู้สึกอยากขายมัน
เพราะ คุณมั่นใจแล้วว่าตัวที่คุณซื้ออนาคตมันจะขึ้น แสดงว่าต่อให้ -50% เดี๋ยวมันก็ขึ้นมาเท่าทุน แต่ !! ต้องมีปันผลมารองรับ
ตัวที่จะทำให้เราสามารถจัดการกับ "อารมณ์" ได้คือ เลือกหุ้นพื้นฐานดี มีปันผล ซื้อในราคาถูก
ซึ่งตัวแปรที่จะทำให้เราไม่อยากขายมัน คือ ปันผล
เมื่อทำอย่างนี้ได้แล้ว คุณก็จะไม่หวั่นไหวต่อราคา และ มีสติ ไม่เป็นคนที่แพ้ ให้กับตลาดหุ้น
แล้วคุณจะมีความสุขกับการลงทุนในหุ้น
เมื่อหุ้นลงคุณก็มีความสุข เพราะได้ซื้อหุ้นในราคาถูก หุ้นขึ้นคุณก็มีความสุข เพราะปล่อยให้ let profit run
สิ่งที่คุณต้องรับได้สำหรับตลาดหุ้น คือสภาพคล่องสูง เสี่ยงสูง ที่จะขาดทุน แต่ก็มีคนมากมายลงทุนในตลาดหุ้น เพราะอยากที่จะร่ำรวย
ซึ่งแน่นอนว่า "การขาดทุนเป็นกระบวนการหนึ่งสู่ความรวย หากกลัวที่จะขาดทุน คุณก็จะห่างไกลความรวย"
หุ้นเป็นเรื่องที่ดูเหมือนง่าย แต่ทำยาก จึงต้องศึกษาให้ดีก่อนที่จะลงทุน
ผมได้แนวคิดมาจาก คุณ พิชัย จาวลา เลยอยากมาแชร์วิธีคิดครับ
ทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