.....ตี๋ เด็กหนุ่มเชื้อสายจีน เดินพล่านเป็นเสือติดจั่นอยู่คนเดียว บนฟุตบาธริมถนนที่ตัดผ่านย่านชุมชนชาวจีนใจกลางกรุงเทพ หรือที่รู้จักกันดีว่า เยาวราช กระแสลมเริ่มพัดรุนแรงขึ้นจนเป็นกรรโชกในบางครั้ง เมฆสีดำทะมึนที่แผ่ขยายตัวออกอย่างรวดเร็ว เคลื่อนตัวเข้าปกคลุมไปทั่วฟ้า เป็นสัญญาณว่าพายุฝนกำลังใกล้เข้ามาแล้ว ผู้คนที่อยู่บนฟุตบาธเดียวกับเขา ต่างเร่งฝีเท้าก้าวไปเพื่อหลีกหนีพายุที่กำลังมา พ่อค้าแม่ค้าตามคูหาตึกแถว ก็รีบออกมายกขนของที่เอามาวางโชว์ลูกค้าที่หน้าร้านด้านนอก เก็บกลับเข้าไปในร้าน ร้านที่เป็นเพียงแผงลอยริมทางก็รีบหยิบผ้าใบ ผ้ายาง หรืออะไรก็ตามที่กันน้ำได้ มาคลุมแผงสินค้าของตนไว้
หยาดฝนเม็ดแรกเม็ดเล็กๆร่วงหล่นกระทบแก้มเขา เพียงไม่นานเม็ดต่อๆมาก็เข้าปะทะร่างกายอันกำยำของเด็กหนุ่มเชื่อสายจีน จากเม็ดเล็กๆที่รู้สึกคันๆเมื่อถูกกระทบ ชั่วพริบตาก็เปลี่ยนเป็นเม็ดฝนเม็ดเป้งๆที่ร้สึกเจ็บไม่น้อยเมื่อโดนกระหน่ำใส่อย่างไม่สามารถนับเม็ดได้ ตี๋ต้องยกแขนขึ้นบังใบหน้าก่อนวิ่งฝ่าไปหาที่กำบัง
ชายคากันสาดของตึกแถวคูหาหนึ่ง เป็นที่ที่เขาเข้ามาหลบพายุฝนร่วมกับผู้เผชิญชะตากรรมเดียวกันอีกหลายคน ที่ต่างเบียดเสียดยัดเยียดกันหลบอยู่ในพื้นที่ที่มีจำกัด แต่มาหลบได้เพียงไม่นานพายุฝนที่โหมกระหน่ำเมื่อครู่ก็หยุดลงอย่างรวดเร็ว ตี๋เงยหน้ามองท้องฟ้า เห็นเงาดำของเมฆฝนเริ่มสลายตัวเผยเค้าความสดใสของท้องฟ้าอีกครั้ง
“โดนฝนไล่ช้างเล่นงานเข้าซะแล้ว”เสียงบ่นจากชายชราด้านหลังอธิบายถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ได้เป็นอย่างดี พื้นที่ที่เคยถูกแย่งกันจับจองเป็นที่กำบังพายุฝน บัดนี้เหลือเพียงเขาคนเดียวที่ยังยืนอยู่ ทุกคนต่างก้าวไปตามจุดหมายปลายทางของตัวเองหมดแล้ว
แต่ไม่ใช่ว่าเขานั้นไร้จุดหมายปลายทาง เพียงแต่เขาไม่มีความกล้าพอที่จะไปที่แห่งนั้น ทั้งๆที่จุดหมายของเขานั้นสามารถมองเห็นได้ชัดเจน จากตรงที่เขายืนอยู่ ห่างออกไปแค่เพียงมีถนนคั่นเท่านั้น คูหาตึกแถวเก่าๆฝั่งตรงข้ามคือปลายทางที่เขาอยากไป
เมื่อฝนหยุด สภาพความวุ่นวายของถนนสายนี้ก็เริ่มต้นอีกครั้ง บรรดาพ่อค้าแม่ค้าต่างรีบปรับสภาพร้านรวงของตัวเอง ให้กลับมามีสภาพก่อนจะมีพายุเมื่อครู่ ชั้นวางสินค้าต่างๆถูกทยอยเอาออกมาตั้งโชว์อวดสายตาผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมาอีกครั้ง ใช้เวลาเพียงไม่นานร้านรวงต่างๆก็จัดแต่งเสร็จเหมือนเดิม แต่ทว่าไม่คึกคักเหมือนเก่า เพราะผู้คนสัญจรบางตาลงไปมาก คงต้องรอเวลาอีกสักพัก ถนนเส้นนี้จะกลับมามีสีสันอีกครั้ง
หน้าร้านที่ตี๋มาอาศัยชายคากันสาดเขาหลบฝน ก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง ร้านนี้เป็นร้านรับเขียนกระดาษจีน ขายกระดาษเงินกระดาษทอง รวมไปถึงสิ่งของต่างๆที่คนเชื้อสายจีนนิยมเผาไปให้ญาติที่เสียชีวิตลงตามประเพณีจีน ชายชราตัวเล็ก ผมขาวหงอกโพลนทั้งหัว ใส่เสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงขาก๊วยสีดำ กำลังเริ่มลงมือทำงานของตัวเองอีกครั้ง โดยใช้พู่กันอันใหญ่จุ่มสีทอง แล้วตวัดเขียนเป็นภาษาจีนอย่างแคล่วคล่อง เป็นคนที่ตี๋รู้จักและคุ้นเคยดีตั้งแต่สมัยเด็กๆ ก๋งหมี่ ชายชราผู้ใจดีกับเขาและน้องๆเสมอ ร้านนี้กับบ้านของเขาที่บ้านของเขาผูกพันกันมานานปีตามประสาคนบ้านใกล้เรือนเคียง แต่กระนั้นถึงตอนนี้เขาอยากจะเข้าทักทายพูดคุยเหมือนทุกครั้ง แต่ก็ทำไม่ได้จำต้องรีบก้มหน้าเดินหลบเลี่ยงออกห่าง
