ตัวผมเองมีความสนใจ และได้มีโอกาสทำธุรกิจโรงเรียนสอนภาษาขนาดเล็กแห่งหนึ่งกว่าห้าปี พูดได้ไม่เต็มปากว่าประสบความสำเร็จ มีช่วงที่พีคสุดๆและแย่สุดๆ ในบทความนี้ผมจึงอยากมาแชร์ประสบการณ์ เผื่อเป็นแนวทางให้คนที่อยากจะทำได้ลองทำดูและสร้างคุณค่าใหม่ๆให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะโอกาสในการทำธุรกิจกับ AEC ที่กำลังจะมาถึง
ธุรกิจโรงเรียนสอนภาษาในบ้านเรามีหลากหลายรูปแบบครับ ตั้งแต่แบบที่เป็นการจัดคลาสเรียนทั่วไปที่จ้างอาจารย์มาสอนแล้วเก็บค่าเรียนเป็นรายคอร์ส แบบจัดหาอาจารย์ไปส่งตามโรงเรียน จนถึงคลาสเรียนออนไลน์ซึ่งตลาดน่าจะโตมากขึ้นเนื่องมาจากจากการขยายตัวของ smart device ต่างๆ ภาษาที่นิยมที่สุดคือภาษาอังกฤษ ตามด้วยภาษาจีนและเกาหลีครับ ดังนั้นในบทความนี้ผมจะพูดถึงตลาดภาษาอังกฤษเป็นหลักนะครับ
ตลาดเป็นยังไง ลูกค้าคือใคร สิ่งที่ลูกค้าแต่ละแบบต้องการ
ถึงแม้โจทย์ของลูกค้าจะคล้ายๆกันซึ่งก็คือ "อยากเก่งภาษาอังกฤษ" แต่เราสามารถแบ่งตลาดของธุรกิจนี้ได้หลายมิติ คนที่จะเริ่มทำธุรกิจตรงนี้จะต้องตีโจทย์ให้แตกก่อนว่าตลาดที่ต้องการจะเล่นเป็นแบบไหน ตามที่ผมพอจะนึกได้มีดังนี้ครับ
1. แบ่งตามวัยของผู้เรียน เช่น ภาษาอังกฤษสำหรับเด็กอนุบาล ภาษาอังกฤษเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย และภาษาอังกฤษสำหรับวัยทำงาน เป็นต้น โรงเรียนที่เน้นตลาดกลุ่มนี้ส่วนมากจะเน้นหลักสูตรทั่วๆไป เช่น หลักสูตรสนทนา การเขียนการอ่าน เป็นต้น บุคลากรผู้สอนนิยมใช้ชาวต่างชาติตะวันตก (ซึ่งผมจะอธิบายต่อไปว่าทำไม) ค่าเรียนมาตรฐาน 30 ชั่วโมงอยู่ที่ 4,000 - 25,000 บาท
2. แบ่งตามวัตถุประสงค์ที่จะเอาไปใช้งาน เช่น ภาษาอังกฤษสำหรับสมัครแอร์ / สจ๊วต ภาษาอังกฤษทางธุรกิจ และภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในการสอบประเภทต่างๆ (TOEIC, TOEFL, IELTS) - โรงเรียนที่จะตอบสนองความต้องการตรงนี้ได้จะต้องมีหลักสูตรเฉพาะทางและวาง position ตัวเองให้ชัดเจนว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีบุคลากรที่ให้คำแนะนำในเรื่องนั้นๆได้ ค่าเรียนมาตรฐาน 30 ชั่วโมงอยู่ที่ 8,000 - 30,000 บาท
3. แบ่งตามราคาค่าเรียน เช่น ราคาถูก ราคากลางๆ และราคาแพง อันนี้ผมอยากเปรียบเทียบกับธุรกิจสายการบินนะครับ บางคนก็อยากซื้อตั๋ว low cost ที่ไม่ต้องมีอาหาร / บริการอะไรเลย (แค่ไปส่งให้ถึงก็พอแล้ว) ในขณะที่บางคนก็ต้องการบริการแบบจัดเต็มในราคาที่สูงกว่า ยกตัวอย่างในบ้านเรานะครับ เช่น Wall Street / Boston Bright ก็จะมี facility ในการเรียนแบบจัดเต็มในราคาที่จัดเต็มเช่นเดียวกัน ในขณะที่บางแบรนด์ที่ผมเคยเจอค่าเรียนถูกมาก (จนน่าตกใจ) คือ 30 ชั่วโมงแค่ 500 บาทเท่านั้น แต่เน้นคนเรียนเยอะๆ คลาสนึง 50 คนขึ้นไป
แล้วตลาดไหนน่าทำที่สุด?
