[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ไม่รู้ว่าซ้ำรึป่าว แต่อ่านแล้วรู้สึกประทับใจมาก
"การแสดงครั้งที่ดีที่สุดของผม" #โจวซิงฉือ
ตอนที่พ่อกับแม่หย่ากัน ผมเพิ่งอายุ 7 ขวบ ศาลตัดสินให้ผมกับพี่สาวและน้องสาวอยู่กับแม่ ช่วงปี 1968 ที่ #ฮ่องกง แม่เลี้ยงดูเรา 3 พี่น้องด้วยความยากลำบาก แม่ต้องทำงาน 2 ที่ แต่โชคดีที่ลูกๆล้วนเป็นเด็กดี โดยเฉพาะผมตั้งใจเรียนมาก สอบได้คะแนนดีตลอดทำให้เป็นลูกรักของแม่
แต่มีแค่เรื่องเดียวที่แม่เป็นห่วงพวกเรา คือ เรื่องอาหารการกิน ลูกๆกำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต ไม่ว่ากระเบียดกระเสียรแค่ไหน แม่ก็ต้องหาเนื้อหาปลามาให้พวกเรากินเสมอ แต่อาจเป็นเพราะผมถูกตามใจจนเคยตัว หรือไม่ก็เพราะนานๆจะมีเนื้อมีปลากินสักครั้ง ทันทีที่อาหารขึ้นโต๊ะ ผมก็จะยกจานมาไว้ตรงหน้าตัวเอง เลือกกินของที่ชอบ พี่สาวน้องสาวก็ดีเหลือเกิน ไม่เคยแย่งผมกินเลย แต่ว่าผมกินไม่ค่อยมาก กินแค่สองสามคำก็เลิกกิน หันไปเล่นซน
ผมยังมีนิสัยเสียอีกอย่าง คือ ชอบเอาของกินมาเคี้ยวเล่น แล้วก็คายกลับลงบนจาน ของที่ผมคายทิ้งนั้นพี่สาวน้องสาวไม่กล้ากิน แต่เพราะเสียดายของ แม่จึงเป็นคนกินทุกครั้ง นิสัยเสียนี้แม่ตำหนิผมหลายครั้ง แต่ก็ไร้ประโยชน์ อาจเพราะว่าเรื่องเรียนเรื่องนิสัยอื่น ผมไม่มีปัญหาอะไร แม่จึงยอมให้เพราะคิดว่าเป็นนิสัยซนของเด็กๆ
แต่มีครั้งหนึ่ง แม่โกรธจริงๆและลงมือทำโทษผมด้วย....ครั้งนั้น แม่ไม่ได้เงินเดือนมา 2 เดือนแล้ว ต้องไปยืมเงินคนอื่นมาซื้อน่องไก่ 2 น่องให้พวกเรากิน น่องไก่ย่างจนเหลืองหอม พอยกขึ้นโต๊ะผมก็ปีนขึ้นไปหยิบใส่ปากกัดคำโต แถมยังทำ่าทำทางล้อเลียนพี่สาวน้องสาวด้วย ทันใดนั้น น่องไก่ก็หลุดมือตกลงบนพื้น เปื้อนดินจนสกปรก
แม่ทั้งโกรธทั้งเสียดาย คว้ากิ่งไม้มาหวดผมสิบกว่าครั้ง จนพี่สาวน้องสาวต้องเข้ามาดึงตัวผมออกมา แม่ถึงยอมวางไม้ลงได้ ทั้งแม่ทั้งลูกสามคนกอดกันร้องไห้....หลังคราบน้ำตาแห้งลง พวกเราก็เริ่มกินข้าวกันใหม่ แม่เสียดายน่องไก่ จึงเก็บขึ้นมาแล้วเอาน้ำร้อนลวก แล้วกินเสียเอง
คืนวันนั้น แม่เข้ามากอดผม แล้วถามว่า “ยังเจ็บมั๊ย? วันหลังจะซนอีกมั๊ย?” ความจริงผมยังเจ็บอยู่ แต่แอบยิ้มพร้อมบอกแม่ไปว่า “นอนเถอะครับ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแต่เช้า”