เกือบสองเดือนแล้วที่ตี๋ออกจากบ้าน
บ้านที่อยู่มาตั้งแต่เกิดมายี่สิบปี บ้านที่มีเตี่ย แม่ และน้องๆ บ้านที่ตี๋เคยเปรียบเทียบด้วยความคิดของเขาเองว่าเป็น “คุก” คุกที่กักขังควบคุมจนเขาไม่รู้จักคำว่าอิสรเสรี มีชีวิตอยู่ไปวันๆบนความซ้ำซากจำเจ
“ตื่นได้แล้ว ลุกออกมาช่วยกันทำมาหากิน อย่ามัวแต่นอนหลังยาว” ตี๋ถูกปลุกด้วยเสียงอันทรงอำนาจของเตี่ย ตั้งแต่เช้ามืดของทุกๆวัน ด้วยเสียงนี้ ทำให้เขาไม่กล้าจะบิดไล่ความเกียจคร้านออกจากตัวนานเกินไป ต้องรีบลุกขึ้นมาจัดเก็บที่นอน ล้างหน้าแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เสร็จโดยเร็วแล้วค่อยลงมาต่อสู้กับความซ้ำซากจำใจที่ชั้นล่าง ที่เปิดเป็นร้าน
ชั้นล่างของตึกแถวสองชั้นที่บ้านตี๋นั้น เปิดเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดสูตรดั้งเดิมจากเมืองจีน ที่เตี่ยใช้สร้างฐานะตอนมาลงหลักปักฐานอยู่ในเมืองไทย และที่นี้เอง ที่เตี่ยได้พบกับแม่ซึ่งเป็นคนไทย ที่ทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ร้านอาหารละแวกใกล้เคียง และทั้งสองคนก็สานสัมพันธ์จนเกิดกลายมาเป็นครอบครัว มีตี๋และน้องๆเป็นพยานรัก
ร้านของครอบครัวตี๋ไม่ใหญ่ไม่โตนัก มีพนักงานทั้งหมดห้าคน คือเตี่ยเป็นคนทำก๋วยเตี๋ยว แม่เป็นคนเดินเสริฟอาหารและล้างถ้วยชาม หรือบางทีก็ผลัดเปลี่ยนหน้าที่กันกับเตี่ยเพื่อพักสักครู่ ส่วนอีกสามคนที่เหลือคือตี๋กับน้องๆ รับหน้าที่เป็นผู้ช่วย ลูกมือในทุกๆหน้าที่และทุกโอกาสที่ว่าง
“เป็นลูกเต้าต้องรู้จักช่วยพ่อแม่ทำมาหากิน”เตี่ยมักพูดเชิงสั่งสอนแบบนี้เสมอเหมือนกลัวว่าลูกๆจะลืม ดังนั้นตี๋และน้องๆจะมีภาระหน้าที่ทันทีที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เริ่มเปิดร้านตั้งแต่เช้ามืด ทุกคนช่วยกันเตรียมของที่จะขายในวันนั้น ตั้งแต่เตรียมของสดเช่นพวกเส้นก๋วยเตี๋ยว ล้างถั่วงอก ตุ๋นไก่ จัดเตรียมลูกชิ้น จัดโต๊ะเก้าอี้ เตรียมชามตะเกียบ ก่อนที่จะปัดกวาดเช็ดถูก่อนเปิดร้านอีกครั้ง ซึ่งทุกอย่างต้องเสร็จก่อนตีห้าครึ่ง
พอเริ่มเปิดร้านหน้าที่ของตี๋กับน้องๆก็เปลี่ยนไป หมวยน้องสาวคนกลางจะเป็นพนักงานเสิร์ฟร่วมกับแม่ ตี๋เล็กน้องคนสุดท้องจะเป็นคนเก็บถ้วยชามที่ลูกค้าทานหมดแล้วกลับเข้ามาให้ตี๋ล้างที่หลังร้าน ส่วนตัวตี๋เองก็ไม่ได้ทำแค่หน้าที่ล้างชามอย่างเดียว เขาต้องเข้าไปช่วยในทุกหน้าที่ของทุกคน งานที่รีบเร่งในช่วงเช้านับว่าหนักพอดูสำหรับน้องๆที่ยังเด็กอยู่ ส่วนตี๋ที่ร่างกายเจริญวัยอยู่ในช่วงวัยรุ่นก็พอรับมือกับงานได้ แต่ก็ไม่วายโดนเตี่ยดุอยู่เป็นประจำ
“เดินให้มันไวๆหน่อยสิ ลูกค้ามาเต็มร้านแล้ว”คำพูดนี้ตี๋ต้องได้ฟังจากเตี่ยทุกวัน หรือไม่ก็
