ผมมีเรื่อง "ตลกร้าย" มาเล่าให้ฟังครับ
มีบุรุษเปล่าผู้หนึ่ง เขามักอ้างตัวว่าเป็นชาวพุทธ และกำลังทำภารกิจสำคัญบางอย่าง เช่นว่า
(๑) ปกป้องพระพุทธศาสนา (ด้วยวิธีการด่าพระมหาเถระบางรูป ด้วยข้อกล่าวหาโง่ๆ เป็นอาจินต์)
(๒) ปกป้องพระรัตนตรัย (โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่า พระรัตนตรัยที่แท้ นั้นเป็นอย่างไร ?)
(๓) ปกป้องพระไตรปิฎก (แต่ทุกครั้งที่ถูกทวงถามหลักฐานยืนยันจากพระไตรปิฎก มันกลับไม่สามารถยืนยันอะไรได้)
(๔) ปกป้องอรรถกถา (แต่เมื่อใดก็ตาม ที่ข้อความจากอรรถกถา ขัดแย้งกับความเชื่อของมัน มันก็ไม่เอาอรรถกถาเหมือนกัน !)
คราวนี้ เขาก็มาด้วยรูปแบบเดิมๆ กล่าวคือ เนื่องจากมีหลักฐานข้อความของท่านพุทธทาส เรียกพระพุทธเจ้าว่า เดียรถีย์
ไอ้หมอนี่ ก็ด่วนสรุปในทันทีว่า ................. (๑) ท่านพุทธทาส กล่าวตู่ ปรามาส พระพุทธเจ้า
(๒) จากนั้นจึงถือเป็นเหตุในการเรียกท่านพุทธทาสว่า นายนั่นนายนี่ !
ประเด็น ก็คือ ถ้าไอ้หมอนี่ มันเป็นชาวพุทธจริงๆ ดังอ้าง ....... แต่เหตุใด ผมจึงไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า
บรรพบุรุษชาวพุทธในดินแดนแถบนี้ มีธรรมเนียมในการ "สึกพระ" ได้ตามใจชอบ ในเวลาที่รู้สึกไม่พอใจ !
ขออนุญาตกล่าวตามตรงว่า จะผิดจะถูกอย่างไร ก็ตาม บรรพบุรุษของผมไม่เคยอบรมสั่งสอนว่า เราจะสามารถ
จิกหัว เรียกพระว่านายนั่นนายนี่ ได้เลย เพราะอำนาจในการบวช หรือ "จับสึก" เป็นอำนาจของคณะสงฆ์
เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าประทานเอาไว้ให้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก
ถ้าหากท่านทั้งหลาย จักสังเกตให้ดี ก็จะพบว่า จนแม้แต่เมื่อพระศาสดายังดำรงพระชนม์ชีพอยู่
ก็ไม่เคยก้าวล่วง อำนาจนี้ของคณะสงฆ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว
โดยทรงถือพระองค์ว่า ทรงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของคณะสงฆ์เท่านั้น !
แต่ไอ้หมอนี่ กลับมีพฤติกรรมที่แปลก จนผิดปกติ เพราะถ้าหากพิจารณาข้อความของท่านพุทธทาสอย่างรอบคอบ
ก็ย่อมทราบได้โดยไม่ยากว่า ท่านพุทธทาส ก็เพียงแค่อธิบายให้ชาวพุทธ ที่ยังงมงายอยู่กับคัมภีร์ชั้นสาวก
ได้ทราบข้อเท็จจริงว่า เดียรถีย์ ในสมัยพุทธกาล เป็นเพียงคำกลางๆ หมายถึง ลัทธิ สำนักคิด ครูเจ้าสำนัก
หรือ ศาสดาหนึ่งๆ เท่านั้น เวลาที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงลัทธิอื่น ก็ตรัสเรียกว่า อัญญเดียรถีย์(ลัทธิอื่น)
ก็ในเมื่อมักอ้างตัวอ้างตนว่า จักปกป้องพระไตรปิฎก จักปกป้องคัมภีร์อรรถกถา อยู่เป็นวรรคเป็นเวร
แล้วเหตุใดมันจึงไม่รู้ว่า สิ่งที่ท่านพุทธทาสอธิบายมานั้น ล้วนมีหลักฐานอยู่ในพระคัมภีร์ทั้งสิ้น !
