มีคลิปนึงอยากให้ดูกัน



มันก้อจริงอย่างที่คลิปนี้เขาบอกนะ นับวันเราจะกลายเป็นโรบอท
เดินก้มหน้าก้มตากด smart phone ผมก็เคยเป็นนะ จนวันนึผมรู้สึกว่าเราออกไปข้างนอก แต่ยังก้มหน้าก้มตาอยู่ในโลกอินเตอร์เน็ต ผมเลยยกเลิกwifiซะเลย แต่ยอมรับว่ายังติดโซเชียล แต่เล่นที่บ้านก็พอแล้ว

-เราขาดปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างหรือไม่
สมัยผมวัยรุ่น ยุคนั้นมีเพจ ก่อนมีเพจคือโทรเข้าเบอร์บ้าน จะนัดเพื่อนไปไหนก็โทรไป เฮ้ยกูไปรอที่เซ็นปิ่นชั้นโรงหนังนะ กี่โมงกี่โมงว่าไป เราได้ปฏิสัมพันธ์กันเพื่อน กับแฟน คุณเคยสังเกตยุคปัจจบันนี้มั้ย เรานั่งอยู่ในรถไฟฟ้า มันเงียบมาก ไม่มีใครคุยกันเลย ทุกคนก้มหน้าจิ้มมือถือแม้กระทั่งคนที่มาด้วยกัน แล้วจะมาเที่ยวด้วยกันทำไมล่ะ ถ้ามือยังจิ้มมือถืออยู่ ไม่คิดจะเงยหน้าคุยกับเพื่อนข้างๆบ้าง

-ทุกคนพยายามปั้นแต่งเติมสีตัวเองให้คนมากดlike
ผมก็เป็น มีอยู่ช่วงนึงผมเอานู่นเอานี่มาอวดบ้าง มันทำให้คนหมั่นไส้เหมือนกันแฮะ มีหลายคนอันเฟรนด์ไป ผมเลยเขียนอะไรที่มันกลางๆดีกว่า เช่น วิจารณ์เพลง วิจารณ์หนังตามสไตล์ที่เราชอบ หลายคนถ่ายรูปจัดเต็ม ใช้360 กินอะไรก็ถ่าย ไปเที่ยวก็ถ่าย เวลาคนมากดlikeโอ้ว์ฟินเนเล่ แต่เชื่อสิไม่มีใครชอบทุกคนหรอก

-เพื่อนหลายร้อยหลายพัน แต่คุณไม่รู้จักคนเหล่านั้นเลย
หลายคนแอดเพื่อนเป็นพันคน แต่คุณไม่รู้จักคนเหล่านั้นเลย ผมมีเพื่อนในเฟส 122คน คุยและสนิทจริงๆยังมีไม่ถึง20คน ผมก็ไม่รู้จะแอดเพื่อนมามากมายทำไม แต่ถ้าใครแอดมาผมรับแอดเขาหมดนะ คนหลายคนชอบโพสต์ทุกอย่างในชีวิต ไม่ว่าจะกินขี้pี้นอน คุณโพสต์ชีวิตประจำวันให้เขาได้รับรู้ คิดว่ามันน่ากลัวมั้ยถ้าหนึ่งในพัน มีคนหนึ่งในนั้นที่เป็น Stalker และมาคุกคามชีวิตจริงๆของคุณ มีนะ ไม่ใช่จะไม่มี

-เทคโนโลยีมันก็ดี แต่ใช้ให้เป็นประโยชน์
ทุกวันนี้ผมได้อ่านข่าวที่เราสนใจ ติดตามวงดนตรี หรือ หนังที่เราชอบก็จากทางเฟสนี่แหละ ผมเกิดในยุคอนาล็อค ผมว่าเทคโนโลยียุคผมมันทำให้เราเกิดปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างดีกว่า จะจีบสาว โทรหากัน นัดกันเจอกันคุยกัน หรือ ในสมัยเด็ก เล่นคอนทร้า กับเพื่อนหลายๆคน ดึงฉากแกล้งกัน ดึงตัวกัน บางทีทะเลาะกันจนถึงต่อยกันก็มี แต่เดี๋ยวนี้คนละบ้านปิดห้อง ออนไลน์แชทกัน ปฏิสัมพันธ์ไม่มี อนาคตเด็กเจนต่อไปอาจจะขาดมนุษย์สัมพันธ์อย่างแรง ผมว่านะ