“ล้างให้มันสะอาดๆหน่อยสิ แบบนี้ใช้ไม่ได้ เอาไปล้างใหม่”ส่วนอาหมวยน้องสาวกับตี๋เล็กน้องชายที่ช่วยแม่เสิร์ฟและเก็บถ้วยชาม ก็โดนเตี่ยดุอยู่เป็นระยะ เพราะลุกค้าในชั่วโมงเร่งด่วนทำให้รับออเดอร์ผิดบ้าง เสิร์ฟผิดโต๊ะบ้าง หรือบางทีก็ทำงานช้าไม่ทันใจเตี่ย
“อั๊วล่ะกลุ้มใจกับพวกลื้อจริงๆ ไม่รู้ว่าเกิดเป็นลูกอั๊วได้ยังไง”คำพูดประชดประชันที่สามพี่น้องต้องรับฟังจากเตี่ย เมื่อทำอะไรไม่ถูกใจเตี่ยหลายๆครั้งรวมกัน
กว่าจะผ่านชั่วโมงแห่งความเร่งรีบในช่วงเช้าไปได้ เวลาก็ล่วงเลยไปเกือบถึงแปดโมง ถ้าเป็นวันธรรมดาตี๋กับน้องๆ ก็ต้องรีบวางมือก่อนแปดโมงเล็กน้อย รีบไปอาบน้ำกินข้าว แล้วแต่งตัวไปโรงเรียน แม่ต้องไปส่งน้องชายคนเล็กที่โรงเรียนประถมใกล้บ้าน ส่วนตี๋ก็พาหมวยน้องสาวนั่งรถเมลล์ไปไม่กี่ป้าย ก็จะถึงโรงเรียนมัธยมที่ทั้งคู่เรียนอยู่ ซึ่งสองพี่น้องเชื้อสายจีนคู่นี้ ก็มาโรงเรียนสายเป็นประจำ
กับข้าวที่พวกเขากินลงไปทุกวันก็ล้วนแต่ซ้ำซากจำเจ มีแต่เมนูเก่าๆ ผักดอง ปลาเค็ม ไข่เจียว กับข้ามต้ม วนเวียนอยู่แค่นี้แทบไม่เคยมีเมนูที่แปลกใหม่เลย ส่วนก๋วยเตี๋ยวที่เป็นอาชีพหลักของครอบครัว พวกลูกๆของเตี่ย แทบจะไม่ได้กินเลย ไม่ใช่ว่าเด็กๆได้กินกันจนเบื่อ แต่พวกเขาไม่กล้ากินต่างหาก
“ของซื้อของขาย เอามากินกันฟรีๆได้ยังไง”เตี่ยจะบ่นทุกครั้งที่แม่ทำก๋วยเตี๋ยวให้ลูกๆกิน ถ้าเป็นวันเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดราชการ พวกลูกๆก็ต้องทำงานตลอดทั้งวันเหมือนเป็นลูกจ้างประจำ จะได้พักบ้างก็แค่ช่วงกินข้าวเท่านั้น
“พักอะไรกันหนักหนา อั๊วทำงานหาเลี้ยงพวกลื้อมาทุกวัน ยังไม่เห็นต้องพักเลย”เสียงบ่นจากเตี่ยเร่งรัดการพักกินข้าวของลูกๆได้ดีทุกครั้ง ไม่มีลูกคนไหนกล้าที่จะนั่งแช่อยู่ต่อ รีบกลับไปรบราในสมรภูมิค้าขายต่อไป
และวันหยุดก็เหมือนเป็นฝันร้ายของน้องๆที่ยังเล็ก อาหมวยเพิ่งจะขึ้น ม.2 ส่วนตี๋เล็กก็เพิ่งจะอยู่ชั้น ป.5 ทั้งคู่ยังเป็นเด็กที่อยากดูทีวีดูการ์ตูนตามประสาเด็กๆ แต่ลูกค้าที่เข้ามาในร้านตลอดเวลา นั้นไม่อนุญาตให้น้องๆทำได้ตามใจปราถนา บางครั้งตี๋ก็สงสาร แอบให้น้องทั้งสองคนผลัดกันหลบเตี่ยขึ้นไปดูทีวีที่ชั้นสอง แต่ก็ต้องเลิกก่อนสิบเอ็ดโมงเพื่อลงมาเตรียมรับมือกับลูกค้าที่จะเข้ามาในช่วงเที่ยง สำหรับเรื่องที่จะออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้านนั้น ลืมไปได้เลยสำหรับลูกๆบ้านนี้ แต่ก็มีบางวันเหมือนกัน ที่ลูกค้าเข้าร้านน้อย งานไม่ยุ่งวุ่นวายอะไร แต่ก็ไม่มีใครออกไปเล่นนอกบ้านได้อยู่ดี
“ครอบครัวเดียวกัน มันก็ต้องอยู่ช่วยกันสิ จะทิ้งไปเล่นสนุกได้ไง พวกลื้อต้องหัดไว้ โตขึ้นจะได้อดทน”นี่คือเหตุผลของผู้ทรงอำนาจที่สุดในบ้าน เป็นคล้ายข้อห้ามประกาศิตของลูกๆ
“ถ้าว่างกันนัก ทำไมไม่หยิบหนังสือเรียนมาอ่านล่ะ อั๊วอุตส่าห์เสียเงินส่งให้เรียนนะ”เสียงเตี่ยดังขึ้นทันทีที่เห็นลูกๆนั่งอยู่เฉยๆรองานเมื่อไม่มีลูกค้า แต่ไม่ทันที่เด็กๆจะลุกไปหยิบหนังสือมาอ่าน