สิบกว่าปีให้หลัง ผมกับแม่ไปออกรายการโทรทัศน์ แม่เล่าเรื่องนี้ให้ผู้ชมฟัง และบอกว่า “ตอนเด็กๆผมซนมาก ไม่รู้เลยว่ากับข้าวแต่ละอย่างหามายากลำบากแค่ไหน ไม่รู้จักคุณค่าของเลย”
ผมย้อนคิดถึงเรื่องนี้อยู่สักพัก แล้วก็บอกออกไปว่า “ ไม่ครับแม่ ผมรู้ว่าแม่ลำบาก....แต่ถ้าผมไม่แกล้งทำน่องไก่ตกดิน แม่จะยอมกินไหม? สมัยเด็กๆ มีของกินดีๆอะไร แม่ก็จะให้พวกเราสามพี่น้องกินเสมอ แม่กินข้าวเปล่ากับผักดองตลอด ผมก็เลยคิดอุบาย เคี้ยวเนื้อแล้วก็คายทิ้ง แม่ถึงยอมกินเพราะความเสียดาย”
พอแม่ได้ยินความลับที่เก็บงำมากว่าสิบปี ถึงกับน้ำตาริน บอกว่า “แม่น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว เพราะเจ้าเป็นเด็กดีทุกเรื่อง ยกเว้นแค่เรื่องกินเรื่องเดียวที่นิสัยเสีย”
ในครั้งนั้นผมกับแม่กอดกันร้องไห้อย่างไม่อายผู้ชม ผมเห็นว่าผู้ชมหลายคนก็แอบเสียน้ำตาด้วย....ผมเป็นทั้งนักแสดงและผู้กำกับหนังมากมายหลายเรื่อง แต่การแสดงที่ดีที่สุดของผมก็คือ ตอน 7 ขวบครั้งนั้น เพราะเป็นการแสดงที่ออกมาจากเบื้องลึกของหัวใจ หากแต่มีผู้ชมเพียงคนเดียว ก็คือ #แม่ ของผม.
ถ้าอ่านแล้วชอบ แชร์ได้ตามสะดวกครับ ยินดีและขอบคุณมากๆครับ ทุกวันเป็น #วันแม่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.ssballthai.in.th/boards/topic/1095459
การแสดงหลอกผู้ชมที่ดีที่สุดของผู้ชายที่ชื่อ โจวซิงฉือ (อ่านแล้วน้ำตาจะไหล)
"การแสดงครั้งที่ดีที่สุดของผม" #โจวซิงฉือ
ตอนที่พ่อกับแม่หย่ากัน ผมเพิ่งอายุ 7 ขวบ ศาลตัดสินให้ผมกับพี่สาวและน้องสาวอยู่กับแม่ ช่วงปี 1968 ที่ #ฮ่องกง แม่เลี้ยงดูเรา 3 พี่น้องด้วยความยากลำบาก แม่ต้องทำงาน 2 ที่ แต่โชคดีที่ลูกๆล้วนเป็นเด็กดี โดยเฉพาะผมตั้งใจเรียนมาก สอบได้คะแนนดีตลอดทำให้เป็นลูกรักของแม่
แต่มีแค่เรื่องเดียวที่แม่เป็นห่วงพวกเรา คือ เรื่องอาหารการกิน ลูกๆกำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต ไม่ว่ากระเบียดกระเสียรแค่ไหน แม่ก็ต้องหาเนื้อหาปลามาให้พวกเรากินเสมอ แต่อาจเป็นเพราะผมถูกตามใจจนเคยตัว หรือไม่ก็เพราะนานๆจะมีเนื้อมีปลากินสักครั้ง ทันทีที่อาหารขึ้นโต๊ะ ผมก็จะยกจานมาไว้ตรงหน้าตัวเอง เลือกกินของที่ชอบ พี่สาวน้องสาวก็ดีเหลือเกิน ไม่เคยแย่งผมกินเลย แต่ว่าผมกินไม่ค่อยมาก กินแค่สองสามคำก็เลิกกิน หันไปเล่นซน