ลำพังเพียงแค่ ความโง่ ในพระคัมภีร์ ที่มันมักชอบ "อวดตัว" ว่าจักปกป้องจนสุดชีวิต ก็นับว่าอายพอแรงอยู่แล้ว
นี่ยังอุตส่าห์สำแดงความเลวในใจ ด้วยการ "สึก" อัฐิพระ โดยเรียกท่านว่า นายนั่นนายนี่ เอาเสียดื้อๆ
ทั้งๆ ที่มันไม่มีอำนาจ ที่จะกระทำการ อย่างนั้นได้เลย ในฐานะที่เป็นชาวพุทธ .......
แต่มันก็ทำ !
ญาติข้างไหนสั่งสอนมัน ให้ทำอย่างนี้ หรือครับ ?
**********************************************************************
หากถามว่า สิ่งที่ บุรุษเปล่าผู้นั้น กระทำลงไป ถือว่าเป็นความผิดพลาด หรือไม่ ?
ก็คงต้องตอบตามตรงว่า ในฐานะที่อ้างตัวว่าเป็นชาวพุทธ ก็ต้องถือว่า ผิดอย่างแรง
เพราะหลักฐานจากพระคัมภีร์ ย่อมชัดเจนเป็นอย่างยิ่งว่า แม้แต่ตัวของ ท่านพุทธโฆสะเอง
ก็เคยเรียกพระพุทธเจ้าว่า เดียรถีย์ ยังท่านพระพระเตลุกานิเถระ ผู้เป็นอรหันต์ นั้นอีกเล่า
หลักฐานในพระไตรปิฎก ก็ชัดแจ้งเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านก็เรียกพระพุทธเจ้าว่า เดียรถีย์ เช่นกัน
ก็ถ้า เรื่องแค่นี้ ยังไม่รู้ แล้วมันจะไปเอาสติปัญญาจากไหน มาปกป้องพระไตรปิฎก ได้อีกเล่า ?
หรืออาจกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า แท้ที่จริงแล้ว มันผู้นั้น กำลังปกป้องอะไรกันแน่ ?
พระไตรปิฎก หรือ ทิฐิของตัวมันเอง ?
**********************************************************************
ในเมื่อ กล่าวหาท่านพุทธทาสแบบผิดๆ
ปรามาส กล่าวร้าย จ้วงจาบ หยาบช้า ต่อท่านพุทธทาส ด้วยความรู้ ความเข้าใจ แบบผิดๆ
แล้วมันได้จัดการ กับความผิดร้ายนั้นอย่างไร ?
ปรากฏว่า แทนที่มันจะยอมรับผิด อย่างลูกผู้ชาย แล้วกล่าวขอขมา ท่านพุทธทาส ในความผิดที่มันก่อขึ้น
แต่มันกลับแสดงให้เห็นถึงความเลวในสันดานของมันเอง ที่ปราศจาก ความอายชั่วกลัวบาปใดๆ ทั้งสิ้น
ซึ่งแน่นอนว่า หากไม่มีชาวพุทธคนใดเอาธุระ ในการแจกแจงข้อเท็จจริง โดยอ้างอิงหลักฐานจากพระคัมภีร์
ไอ้หมอนี่ ก็คงจะฉวยโอกาส ในการกล่าวจาบจ้วงท่านพุทธทาส ต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีวันจบสิ้น
โดยอาจเป็นเหตุให้ ผู้ไม่รู้ข้อเท็จจริง เกิดหลงเชื่อ และ ร่วมทำบาปกับมันไปด้วย อีกเป็นอันมาก ก็เป็นได้
ช่างน่าขัน ทั้งๆ ที่มันกล่าวจาบจ้วงท่านพุทธทาส ด้วยความรู้ ความเข้าใจ แบบโง่ๆ
แต่กลับมาตั้งกระทู้เสแสร้ง แสดงความเสียใจ ..... ต่อใคร ก็ไม่รู้ ....... ?