“ว่างกันนัก ก็เอานี้ไปทำ”ถั่วงอกในถุงพลาสติกถุงใหญ่ ถูกเตี่ยเอามาวางตรงหน้า แล้วลูกๆก็ต้องก้มหน้าทำงานที่เตี่ยหาให้อย่างเสียไม่ได้
“ล้างให้สะอาดๆล่ะ เด็ดรากให้มันเกลี้ยงๆด้วย”เตี่ยไม่เคยยอมปล่อยพวกเด็กๆให้อยู่ว่างเลย
กว่าจะได้เลิกราจากงานร้าน ก็ต้องทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูอุปกรณ์ต่างๆ เช็ดโต๊ะเก้าอี้ ล้างพวงเครื่องปรุง และอื่นๆอีกหลายอย่างที่เตี่ยจะสั่ง จะเสร็จก็ราวๆสามทุ่มกว่า บางวันอาจจะร่วงเลยไปกว่านั้น เวลาส่วนตัวจึงแทบไม่มีเหลือ เพราะทำงานเสร็จยังต้องมาทำการบ้านกันอีก ยังโชคดีอยู่หน่อย ที่งานบ้านแม่เป็นคนทำ ไม่อย่างนั้นพวกลูกๆคงไม่เหลือเวลานอนเลย
ตี๋เบื่อหน่ายสภาพที่เป็นอยู่ เขาไม่ชอบทั้งช่วงเช้า ช่วงเที่ยงหรือช่วงเย็นที่มีลูกค้าเข้าร้านเยอะ ไม่ใช่ว่างานมันหนักเกินไป เกินกำลังของน้องๆและตัวเขา แต่เขาคิดว่าเตี่ยน่าจะยอมโอนอ่อนผ่อนตามปล่อยให้น้องๆได้สนุกกันประสาเด็กๆบ้าง ส่วนตัวเขาขอแค่ให้เตี่ยเป็นพ่อที่เหมือนกับพ่อคนอื่นบ้างสักนิดก็ยังดี
วันๆวงจรชีวิตของตี๋ไม่เคยหลุดพ้นไปจากนี้ มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเบื่อหน่าย เหมือนกับว่าชีวิตเขาผูกติดกับงานอยู่ตลอดเวลา และมีแต่งานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ตี๋ไม่ค่อยจะมีเพื่อน ไม่มีสังคม จะได้เจอเพื่อนบ้างก็ที่โรงเรียนเท่านั้น เพราะบรรดาเพื่อนๆของตี๋เข็ดขยาดไม่กล้ามาหาเขาที่บ้าน เพราะเคยถูกเตี่ยดุจนกระเจิงไปแล้ว
“ไอ้ตี๋ มันต้องทำงาน ไม่มีเวลาว่างลอยไปลอยมาเหมือนพวกลื้อหรอก”เตี่ยบอกกับเพื่อนๆตี๋ที่มาหาในวันหนึ่ง
ตี๋ไม่เคยมีชีวิตอย่างวัยรุ่นทั่วไป ไม่เคยไปเที่ยวที่ไหน ไม่เคยคุยโทรศัพท์กับเพื่อน ไม่เคยมีการฉลองวันเกิด ชีวิตเขาวนเวียนอยู่แต่ในวงจรที่เตี่ยกำหนดให้ ซึ่งความเบื่อหน่ายซ้ำซากพวกนี้ทำให้เขาคิดมองหาโอกาส โอกาสที่จะหลุดพ้นไปสูเสรีภาพที่เขาจะทำอะไรได้ตามใจตัวเอง
“เดี๋ยวก่อนสิ ยังไม่ว่าง”
“โธ่ เตี่ย จะเร่งไปถึงไหน นี้ก็เหนื่อยจะตายแล้วนะ”
“อยากได้ดีดี ก็มาทำเองสิ”
ฯลฯ
ถ้อยคำพวกนี้คือคำที่ตี๋ได้แต่คิดอยู่ในใจเวลาที่เขาทำอะไรไม่ถูกใจเตี่ย แม้ในใจมันจะร่ำร้องให้เขาพูดออกไปใจจะขาด แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้น เพราะเขาไม่ได้อยากชื่อว่า ลูกเนรคุณ หากเขาพูดออกไป
“เฮีย หมวยเหนื่อย ขอหมวยพักหน่อยนะ”น้องสาวคนรองเดินเมาบอกเขาที่นั่งล้างชามอยู่หลังร้าน ด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า
“อื้อ พักก่อนเถอะ เดี๋ยวเฮียออกไปช่วยข้างนอกเอง”ตี๋รู้ดีว่า น้องสาวไม่ได้เหนื่อยจริงๆ เพราะเธอเองก็ทำมาได้ทุกวันจนน่าจะชินแล้ว แต่เธอคงน้อยใจที่โดนเตี่ยว่าอะไรบางอย่างมามากกว่า และสภาพแบบนี้ เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง เขาสงสารน้องสาวเหลือเกิน
