การทำบุญทำทาน ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

กระทู้สนทนา
#การทำบุญทำทานที่ดีก็จำเป็นต้องเลือก เพื่อให้ได้ประโยชน์อย่างแท้จริง
พระศาสดาสอนว่า...

"....พืชอันหว่านลงในนาที่สมบูรณ์
เมื่อฝนตกต้องตามฤดูกาล ธัญชาติย่อมงอกงาม ไม่มีศัตรูพืช
ย่อมแตกงอกงาม ถึงความไพบูลย์ให้ผลเต็มที่ ฉันใด
โภชนะที่บุคคลถวายในสมณพราหมณ์ผู้มีศีลสมบูรณ์ ก็ฉันนั้น
ย่อมนำมาซึ่งกุศลอันสมบูรณ์ เพราะกรรมที่เขาทำนั้นสมบูรณ์แล้ว

เพราะฉะนั้น
บุคคลในโลกนี้ผู้หวังกุศลสัมปทา จงเป็นผู้มีประโยชน์ถึงพร้อม
พึงคบหาท่านผู้มีปัญญาสมบูรณ์ ปุญญสัมปทา ย่อมสำเร็จได้อย่างนี้
ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ได้จิตสัมปทาแล้ว
กระทำกรรมให้บริบูรณ์ ย่อมได้ผลบริบูรณ์
รู้โลกนี้ตามเป็นจริงแล้ว พึงถึงทิฐิสัมปทา อาศัยมรรคสัมปทา
มีใจบริบูรณ์ ย่อมบรรลุอรหัต เพราะกำจัดมลทินทั้งปวงได้แล้ว
บรรลุนิพพานสัมปทาได้แล้ว ย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
การหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงนั้น จัดเป็นสรรพสัมปทา ฯ...."


พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๒๓
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
ข้อที่ ๑๒๔
เขตตสูตร