เพราะผมไม่อาจทราบได้ว่า สาวกเงื่อม .......
ที่ไอ้ชั่ว กล่าวมานั้น หมายถึงใครกันแน่ ?
ที่แน่ๆ ก็คือ ไม่ใช่ผม !
และที่แน่ยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ ไม่ว่า สาวกเงื่อม จะหมายถึงใคร ก็ตาม
แต่เขาก็มิใช่ ผู้เสียหาย ซึ่ง ไอ้ชั่วนั่น ไปกล่าวจาบจ้วง เอาไว้สักหน่อย
เป็นไปได้ไหมว่า ไอ้หมอนี่ มีเจตนากล่าวขอโทษผิดคน ?
ที่จริงแล้ว เรื่องนี้ จัดการ ได้ง่ายเหลือเกิน กล่าวคือ
ในเมื่อไปกล่าวหาใครแบบผิดๆ มันก็ต้องไปกล่าวขอขมา กับบุคคลผู้นั้นโดยตรง
ดังเช่นในกรณีนี้ มันไปกล่าวร้าย จาบจ้วงท่านพุทธทาส ด้วยข้อหาอันเป็นเท็จ
มันก็ต้อง ไปตั้งกระทู้ "ขอขมา" ต่อท่านพุทธทาส จึงจะถือว่า ถูกฝาถูกตัว
หาใช่ มาแสดงความเสียใจกับ "ใคร" ก็ไม่รู้ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้อง หรือ เสียหายอะไรกับเรื่องนี้
หรือ หากจะวิเคราะห์ตามเนื้อผ้าว่า นั่นเป็นเพียงแค่การตั้งกระทู้แบบ ศรีธนนชัย
เพื่อหวัง "หลอกด่า" ท่านพุทธทาส ซ้ำเติมเข้าไปอีก ก็คงต้องถือว่าเป็นคราวซวยของมันผู้นั้นเอง
ที่ต้อง "เงิบ" คากระทู้ของตัวเอง ซ้ำอีกครั้ง เช่นกัน !
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ไม่ควรจะหลงลืม "ข้อเท็จจริง" บางประการ กล่าวคือ
เป็นตัวของมันเองมิใช่หรือ ที่ได้เคยกล่าววาจา "สามหาว" ไล่เบี้ยเอากับคู่สนทนาของมันเอง ความว่า ........
(๑) ถ้าเป็นลูกผู้ชายพอ กล้าทำ ก็กล้ารับ
(๒) กล่าวหาผิด ก็ขอขมา แค่นั้นก็จบ
เมื่อเป็นดังนี้ กรณี เดียรถีย์ จะจบลงได้ นั่นต้องหมายความว่า ..........