ตี๋อดทนอยู่ในบ้านนั้น เก็บกดความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเบื่อหน่าย ในใจเขาโหยหา อิสรภาพและชีวิตใหม่ ความรู้สึกถูกระยะเวลาสะสมให้มากขึ้น และเมื่อถึงขีดจำกัดมันก็แตกระเบิดออกมา วันที่เขาได้ออกจากบ้าน ออกจากรวงรังที่เขาอยู่มาตั้งแต่เกิด คือวันที่เขาเรียนจบม.6 แล้วเตี่ยไม่ส่งเสริมให้เขาเรียนต่อ ด้วยอ้างว่า เขาหัวไม่ดี เรียนไปก็ไปไม่รอด แต่ตัวตี๋เองกลับคิดว่า ที่ผลการเรียนเขาไม่ดี ไม่ได้เป็นเพราะหัวเขาไม่ดี แต่เป็นเพราะงานหนัก
ปีกกล้า ขาแข็ง
หยาดฝนเม็ดแรกเม็ดเล็กๆร่วงหล่นกระทบแก้มเขา เพียงไม่นานเม็ดต่อๆมาก็เข้าปะทะร่างกายอันกำยำของเด็กหนุ่มเชื่อสายจีน จากเม็ดเล็กๆที่รู้สึกคันๆเมื่อถูกกระทบ ชั่วพริบตาก็เปลี่ยนเป็นเม็ดฝนเม็ดเป้งๆที่ร้สึกเจ็บไม่น้อยเมื่อโดนกระหน่ำใส่อย่างไม่สามารถนับเม็ดได้ ตี๋ต้องยกแขนขึ้นบังใบหน้าก่อนวิ่งฝ่าไปหาที่กำบัง
ชายคากันสาดของตึกแถวคูหาหนึ่ง เป็นที่ที่เขาเข้ามาหลบพายุฝนร่วมกับผู้เผชิญชะตากรรมเดียวกันอีกหลายคน ที่ต่างเบียดเสียดยัดเยียดกันหลบอยู่ในพื้นที่ที่มีจำกัด แต่มาหลบได้เพียงไม่นานพายุฝนที่โหมกระหน่ำเมื่อครู่ก็หยุดลงอย่างรวดเร็ว ตี๋เงยหน้ามองท้องฟ้า เห็นเงาดำของเมฆฝนเริ่มสลายตัวเผยเค้าความสดใสของท้องฟ้าอีกครั้ง
“โดนฝนไล่ช้างเล่นงานเข้าซะแล้ว”เสียงบ่นจากชายชราด้านหลังอธิบายถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ได้เป็นอย่างดี พื้นที่ที่เคยถูกแย่งกันจับจองเป็นที่กำบังพายุฝน บัดนี้เหลือเพียงเขาคนเดียวที่ยังยืนอยู่ ทุกคนต่างก้าวไปตามจุดหมายปลายทางของตัวเองหมดแล้ว
แต่ไม่ใช่ว่าเขานั้นไร้จุดหมายปลายทาง เพียงแต่เขาไม่มีความกล้าพอที่จะไปที่แห่งนั้น ทั้งๆที่จุดหมายของเขานั้นสามารถมองเห็นได้ชัดเจน จากตรงที่เขายืนอยู่ ห่างออกไปแค่เพียงมีถนนคั่นเท่านั้น คูหาตึกแถวเก่าๆฝั่งตรงข้ามคือปลายทางที่เขาอยากไป
เมื่อฝนหยุด สภาพความวุ่นวายของถนนสายนี้ก็เริ่มต้นอีกครั้ง บรรดาพ่อค้าแม่ค้าต่างรีบปรับสภาพร้านรวงของตัวเอง ให้กลับมามีสภาพก่อนจะมีพายุเมื่อครู่ ชั้นวางสินค้าต่างๆถูกทยอยเอาออกมาตั้งโชว์อวดสายตาผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมาอีกครั้ง ใช้เวลาเพียงไม่นานร้านรวงต่างๆก็จัดแต่งเสร็จเหมือนเดิม แต่ทว่าไม่คึกคักเหมือนเก่า เพราะผู้คนสัญจรบางตาลงไปมาก คงต้องรอเวลาอีกสักพัก ถนนเส้นนี้จะกลับมามีสีสันอีกครั้ง
หน้าร้านที่ตี๋มาอาศัยชายคากันสาดเขาหลบฝน ก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง ร้านนี้เป็นร้านรับเขียนกระดาษจีน ขายกระดาษเงินกระดาษทอง รวมไปถึงสิ่งของต่างๆที่คนเชื้อสายจีนนิยมเผาไปให้ญาติที่เสียชีวิตลงตามประเพณีจีน ชายชราตัวเล็ก ผมขาวหงอกโพลนทั้งหัว ใส่เสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงขาก๊วยสีดำ กำลังเริ่มลงมือทำงานของตัวเองอีกครั้ง โดยใช้พู่กันอันใหญ่จุ่มสีทอง แล้วตวัดเขียนเป็นภาษาจีนอย่างแคล่วคล่อง เป็นคนที่ตี๋รู้จักและคุ้นเคยดีตั้งแต่สมัยเด็กๆ ก๋งหมี่ ชายชราผู้ใจดีกับเขาและน้องๆเสมอ ร้านนี้กับบ้านของเขาที่บ้านของเขาผูกพันกันมานานปีตามประสาคนบ้านใกล้เรือนเคียง แต่กระนั้นถึงตอนนี้เขาอยากจะเข้าทักทายพูดคุยเหมือนทุกครั้ง แต่ก็ทำไม่ได้จำต้องรีบก้มหน้าเดินหลบเลี่ยงออกห่าง