ตลาดที่ใหญ่ที่สุดแน่นอนว่าเป็นตลาดสำหรับการใช้ภาษาทั่วๆไป คือโรงเรียนจำพวกที่มีหลักสูตรพัฒนาความสามารถทางภาษาแบบทั่วไป เรียนได้ทุกเพศทุกวัยตั้งแต่เด็กประถมยันผู้บริหารหัวหงอก เช่น คอร์สสนทนา คอร์สไวยกรณ์ คอร์สฝึกเขียน เนื่องจากหลักสูตรเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนทั่วไปต้องการ แต่ปัญหาก็คือคู่แข่งจะเยอะตามไปด้วย โรงเรียนสอนภาษาส่วนมากมีหลักสูตรแบบนี้ทั้งนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ธุรกิจของเราแตกต่าง ดังนั้นผลประกอบการก็จะกลางๆไม่ถึงกับหวือหวาและหาคนที่เป็นเจ้าตลาดได้ยากและในปัจจุบันตลาดนี้ก็เริ่มจะอิ่มตัวแล้วครับ
ในความคิดของผมตลาดเฉพาะทางมีความน่าสนใจมากกว่า เนื่องจากตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าได้ดีกว่าและมีคู่แข่งน้อยรายกว่า แต่แน่นอนว่าถ้าจะเล่นตลาดนี้ต้องทำการบ้านเยอะนิดนึง ตั้งแต่การออกแบบหลักสูตรที่โดนจริงๆ การหาบุคลากรผู้สอนที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน หรือแม้กระทั่งการเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง ทั้งหมดทั้งมวลต้องอาศัยเวลาศึกษาเป็นอย่างดีครับ
แต่ที่บอกมาทั้งหมดนั้นไม่ได้เป็นข้อจำกัดที่ตายตัวนะครับ บางครั้งหลักสูตรธรรมดาๆแต่ถ้าเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ธรรมดาก็อาจทำให้เป็นธุรกิจที่ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำได้เช่นกัน ทุกอย่างอยู่ที่ความสามารถในการมองหาโอกาสของเราครับ เช่น
เคยได้ยินไหมครับว่าการมีลูกซักคนสมัยนี้ต้องใช้ค่าใช้จ่ายมากถึงเจ็ดหลัก แล้วเงินพวกนี้มันจะไปลงที่ไหนบ้างครับ?
ส่วนหนึ่งก็มาลงกับการเรียนนี่แหละครับ! ไม่ว่าจะเป็นการเรียนดนตรี กีฬาและส่วนหนึ่งก็คือการเรียนภาษาอังกฤษนี่แหละครับสมัยก่อนผมได้ยินว่าพ่อแม่มักจะส่งลูกไปเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่อนุบาล จนหลังๆได้ยินว่าเรียนตั้งแต่ก่อนเข้าอนุบาล และล่าสุดคือเรียนกันตั้งแต่ยังพูดไม่ได้เลยทีเดียว!