คนชั่ว ที่กล่าวจาบจ้วงท่านพุทธทาส ด้วยข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จ
จนถึงขนาดกล้า "จิกหัว" เรียกพระสงฆ์องค์เจ้าว่า นายนั่นนายนี่ ซึ่งผิดวิสัยชาวพุทธ
จักต้อง กล่าวขอขมา ต่อท่านพุทธทาส อย่างเป็นกิจลักษณะ ด้วยความจริงใจ แบบลูกผู้ชาย(ชาวพุทธ)
หาใช่ มาทำตีฝีปากอย่างโง่ๆ ฝลัดกระทู้เพื่อเอาตัวรอดไปวันๆ อย่างที่มันพยายามทำอยู่
เพราะผมสามารถกล่าวเอาไว้ตรงนี้ได้เลยว่า บังเอิญ ผมมิใช่เพื่อเล่นของมัน ดังนั้น จะมาทำชุ่ยๆแบบนี้กับผมมิได้
ในเมื่อตั้งต้นการเจรจาโต้ตอบกันแล้ว ก็จักต้องทำให้ถึงที่สุด จนข้อเท็จจริงปรากฏออกมาอย่างหมดข้อสงสัย
และเมื่อหมดข้อสงสัย หรือ ปราศจากข้อโต้แย้งใดๆ แล้ว ผู้ใดกล่าวผิด ก็ต้องยอมรับผิด เรื่องราวจึงจะจบลงได้
เพราะมิเช่นนั้นแล้ว หากปล่อยเรื่องราวเหล่านี้ ให้ล่วงเลยไป
วันดีคืนร้าย เดี๋ยวพวกมัน ก็ขุดเอาข้อกล่าวโง่ๆ แบบนี้
มาใส่ความว่าร้ายพระสงฆ์องค์เจ้า ซ้ำไปซ้ำมา อีกจนได้ !
หรือมิใช่ ?
ดังนั้น สิ่งที่ผม และ ท่านทั้งหลาย ในฐานะชาวพุทธ พึงกระทำ นับแต่บัดนี้ ก็คือ การ "อดทน" รอดูว่า
ไอ้เงิบนั่น จะดีแต่ ปากไสว ชี้โทษ ด่าทอชาวบ้าน แต่มองไม่เห็นความผิดชั่วของตน หรือไม่ ?
อีกทั้ง ยังเป็นบทพิสูจน์ที่ดีเป็นอย่างยิ่งว่า มันมีความเป็นลูกผู้ชาย มาก หรือ น้อย สักเพียงใดกัน ?
สวัสดี
กล่าวหา(ท่านพุทธทาส)ผิด ........ ก็ขอขมา(ท่านพุทธทาส) ......... แค่นั้นก็จบ !
มีบุรุษเปล่าผู้หนึ่ง เขามักอ้างตัวว่าเป็นชาวพุทธ และกำลังทำภารกิจสำคัญบางอย่าง เช่นว่า
(๑) ปกป้องพระพุทธศาสนา (ด้วยวิธีการด่าพระมหาเถระบางรูป ด้วยข้อกล่าวหาโง่ๆ เป็นอาจินต์)
(๒) ปกป้องพระรัตนตรัย (โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่า พระรัตนตรัยที่แท้ นั้นเป็นอย่างไร ?)
(๓) ปกป้องพระไตรปิฎก (แต่ทุกครั้งที่ถูกทวงถามหลักฐานยืนยันจากพระไตรปิฎก มันกลับไม่สามารถยืนยันอะไรได้)
(๔) ปกป้องอรรถกถา (แต่เมื่อใดก็ตาม ที่ข้อความจากอรรถกถา ขัดแย้งกับความเชื่อของมัน มันก็ไม่เอาอรรถกถาเหมือนกัน !)
คราวนี้ เขาก็มาด้วยรูปแบบเดิมๆ กล่าวคือ เนื่องจากมีหลักฐานข้อความของท่านพุทธทาส เรียกพระพุทธเจ้าว่า เดียรถีย์
ไอ้หมอนี่ ก็ด่วนสรุปในทันทีว่า ................. (๑) ท่านพุทธทาส กล่าวตู่ ปรามาส พระพุทธเจ้า
(๒) จากนั้นจึงถือเป็นเหตุในการเรียกท่านพุทธทาสว่า นายนั่นนายนี่ !
ประเด็น ก็คือ ถ้าไอ้หมอนี่ มันเป็นชาวพุทธจริงๆ ดังอ้าง ....... แต่เหตุใด ผมจึงไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า
บรรพบุรุษชาวพุทธในดินแดนแถบนี้ มีธรรมเนียมในการ "สึกพระ" ได้ตามใจชอบ ในเวลาที่รู้สึกไม่พอใจ !