เกือบสองเดือนแล้วที่ตี๋ออกจากบ้าน
บ้านที่อยู่มาตั้งแต่เกิดมายี่สิบปี บ้านที่มีเตี่ย แม่ และน้องๆ บ้านที่ตี๋เคยเปรียบเทียบด้วยความคิดของเขาเองว่าเป็น “คุก” คุกที่กักขังควบคุมจนเขาไม่รู้จักคำว่าอิสรเสรี มีชีวิตอยู่ไปวันๆบนความซ้ำซากจำเจ
“ตื่นได้แล้ว ลุกออกมาช่วยกันทำมาหากิน อย่ามัวแต่นอนหลังยาว” ตี๋ถูกปลุกด้วยเสียงอันทรงอำนาจของเตี่ย ตั้งแต่เช้ามืดของทุกๆวัน ด้วยเสียงนี้ ทำให้เขาไม่กล้าจะบิดไล่ความเกียจคร้านออกจากตัวนานเกินไป ต้องรีบลุกขึ้นมาจัดเก็บที่นอน ล้างหน้าแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เสร็จโดยเร็วแล้วค่อยลงมาต่อสู้กับความซ้ำซากจำใจที่ชั้นล่าง ที่เปิดเป็นร้าน
ชั้นล่างของตึกแถวสองชั้นที่บ้านตี๋นั้น เปิดเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดสูตรดั้งเดิมจากเมืองจีน ที่เตี่ยใช้สร้างฐานะตอนมาลงหลักปักฐานอยู่ในเมืองไทย และที่นี้เอง ที่เตี่ยได้พบกับแม่ซึ่งเป็นคนไทย ที่ทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ร้านอาหารละแวกใกล้เคียง และทั้งสองคนก็สานสัมพันธ์จนเกิดกลายมาเป็นครอบครัว มีตี๋และน้องๆเป็นพยานรัก
ร้านของครอบครัวตี๋ไม่ใหญ่ไม่โตนัก มีพนักงานทั้งหมดห้าคน คือเตี่ยเป็นคนทำก๋วยเตี๋ยว แม่เป็นคนเดินเสริฟอาหารและล้างถ้วยชาม หรือบางทีก็ผลัดเปลี่ยนหน้าที่กันกับเตี่ยเพื่อพักสักครู่ ส่วนอีกสามคนที่เหลือคือตี๋กับน้องๆ รับหน้าที่เป็นผู้ช่วย ลูกมือในทุกๆหน้าที่และทุกโอกาสที่ว่าง
“เป็นลูกเต้าต้องรู้จักช่วยพ่อแม่ทำมาหากิน”เตี่ยมักพูดเชิงสั่งสอนแบบนี้เสมอเหมือนกลัวว่าลูกๆจะลืม ดังนั้นตี๋และน้องๆจะมีภาระหน้าที่ทันทีที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เริ่มเปิดร้านตั้งแต่เช้ามืด ทุกคนช่วยกันเตรียมของที่จะขายในวันนั้น ตั้งแต่เตรียมของสดเช่นพวกเส้นก๋วยเตี๋ยว ล้างถั่วงอก ตุ๋นไก่ จัดเตรียมลูกชิ้น จัดโต๊ะเก้าอี้ เตรียมชามตะเกียบ ก่อนที่จะปัดกวาดเช็ดถูก่อนเปิดร้านอีกครั้ง ซึ่งทุกอย่างต้องเสร็จก่อนตีห้าครึ่ง
พอเริ่มเปิดร้านหน้าที่ของตี๋กับน้องๆก็เปลี่ยนไป หมวยน้องสาวคนกลางจะเป็นพนักงานเสิร์ฟร่วมกับแม่ ตี๋เล็กน้องคนสุดท้องจะเป็นคนเก็บถ้วยชามที่ลูกค้าทานหมดแล้วกลับเข้ามาให้ตี๋ล้างที่หลังร้าน ส่วนตัวตี๋เองก็ไม่ได้ทำแค่หน้าที่ล้างชามอย่างเดียว เขาต้องเข้าไปช่วยในทุกหน้าที่ของทุกคน งานที่รีบเร่งในช่วงเช้านับว่าหนักพอดูสำหรับน้องๆที่ยังเด็กอยู่ ส่วนตี๋ที่ร่างกายเจริญวัยอยู่ในช่วงวัยรุ่นก็พอรับมือกับงานได้ แต่ก็ไม่วายโดนเตี่ยดุอยู่เป็นประจำ
“เดินให้มันไวๆหน่อยสิ ลูกค้ามาเต็มร้านแล้ว”คำพูดนี้ตี๋ต้องได้ฟังจากเตี่ยทุกวัน หรือไม่ก็
“ล้างให้มันสะอาดๆหน่อยสิ แบบนี้ใช้ไม่ได้ เอาไปล้างใหม่”ส่วนอาหมวยน้องสาวกับตี๋เล็กน้องชายที่ช่วยแม่เสิร์ฟและเก็บถ้วยชาม ก็โดนเตี่ยดุอยู่เป็นระยะ เพราะลุกค้าในชั่วโมงเร่งด่วนทำให้รับออเดอร์ผิดบ้าง เสิร์ฟผิดโต๊ะบ้าง หรือบางทีก็ทำงานช้าไม่ทันใจเตี่ย