ผมยังมีนิสัยเสียอีกอย่าง คือ ชอบเอาของกินมาเคี้ยวเล่น แล้วก็คายกลับลงบนจาน ของที่ผมคายทิ้งนั้นพี่สาวน้องสาวไม่กล้ากิน แต่เพราะเสียดายของ แม่จึงเป็นคนกินทุกครั้ง นิสัยเสียนี้แม่ตำหนิผมหลายครั้ง แต่ก็ไร้ประโยชน์ อาจเพราะว่าเรื่องเรียนเรื่องนิสัยอื่น ผมไม่มีปัญหาอะไร แม่จึงยอมให้เพราะคิดว่าเป็นนิสัยซนของเด็กๆ
แต่มีครั้งหนึ่ง แม่โกรธจริงๆและลงมือทำโทษผมด้วย....ครั้งนั้น แม่ไม่ได้เงินเดือนมา 2 เดือนแล้ว ต้องไปยืมเงินคนอื่นมาซื้อน่องไก่ 2 น่องให้พวกเรากิน น่องไก่ย่างจนเหลืองหอม พอยกขึ้นโต๊ะผมก็ปีนขึ้นไปหยิบใส่ปากกัดคำโต แถมยังทำ่าทำทางล้อเลียนพี่สาวน้องสาวด้วย ทันใดนั้น น่องไก่ก็หลุดมือตกลงบนพื้น เปื้อนดินจนสกปรก
แม่ทั้งโกรธทั้งเสียดาย คว้ากิ่งไม้มาหวดผมสิบกว่าครั้ง จนพี่สาวน้องสาวต้องเข้ามาดึงตัวผมออกมา แม่ถึงยอมวางไม้ลงได้ ทั้งแม่ทั้งลูกสามคนกอดกันร้องไห้....หลังคราบน้ำตาแห้งลง พวกเราก็เริ่มกินข้าวกันใหม่ แม่เสียดายน่องไก่ จึงเก็บขึ้นมาแล้วเอาน้ำร้อนลวก แล้วกินเสียเอง
คืนวันนั้น แม่เข้ามากอดผม แล้วถามว่า “ยังเจ็บมั๊ย? วันหลังจะซนอีกมั๊ย?” ความจริงผมยังเจ็บอยู่ แต่แอบยิ้มพร้อมบอกแม่ไปว่า “นอนเถอะครับ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแต่เช้า”
สิบกว่าปีให้หลัง ผมกับแม่ไปออกรายการโทรทัศน์ แม่เล่าเรื่องนี้ให้ผู้ชมฟัง และบอกว่า “ตอนเด็กๆผมซนมาก ไม่รู้เลยว่ากับข้าวแต่ละอย่างหามายากลำบากแค่ไหน ไม่รู้จักคุณค่าของเลย”
ผมย้อนคิดถึงเรื่องนี้อยู่สักพัก แล้วก็บอกออกไปว่า “ ไม่ครับแม่ ผมรู้ว่าแม่ลำบาก....แต่ถ้าผมไม่แกล้งทำน่องไก่ตกดิน แม่จะยอมกินไหม? สมัยเด็กๆ มีของกินดีๆอะไร แม่ก็จะให้พวกเราสามพี่น้องกินเสมอ แม่กินข้าวเปล่ากับผักดองตลอด ผมก็เลยคิดอุบาย เคี้ยวเนื้อแล้วก็คายทิ้ง แม่ถึงยอมกินเพราะความเสียดาย”
พอแม่ได้ยินความลับที่เก็บงำมากว่าสิบปี ถึงกับน้ำตาริน บอกว่า “แม่น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว เพราะเจ้าเป็นเด็กดีทุกเรื่อง ยกเว้นแค่เรื่องกินเรื่องเดียวที่นิสัยเสีย”
ในครั้งนั้นผมกับแม่กอดกันร้องไห้อย่างไม่อายผู้ชม ผมเห็นว่าผู้ชมหลายคนก็แอบเสียน้ำตาด้วย....ผมเป็นทั้งนักแสดงและผู้กำกับหนังมากมายหลายเรื่อง แต่การแสดงที่ดีที่สุดของผมก็คือ ตอน 7 ขวบครั้งนั้น เพราะเป็นการแสดงที่ออกมาจากเบื้องลึกของหัวใจ หากแต่มีผู้ชมเพียงคนเดียว ก็คือ #แม่ ของผม.
ถ้าอ่านแล้วชอบ แชร์ได้ตามสะดวกครับ ยินดีและขอบคุณมากๆครับ ทุกวันเป็น #วันแม่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้