ขออนุญาตกล่าวตามตรงว่า จะผิดจะถูกอย่างไร ก็ตาม บรรพบุรุษของผมไม่เคยอบรมสั่งสอนว่า เราจะสามารถ
จิกหัว เรียกพระว่านายนั่นนายนี่ ได้เลย เพราะอำนาจในการบวช หรือ "จับสึก" เป็นอำนาจของคณะสงฆ์
เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าประทานเอาไว้ให้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก
ถ้าหากท่านทั้งหลาย จักสังเกตให้ดี ก็จะพบว่า จนแม้แต่เมื่อพระศาสดายังดำรงพระชนม์ชีพอยู่
ก็ไม่เคยก้าวล่วง อำนาจนี้ของคณะสงฆ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว
โดยทรงถือพระองค์ว่า ทรงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของคณะสงฆ์เท่านั้น !
แต่ไอ้หมอนี่ กลับมีพฤติกรรมที่แปลก จนผิดปกติ เพราะถ้าหากพิจารณาข้อความของท่านพุทธทาสอย่างรอบคอบ
ก็ย่อมทราบได้โดยไม่ยากว่า ท่านพุทธทาส ก็เพียงแค่อธิบายให้ชาวพุทธ ที่ยังงมงายอยู่กับคัมภีร์ชั้นสาวก
ได้ทราบข้อเท็จจริงว่า เดียรถีย์ ในสมัยพุทธกาล เป็นเพียงคำกลางๆ หมายถึง ลัทธิ สำนักคิด ครูเจ้าสำนัก
หรือ ศาสดาหนึ่งๆ เท่านั้น เวลาที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงลัทธิอื่น ก็ตรัสเรียกว่า อัญญเดียรถีย์(ลัทธิอื่น)
ก็ในเมื่อมักอ้างตัวอ้างตนว่า จักปกป้องพระไตรปิฎก จักปกป้องคัมภีร์อรรถกถา อยู่เป็นวรรคเป็นเวร
แล้วเหตุใดมันจึงไม่รู้ว่า สิ่งที่ท่านพุทธทาสอธิบายมานั้น ล้วนมีหลักฐานอยู่ในพระคัมภีร์ทั้งสิ้น !
ลำพังเพียงแค่ ความโง่ ในพระคัมภีร์ ที่มันมักชอบ "อวดตัว" ว่าจักปกป้องจนสุดชีวิต ก็นับว่าอายพอแรงอยู่แล้ว
นี่ยังอุตส่าห์สำแดงความเลวในใจ ด้วยการ "สึก" อัฐิพระ โดยเรียกท่านว่า นายนั่นนายนี่ เอาเสียดื้อๆ
ทั้งๆ ที่มันไม่มีอำนาจ ที่จะกระทำการ อย่างนั้นได้เลย ในฐานะที่เป็นชาวพุทธ .......
แต่มันก็ทำ !
ญาติข้างไหนสั่งสอนมัน ให้ทำอย่างนี้ หรือครับ ?
**********************************************************************
หากถามว่า สิ่งที่ บุรุษเปล่าผู้นั้น กระทำลงไป ถือว่าเป็นความผิดพลาด หรือไม่ ?
ก็คงต้องตอบตามตรงว่า ในฐานะที่อ้างตัวว่าเป็นชาวพุทธ ก็ต้องถือว่า ผิดอย่างแรง
เพราะหลักฐานจากพระคัมภีร์ ย่อมชัดเจนเป็นอย่างยิ่งว่า แม้แต่ตัวของ ท่านพุทธโฆสะเอง
ก็เคยเรียกพระพุทธเจ้าว่า เดียรถีย์ ยังท่านพระพระเตลุกานิเถระ ผู้เป็นอรหันต์ นั้นอีกเล่า
หลักฐานในพระไตรปิฎก ก็ชัดแจ้งเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านก็เรียกพระพุทธเจ้าว่า เดียรถีย์ เช่นกัน
ก็ถ้า เรื่องแค่นี้ ยังไม่รู้ แล้วมันจะไปเอาสติปัญญาจากไหน มาปกป้องพระไตรปิฎก ได้อีกเล่า ?
หรืออาจกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า แท้ที่จริงแล้ว มันผู้นั้น กำลังปกป้องอะไรกันแน่ ?
พระไตรปิฎก หรือ ทิฐิของตัวมันเอง ?
**********************************************************************
ในเมื่อ กล่าวหาท่านพุทธทาสแบบผิดๆ
ปรามาส กล่าวร้าย จ้วงจาบ หยาบช้า ต่อท่านพุทธทาส ด้วยความรู้ ความเข้าใจ แบบผิดๆ
แล้วมันได้จัดการ กับความผิดร้ายนั้นอย่างไร ?
ปรากฏว่า แทนที่มันจะยอมรับผิด อย่างลูกผู้ชาย แล้วกล่าวขอขมา ท่านพุทธทาส ในความผิดที่มันก่อขึ้น
แต่มันกลับแสดงให้เห็นถึงความเลวในสันดานของมันเอง ที่ปราศจาก ความอายชั่วกลัวบาปใดๆ ทั้งสิ้น
ซึ่งแน่นอนว่า หากไม่มีชาวพุทธคนใดเอาธุระ ในการแจกแจงข้อเท็จจริง โดยอ้างอิงหลักฐานจากพระคัมภีร์
ไอ้หมอนี่ ก็คงจะฉวยโอกาส ในการกล่าวจาบจ้วงท่านพุทธทาส ต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีวันจบสิ้น
โดยอาจเป็นเหตุให้ ผู้ไม่รู้ข้อเท็จจริง เกิดหลงเชื่อ และ ร่วมทำบาปกับมันไปด้วย อีกเป็นอันมาก ก็เป็นได้
ช่างน่าขัน ทั้งๆ ที่มันกล่าวจาบจ้วงท่านพุทธทาส ด้วยความรู้ ความเข้าใจ แบบโง่ๆ
แต่กลับมาตั้งกระทู้เสแสร้ง แสดงความเสียใจ ..... ต่อใคร ก็ไม่รู้ ....... ?
เพราะผมไม่อาจทราบได้ว่า สาวกเงื่อม .......
ที่ไอ้ชั่ว กล่าวมานั้น หมายถึงใครกันแน่ ?
ที่แน่ๆ ก็คือ ไม่ใช่ผม !
และที่แน่ยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ ไม่ว่า สาวกเงื่อม จะหมายถึงใคร ก็ตาม
แต่เขาก็มิใช่ ผู้เสียหาย ซึ่ง ไอ้ชั่วนั่น ไปกล่าวจาบจ้วง เอาไว้สักหน่อย
เป็นไปได้ไหมว่า ไอ้หมอนี่ มีเจตนากล่าวขอโทษผิดคน ?
ที่จริงแล้ว เรื่องนี้ จัดการ ได้ง่ายเหลือเกิน กล่าวคือ
ในเมื่อไปกล่าวหาใครแบบผิดๆ มันก็ต้องไปกล่าวขอขมา กับบุคคลผู้นั้นโดยตรง
ดังเช่นในกรณีนี้ มันไปกล่าวร้าย จาบจ้วงท่านพุทธทาส ด้วยข้อหาอันเป็นเท็จ
มันก็ต้อง ไปตั้งกระทู้ "ขอขมา" ต่อท่านพุทธทาส จึงจะถือว่า ถูกฝาถูกตัว
หาใช่ มาแสดงความเสียใจกับ "ใคร" ก็ไม่รู้ ซึ่งมิได้เกี่ยวข้อง หรือ เสียหายอะไรกับเรื่องนี้
หรือ หากจะวิเคราะห์ตามเนื้อผ้าว่า นั่นเป็นเพียงแค่การตั้งกระทู้แบบ ศรีธนนชัย
เพื่อหวัง "หลอกด่า" ท่านพุทธทาส ซ้ำเติมเข้าไปอีก ก็คงต้องถือว่าเป็นคราวซวยของมันผู้นั้นเอง
ที่ต้อง "เงิบ" คากระทู้ของตัวเอง ซ้ำอีกครั้ง เช่นกัน !