“อั๊วล่ะกลุ้มใจกับพวกลื้อจริงๆ ไม่รู้ว่าเกิดเป็นลูกอั๊วได้ยังไง”คำพูดประชดประชันที่สามพี่น้องต้องรับฟังจากเตี่ย เมื่อทำอะไรไม่ถูกใจเตี่ยหลายๆครั้งรวมกัน
กว่าจะผ่านชั่วโมงแห่งความเร่งรีบในช่วงเช้าไปได้ เวลาก็ล่วงเลยไปเกือบถึงแปดโมง ถ้าเป็นวันธรรมดาตี๋กับน้องๆ ก็ต้องรีบวางมือก่อนแปดโมงเล็กน้อย รีบไปอาบน้ำกินข้าว แล้วแต่งตัวไปโรงเรียน แม่ต้องไปส่งน้องชายคนเล็กที่โรงเรียนประถมใกล้บ้าน ส่วนตี๋ก็พาหมวยน้องสาวนั่งรถเมลล์ไปไม่กี่ป้าย ก็จะถึงโรงเรียนมัธยมที่ทั้งคู่เรียนอยู่ ซึ่งสองพี่น้องเชื้อสายจีนคู่นี้ ก็มาโรงเรียนสายเป็นประจำ
กับข้าวที่พวกเขากินลงไปทุกวันก็ล้วนแต่ซ้ำซากจำเจ มีแต่เมนูเก่าๆ ผักดอง ปลาเค็ม ไข่เจียว กับข้ามต้ม วนเวียนอยู่แค่นี้แทบไม่เคยมีเมนูที่แปลกใหม่เลย ส่วนก๋วยเตี๋ยวที่เป็นอาชีพหลักของครอบครัว พวกลูกๆของเตี่ย แทบจะไม่ได้กินเลย ไม่ใช่ว่าเด็กๆได้กินกันจนเบื่อ แต่พวกเขาไม่กล้ากินต่างหาก
“ของซื้อของขาย เอามากินกันฟรีๆได้ยังไง”เตี่ยจะบ่นทุกครั้งที่แม่ทำก๋วยเตี๋ยวให้ลูกๆกิน ถ้าเป็นวันเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดราชการ พวกลูกๆก็ต้องทำงานตลอดทั้งวันเหมือนเป็นลูกจ้างประจำ จะได้พักบ้างก็แค่ช่วงกินข้าวเท่านั้น
“พักอะไรกันหนักหนา อั๊วทำงานหาเลี้ยงพวกลื้อมาทุกวัน ยังไม่เห็นต้องพักเลย”เสียงบ่นจากเตี่ยเร่งรัดการพักกินข้าวของลูกๆได้ดีทุกครั้ง ไม่มีลูกคนไหนกล้าที่จะนั่งแช่อยู่ต่อ รีบกลับไปรบราในสมรภูมิค้าขายต่อไป
และวันหยุดก็เหมือนเป็นฝันร้ายของน้องๆที่ยังเล็ก อาหมวยเพิ่งจะขึ้น ม.2 ส่วนตี๋เล็กก็เพิ่งจะอยู่ชั้น ป.5 ทั้งคู่ยังเป็นเด็กที่อยากดูทีวีดูการ์ตูนตามประสาเด็กๆ แต่ลูกค้าที่เข้ามาในร้านตลอดเวลา นั้นไม่อนุญาตให้น้องๆทำได้ตามใจปราถนา บางครั้งตี๋ก็สงสาร แอบให้น้องทั้งสองคนผลัดกันหลบเตี่ยขึ้นไปดูทีวีที่ชั้นสอง แต่ก็ต้องเลิกก่อนสิบเอ็ดโมงเพื่อลงมาเตรียมรับมือกับลูกค้าที่จะเข้ามาในช่วงเที่ยง สำหรับเรื่องที่จะออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้านนั้น ลืมไปได้เลยสำหรับลูกๆบ้านนี้ แต่ก็มีบางวันเหมือนกัน ที่ลูกค้าเข้าร้านน้อย งานไม่ยุ่งวุ่นวายอะไร แต่ก็ไม่มีใครออกไปเล่นนอกบ้านได้อยู่ดี
“ครอบครัวเดียวกัน มันก็ต้องอยู่ช่วยกันสิ จะทิ้งไปเล่นสนุกได้ไง พวกลื้อต้องหัดไว้ โตขึ้นจะได้อดทน”นี่คือเหตุผลของผู้ทรงอำนาจที่สุดในบ้าน เป็นคล้ายข้อห้ามประกาศิตของลูกๆ
“ถ้าว่างกันนัก ทำไมไม่หยิบหนังสือเรียนมาอ่านล่ะ อั๊วอุตส่าห์เสียเงินส่งให้เรียนนะ”เสียงเตี่ยดังขึ้นทันทีที่เห็นลูกๆนั่งอยู่เฉยๆรองานเมื่อไม่มีลูกค้า แต่ไม่ทันที่เด็กๆจะลุกไปหยิบหนังสือมาอ่าน
“ว่างกันนัก ก็เอานี้ไปทำ”ถั่วงอกในถุงพลาสติกถุงใหญ่ ถูกเตี่ยเอามาวางตรงหน้า แล้วลูกๆก็ต้องก้มหน้าทำงานที่เตี่ยหาให้อย่างเสียไม่ได้
“ล้างให้สะอาดๆล่ะ เด็ดรากให้มันเกลี้ยงๆด้วย”เตี่ยไม่เคยยอมปล่อยพวกเด็กๆให้อยู่ว่างเลย