นี่เป็นเหตุผลหลักว่าตลาดภาษาอังกฤษสำหรับเด็กเล็กก็กำลังเติบโตขึ้นมากเนื่องมาจากคุณพ่อคุณแม่ที่ทุ่มเทให้กับลูกมากนี่แหละครับ ดังนั้นถ้าจะเจาะกลุ่มนี้ก็เน้นการออกแบบส่วนผสมทางการตลาด (4Ps) ให้เหมาะสมกับพ่อแม่นะครับ เช่น มีการอัดวีดิโอพัฒนาการของลูกน้อยให้พ่อแม่เอาไปปลื้มด้วย
เรื่องน่ารู้อื่นๆในการทำธุรกิจสอนภาษาอังกฤษ
1. โรงเรียนกวดวิชา (ที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษา) ไม่ต้องเสียภาษีครับ ดังนั้นหากจะจัดตั้งโรงเรียนสอนภาษาให้รีบไปขออนุญาตจากกระทรวงฯครับ ขั้นตอนไม่ได้ยุ่งยากอะไรแต่จะต้องมี 1.ชื่ออาจารย์ใหญ่ที่มีวุฒิการศึกษาด้านการศึกษา / บริหารการศึกษา 2.มีเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 100 ตรม. 3.มีหลักสูตรที่จะไปนำเสนอ
2. คนไทยนิยมเรียนภาษากับครูชาวตะวันตกมากกว่าชาวเอเชียและชาวไทยตามลำดับ (จากประสบการณ์ของผม ครูไทยสอนไวยกรณ์และการเขียนได้ดีกว่า แต่ครูต่างชาติสอนสนทนาได้ดีกว่า)
3. ลูกค้าในตลาดกวดวิชาเพื่อศึกษาต่อมหาวิทยาลัยจะเน้นที่ความดังของครูผู้สอน (เช่น อาจารย์xxx) ในขณะที่ตลาดทั่วๆไปจะเน้นชาวต่างชาติมากกว่า
4. การเรียนภาษาแบบเข้าคลาสเดิมๆกำลังได้รับความนิยมน้อยลง ในขณะที่แนวคิด Edutainment (การเรียนแบบสนุก เช่น เรียนภาษาจากภาพยนตร์ ดนตรี ไปเที่ยว) กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น
แถมท้ายเรื่องการคิดนอกกรอบ
อันนี้จะเป็นความคิดบ้าๆของผมเอง ที่เคยคิดไว้แต่ไม่มีโอกาสได้ทำ เผื่อใครอยากเอาไปลองต่อยอดดูนะครับ
-ทำโรงเรียนที่มีหลักสูตรเจาะกลุ่มเป้าหมายที่แหวกแนว เช่น ภาษาอังกฤษสำหรับ Taxi หมอนวดแผนไทย หรือภาษาอังกฤษสำหรับเขียนจดหมายถึงแฟนต่างชาติ เป็นต้น
-ทำโรงเรียนที่มีการบริการเป็นเลิศ เช่น มีป๊อปคอร์นและ Softdrink ให้กินระหว่างเรียนหรืออาจมีบริการนวดแผนไทยขณะเรียนไปด้วย (!!??)
-โรงเรียนสอนภาษาแบบ Edutainment เต็มรูปแบบ ไม่มีการเรียนในคลาสเลย เน้นไปที่การไปเที่ยวทำกิจกรรมข้างนอกกับอาจารย์ต่างชาติ ฝึกภาษาจากการดูหนัง ฟังเพลงและเล่นเกมภาษาอังกฤษ
-คลาสเรียนออนไลน์เต็มรูปแบบ เรียนได้จาก Smart phone ที่ไหนก็ได้
บทความนี้เป็นบทความแรกของผม ใครมีอะไรติชมหรือแลกเปลี่ยนไอเดียกันก็ยินดีนะครับ ^^
แชร์ประสบการณ์การทำธุรกิจสอนภาษาอังกฤษ
ธุรกิจโรงเรียนสอนภาษาในบ้านเรามีหลากหลายรูปแบบครับ ตั้งแต่แบบที่เป็นการจัดคลาสเรียนทั่วไปที่จ้างอาจารย์มาสอนแล้วเก็บค่าเรียนเป็นรายคอร์ส แบบจัดหาอาจารย์ไปส่งตามโรงเรียน จนถึงคลาสเรียนออนไลน์ซึ่งตลาดน่าจะโตมากขึ้นเนื่องมาจากจากการขยายตัวของ smart device ต่างๆ ภาษาที่นิยมที่สุดคือภาษาอังกฤษ ตามด้วยภาษาจีนและเกาหลีครับ ดังนั้นในบทความนี้ผมจะพูดถึงตลาดภาษาอังกฤษเป็นหลักนะครับ
ตลาดเป็นยังไง ลูกค้าคือใคร สิ่งที่ลูกค้าแต่ละแบบต้องการ