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ไม่ควรจะหลงลืม "ข้อเท็จจริง" บางประการ กล่าวคือ
เป็นตัวของมันเองมิใช่หรือ ที่ได้เคยกล่าววาจา "สามหาว" ไล่เบี้ยเอากับคู่สนทนาของมันเอง ความว่า ........
(๑) ถ้าเป็นลูกผู้ชายพอ กล้าทำ ก็กล้ารับ
(๒) กล่าวหาผิด ก็ขอขมา แค่นั้นก็จบ
เมื่อเป็นดังนี้ กรณี เดียรถีย์ จะจบลงได้ นั่นต้องหมายความว่า ..........
คนชั่ว ที่กล่าวจาบจ้วงท่านพุทธทาส ด้วยข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จ
จนถึงขนาดกล้า "จิกหัว" เรียกพระสงฆ์องค์เจ้าว่า นายนั่นนายนี่ ซึ่งผิดวิสัยชาวพุทธ
จักต้อง กล่าวขอขมา ต่อท่านพุทธทาส อย่างเป็นกิจลักษณะ ด้วยความจริงใจ แบบลูกผู้ชาย(ชาวพุทธ)
หาใช่ มาทำตีฝีปากอย่างโง่ๆ ฝลัดกระทู้เพื่อเอาตัวรอดไปวันๆ อย่างที่มันพยายามทำอยู่
เพราะผมสามารถกล่าวเอาไว้ตรงนี้ได้เลยว่า บังเอิญ ผมมิใช่เพื่อเล่นของมัน ดังนั้น จะมาทำชุ่ยๆแบบนี้กับผมมิได้
ในเมื่อตั้งต้นการเจรจาโต้ตอบกันแล้ว ก็จักต้องทำให้ถึงที่สุด จนข้อเท็จจริงปรากฏออกมาอย่างหมดข้อสงสัย
และเมื่อหมดข้อสงสัย หรือ ปราศจากข้อโต้แย้งใดๆ แล้ว ผู้ใดกล่าวผิด ก็ต้องยอมรับผิด เรื่องราวจึงจะจบลงได้
เพราะมิเช่นนั้นแล้ว หากปล่อยเรื่องราวเหล่านี้ ให้ล่วงเลยไป
วันดีคืนร้าย เดี๋ยวพวกมัน ก็ขุดเอาข้อกล่าวโง่ๆ แบบนี้
มาใส่ความว่าร้ายพระสงฆ์องค์เจ้า ซ้ำไปซ้ำมา อีกจนได้ !
หรือมิใช่ ?
ดังนั้น สิ่งที่ผม และ ท่านทั้งหลาย ในฐานะชาวพุทธ พึงกระทำ นับแต่บัดนี้ ก็คือ การ "อดทน" รอดูว่า
ไอ้เงิบนั่น จะดีแต่ ปากไสว ชี้โทษ ด่าทอชาวบ้าน แต่มองไม่เห็นความผิดชั่วของตน หรือไม่ ?
อีกทั้ง ยังเป็นบทพิสูจน์ที่ดีเป็นอย่างยิ่งว่า มันมีความเป็นลูกผู้ชาย มาก หรือ น้อย สักเพียงใดกัน ?
สวัสดี