[๑๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พืชที่หว่านลงในนาอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ ไม่มีผลมาก ไม่มีความดีใจมาก ไม่มีความเจริญมาก นาประกอบด้วยองค์ ๘ ประการอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย นาในโลกนี้ เป็นที่ลุ่มๆ ดอนๆ ๑ เป็นที่ปนหินปนกรวด ๑ เป็นที่ดินเค็ม ๑ เป็นที่ไถลงลึกไม่ได้ ๑ เป็นที่ไม่มีทางน้ำเข้า ๑ เป็นที่ไม่มีทางน้ำออก ๑ เป็นที่ไม่มีเหมือง ๑ เป็นที่ไม่มีคันนา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พืชที่หว่านลงในนาอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการอย่างนี้ ไม่มีผลมาก ไม่มีความดีใจมาก ไม่มีความเจริญมาก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ทานที่บุคคลให้ในสมณพราหมณ์ ผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ ไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ไม่รุ่งเรืองมาก ไม่เจริญแพร่หลายมาก สมณพราหมณ์ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์ในโลกนี้ เป็นมิจฉาทิฐิ ๑ เป็นมิจฉาสังกัปปะ ๑ เป็นมิจฉาวาจา ๑ เป็นมิจฉากัมมันตะ ๑ เป็นมิจฉาอาชีวะ ๑ เป็นมิจฉาวายามะ ๑ เป็นมิจฉาสติ ๑ เป็นมิจฉาสมาธิ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทานที่บุคคลให้ในสมณพราหมณ์ ผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการอย่างนี้ ไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ไม่รุ่งเรืองมาก ไม่เจริญแพร่หลายมาก ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนพืชที่บุคคลหว่านลงในนาอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ มีผลมาก มีความดีใจมาก มีความเจริญมาก นาประกอบด้วยองค์ ๘ ประการอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย นาในโลกนี้ ไม่เป็นที่ลุ่มๆ ดอนๆ ๑ ไม่เป็นที่ปนหินปนกรวด ๑ ไม่เป็นที่ดินเค็ม ๑ เป็นที่ไถลงลึกได้ ๑ เป็นที่มีทางน้ำเข้าได้ ๑ เป็นที่มีทางน้ำออกได้ ๑ เป็นที่มีเหมือง ๑ เป็นที่มีคันนา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พืชที่หว่านลงในนาอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการอย่างนี้ ย่อมมีผลมาก มีความดีใจมาก มีความเจริญมาก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน ทานที่บุคคลให้ในสมณพราหมณ์ผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรืองมาก มีความเจริญแพร่หลายมาก สมณพราหมณ์ผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์ในโลกนี้ เป็นสัมมาทิฐิ ๑ เป็นสัมมาสังกัปปะ ๑ เป็นสัมมาวาจา ๑ เป็นสัมมากัมมันตะ ๑ เป็นสัมมาอาชีวะ ๑ เป็นสัมมาวายามะ ๑ เป็นสัมมาสติ ๑ เป็นสัมมาสมาธิ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทานที่บุคคลให้ในสมณพราหมณ์ผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการอย่างนี้ ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรืองมาก มีความเจริญแพร่หลายมาก ฉะนี้ ฯ พืชอันหว่านลงในนาที่สมบูรณ์ เมื่อฝนตกต้องตามฤดูกาล ธัญชาติย่อมงอกงาม ไม่มีศัตรูพืช ย่อมแตกงอกงาม ถึงความไพบูลย์ให้ผลเต็มที่ ฉันใด โภชนะที่บุคคลถวายในสมณพราหมณ์ผู้มีศีลสมบูรณ์ ก็ฉันนั้น ย่อมนำมาซึ่งกุศลอันสมบูรณ์ เพราะกรรมที่เขาทำนั้นสมบูรณ์แล้ว เพราะฉะนั้น บุคคลในโลกนี้ผู้หวังกุศลสัมปทา จงเป็นผู้มีประโยชน์ถึงพร้อม พึงคบหาท่านผู้มีปัญญาสมบูรณ์ ปุญญสัมปทา ย่อมสำเร็จได้อย่างนี้ ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ได้จิตสัมปทาแล้ว กระทำกรรมให้บริบูรณ์ ย่อมได้ผลบริบูรณ์ รู้โลกนี้ตามเป็นจริงแล้ว พึงถึงทิฐิสัมปทา อาศัยมรรคสัมปทา มีใจบริบูรณ์ ย่อมบรรลุอรหัต เพราะกำจัดมลทินทั้งปวงได้แล้ว บรรลุนิพพานสัมปทาได้แล้ว ย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง การหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงนั้น จัดเป็นสรรพสัมปทา ฯ จบสูตรที่ ๔ พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต หน้าที่ ๑๘๔-๑๘๕/๓๗๙ ข้อที่ ๑๒๔
Kane Bluefox