กว่าจะได้เลิกราจากงานร้าน ก็ต้องทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูอุปกรณ์ต่างๆ เช็ดโต๊ะเก้าอี้ ล้างพวงเครื่องปรุง และอื่นๆอีกหลายอย่างที่เตี่ยจะสั่ง จะเสร็จก็ราวๆสามทุ่มกว่า บางวันอาจจะร่วงเลยไปกว่านั้น เวลาส่วนตัวจึงแทบไม่มีเหลือ เพราะทำงานเสร็จยังต้องมาทำการบ้านกันอีก ยังโชคดีอยู่หน่อย ที่งานบ้านแม่เป็นคนทำ ไม่อย่างนั้นพวกลูกๆคงไม่เหลือเวลานอนเลย
ตี๋เบื่อหน่ายสภาพที่เป็นอยู่ เขาไม่ชอบทั้งช่วงเช้า ช่วงเที่ยงหรือช่วงเย็นที่มีลูกค้าเข้าร้านเยอะ ไม่ใช่ว่างานมันหนักเกินไป เกินกำลังของน้องๆและตัวเขา แต่เขาคิดว่าเตี่ยน่าจะยอมโอนอ่อนผ่อนตามปล่อยให้น้องๆได้สนุกกันประสาเด็กๆบ้าง ส่วนตัวเขาขอแค่ให้เตี่ยเป็นพ่อที่เหมือนกับพ่อคนอื่นบ้างสักนิดก็ยังดี
วันๆวงจรชีวิตของตี๋ไม่เคยหลุดพ้นไปจากนี้ มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเบื่อหน่าย เหมือนกับว่าชีวิตเขาผูกติดกับงานอยู่ตลอดเวลา และมีแต่งานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ตี๋ไม่ค่อยจะมีเพื่อน ไม่มีสังคม จะได้เจอเพื่อนบ้างก็ที่โรงเรียนเท่านั้น เพราะบรรดาเพื่อนๆของตี๋เข็ดขยาดไม่กล้ามาหาเขาที่บ้าน เพราะเคยถูกเตี่ยดุจนกระเจิงไปแล้ว
“ไอ้ตี๋ มันต้องทำงาน ไม่มีเวลาว่างลอยไปลอยมาเหมือนพวกลื้อหรอก”เตี่ยบอกกับเพื่อนๆตี๋ที่มาหาในวันหนึ่ง
ตี๋ไม่เคยมีชีวิตอย่างวัยรุ่นทั่วไป ไม่เคยไปเที่ยวที่ไหน ไม่เคยคุยโทรศัพท์กับเพื่อน ไม่เคยมีการฉลองวันเกิด ชีวิตเขาวนเวียนอยู่แต่ในวงจรที่เตี่ยกำหนดให้ ซึ่งความเบื่อหน่ายซ้ำซากพวกนี้ทำให้เขาคิดมองหาโอกาส โอกาสที่จะหลุดพ้นไปสูเสรีภาพที่เขาจะทำอะไรได้ตามใจตัวเอง
“เดี๋ยวก่อนสิ ยังไม่ว่าง”
“โธ่ เตี่ย จะเร่งไปถึงไหน นี้ก็เหนื่อยจะตายแล้วนะ”
“อยากได้ดีดี ก็มาทำเองสิ”
ฯลฯ
ถ้อยคำพวกนี้คือคำที่ตี๋ได้แต่คิดอยู่ในใจเวลาที่เขาทำอะไรไม่ถูกใจเตี่ย แม้ในใจมันจะร่ำร้องให้เขาพูดออกไปใจจะขาด แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้น เพราะเขาไม่ได้อยากชื่อว่า ลูกเนรคุณ หากเขาพูดออกไป
“เฮีย หมวยเหนื่อย ขอหมวยพักหน่อยนะ”น้องสาวคนรองเดินเมาบอกเขาที่นั่งล้างชามอยู่หลังร้าน ด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า
“อื้อ พักก่อนเถอะ เดี๋ยวเฮียออกไปช่วยข้างนอกเอง”ตี๋รู้ดีว่า น้องสาวไม่ได้เหนื่อยจริงๆ เพราะเธอเองก็ทำมาได้ทุกวันจนน่าจะชินแล้ว แต่เธอคงน้อยใจที่โดนเตี่ยว่าอะไรบางอย่างมามากกว่า และสภาพแบบนี้ เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง เขาสงสารน้องสาวเหลือเกิน
ตี๋อดทนอยู่ในบ้านนั้น เก็บกดความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเบื่อหน่าย ในใจเขาโหยหา อิสรภาพและชีวิตใหม่ ความรู้สึกถูกระยะเวลาสะสมให้มากขึ้น และเมื่อถึงขีดจำกัดมันก็แตกระเบิดออกมา วันที่เขาได้ออกจากบ้าน ออกจากรวงรังที่เขาอยู่มาตั้งแต่เกิด คือวันที่เขาเรียนจบม.6 แล้วเตี่ยไม่ส่งเสริมให้เขาเรียนต่อ ด้วยอ้างว่า เขาหัวไม่ดี เรียนไปก็ไปไม่รอด แต่ตัวตี๋เองกลับคิดว่า ที่ผลการเรียนเขาไม่ดี ไม่ได้เป็นเพราะหัวเขาไม่ดี แต่เป็นเพราะงานหนัก