เขตตสูตร

[๑๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พืชที่หว่านลงในนาอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ
ไม่มีผลมาก ไม่มีความดีใจมาก ไม่มีความเจริญมาก
นาประกอบด้วยองค์ ๘ ประการอย่างไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นาในโลกนี้
เป็นที่ลุ่มๆ ดอนๆ ๑
เป็นที่ปนหินปนกรวด ๑
เป็นที่ดินเค็ม ๑
เป็นที่ไถลงลึกไม่ได้ ๑
เป็นที่ไม่มีทางน้ำเข้า ๑
เป็นที่ไม่มีทางน้ำออก ๑
เป็นที่ไม่มีเหมือง ๑
เป็นที่ไม่มีคันนา ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พืชที่หว่านลงในนาอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการอย่างนี้
ไม่มีผลมาก ไม่มีความดีใจมาก ไม่มีความเจริญมาก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล
ทานที่บุคคลให้ในสมณพราหมณ์ ผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ
ไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ไม่รุ่งเรืองมาก ไม่เจริญแพร่หลายมาก
สมณพราหมณ์ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการอย่างไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์ในโลกนี้
เป็นมิจฉาทิฐิ ๑
เป็นมิจฉาสังกัปปะ ๑
เป็นมิจฉาวาจา ๑
เป็นมิจฉากัมมันตะ ๑
เป็นมิจฉาอาชีวะ ๑
เป็นมิจฉาวายามะ ๑
เป็นมิจฉาสติ ๑
เป็นมิจฉาสมาธิ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ทานที่บุคคลให้ในสมณพราหมณ์ ผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการอย่างนี้
ไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ไม่รุ่งเรืองมาก ไม่เจริญแพร่หลายมาก ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ส่วนพืชที่บุคคลหว่านลงในนาอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ
มีผลมาก มีความดีใจมาก มีความเจริญมาก
นาประกอบด้วยองค์ ๘ ประการอย่างไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นาในโลกนี้
ไม่เป็นที่ลุ่มๆ ดอนๆ ๑
ไม่เป็นที่ปนหินปนกรวด ๑
ไม่เป็นที่ดินเค็ม ๑
เป็นที่ไถลงลึกได้ ๑
เป็นที่มีทางน้ำเข้าได้ ๑
เป็นที่มีทางน้ำออกได้ ๑
เป็นที่มีเหมือง ๑
เป็นที่มีคันนา ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พืชที่หว่านลงในนาอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการอย่างนี้
ย่อมมีผลมาก มีความดีใจมาก มีความเจริญมาก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน
ทานที่บุคคลให้ในสมณพราหมณ์ผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ
ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรืองมาก
มีความเจริญแพร่หลายมาก
สมณพราหมณ์ผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการอย่างไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์ในโลกนี้
เป็นสัมมาทิฐิ ๑
เป็นสัมมาสังกัปปะ ๑
เป็นสัมมาวาจา ๑
เป็นสัมมากัมมันตะ ๑
เป็นสัมมาอาชีวะ ๑
เป็นสัมมาวายามะ ๑
เป็นสัมมาสติ ๑
เป็นสัมมาสมาธิ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ทานที่บุคคลให้ในสมณพราหมณ์ผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการอย่างนี้
ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรืองมาก
มีความเจริญแพร่หลายมาก ฉะนี้ ฯ

พืชอันหว่านลงในนาที่สมบูรณ์
เมื่อฝนตกต้องตามฤดูกาล ธัญชาติย่อมงอกงาม ไม่มีศัตรูพืช
ย่อมแตกงอกงาม ถึงความไพบูลย์ให้ผลเต็มที่ ฉันใด
โภชนะที่บุคคลถวายในสมณพราหมณ์ผู้มีศีลสมบูรณ์ ก็ฉันนั้น
ย่อมนำมาซึ่งกุศลอันสมบูรณ์ เพราะกรรมที่เขาทำนั้นสมบูรณ์แล้ว

เพราะฉะนั้น
บุคคลในโลกนี้ผู้หวังกุศลสัมปทา จงเป็นผู้มีประโยชน์ถึงพร้อม
พึงคบหาท่านผู้มีปัญญาสมบูรณ์ ปุญญสัมปทา ย่อมสำเร็จได้อย่างนี้
ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ได้จิตสัมปทาแล้ว
กระทำกรรมให้บริบูรณ์ ย่อมได้ผลบริบูรณ์
รู้โลกนี้ตามเป็นจริงแล้ว พึงถึงทิฐิสัมปทา อาศัยมรรคสัมปทา
มีใจบริบูรณ์ ย่อมบรรลุอรหัต เพราะกำจัดมลทินทั้งปวงได้แล้ว
บรรลุนิพพานสัมปทาได้แล้ว ย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
การหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงนั้น จัดเป็นสรรพสัมปทา ฯ

จบสูตรที่ ๔

พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๒๓
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
หน้าที่ ๑๘๔-๑๘๕/๓๗๙ ข้อที่ ๑๒๔
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่