ถึงแม้โจทย์ของลูกค้าจะคล้ายๆกันซึ่งก็คือ "อยากเก่งภาษาอังกฤษ" แต่เราสามารถแบ่งตลาดของธุรกิจนี้ได้หลายมิติ คนที่จะเริ่มทำธุรกิจตรงนี้จะต้องตีโจทย์ให้แตกก่อนว่าตลาดที่ต้องการจะเล่นเป็นแบบไหน ตามที่ผมพอจะนึกได้มีดังนี้ครับ
1. แบ่งตามวัยของผู้เรียน เช่น ภาษาอังกฤษสำหรับเด็กอนุบาล ภาษาอังกฤษเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย และภาษาอังกฤษสำหรับวัยทำงาน เป็นต้น โรงเรียนที่เน้นตลาดกลุ่มนี้ส่วนมากจะเน้นหลักสูตรทั่วๆไป เช่น หลักสูตรสนทนา การเขียนการอ่าน เป็นต้น บุคลากรผู้สอนนิยมใช้ชาวต่างชาติตะวันตก (ซึ่งผมจะอธิบายต่อไปว่าทำไม) ค่าเรียนมาตรฐาน 30 ชั่วโมงอยู่ที่ 4,000 - 25,000 บาท
2. แบ่งตามวัตถุประสงค์ที่จะเอาไปใช้งาน เช่น ภาษาอังกฤษสำหรับสมัครแอร์ / สจ๊วต ภาษาอังกฤษทางธุรกิจ และภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในการสอบประเภทต่างๆ (TOEIC, TOEFL, IELTS) - โรงเรียนที่จะตอบสนองความต้องการตรงนี้ได้จะต้องมีหลักสูตรเฉพาะทางและวาง position ตัวเองให้ชัดเจนว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีบุคลากรที่ให้คำแนะนำในเรื่องนั้นๆได้ ค่าเรียนมาตรฐาน 30 ชั่วโมงอยู่ที่ 8,000 - 30,000 บาท
3. แบ่งตามราคาค่าเรียน เช่น ราคาถูก ราคากลางๆ และราคาแพง อันนี้ผมอยากเปรียบเทียบกับธุรกิจสายการบินนะครับ บางคนก็อยากซื้อตั๋ว low cost ที่ไม่ต้องมีอาหาร / บริการอะไรเลย (แค่ไปส่งให้ถึงก็พอแล้ว) ในขณะที่บางคนก็ต้องการบริการแบบจัดเต็มในราคาที่สูงกว่า ยกตัวอย่างในบ้านเรานะครับ เช่น Wall Street / Boston Bright ก็จะมี facility ในการเรียนแบบจัดเต็มในราคาที่จัดเต็มเช่นเดียวกัน ในขณะที่บางแบรนด์ที่ผมเคยเจอค่าเรียนถูกมาก (จนน่าตกใจ) คือ 30 ชั่วโมงแค่ 500 บาทเท่านั้น แต่เน้นคนเรียนเยอะๆ คลาสนึง 50 คนขึ้นไป
แล้วตลาดไหนน่าทำที่สุด?
ตลาดที่ใหญ่ที่สุดแน่นอนว่าเป็นตลาดสำหรับการใช้ภาษาทั่วๆไป คือโรงเรียนจำพวกที่มีหลักสูตรพัฒนาความสามารถทางภาษาแบบทั่วไป เรียนได้ทุกเพศทุกวัยตั้งแต่เด็กประถมยันผู้บริหารหัวหงอก เช่น คอร์สสนทนา คอร์สไวยกรณ์ คอร์สฝึกเขียน เนื่องจากหลักสูตรเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนทั่วไปต้องการ แต่ปัญหาก็คือคู่แข่งจะเยอะตามไปด้วย โรงเรียนสอนภาษาส่วนมากมีหลักสูตรแบบนี้ทั้งนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ธุรกิจของเราแตกต่าง ดังนั้นผลประกอบการก็จะกลางๆไม่ถึงกับหวือหวาและหาคนที่เป็นเจ้าตลาดได้ยากและในปัจจุบันตลาดนี้ก็เริ่มจะอิ่มตัวแล้วครับ
ในความคิดของผมตลาดเฉพาะทางมีความน่าสนใจมากกว่า เนื่องจากตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าได้ดีกว่าและมีคู่แข่งน้อยรายกว่า แต่แน่นอนว่าถ้าจะเล่นตลาดนี้ต้องทำการบ้านเยอะนิดนึง ตั้งแต่การออกแบบหลักสูตรที่โดนจริงๆ การหาบุคลากรผู้สอนที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน หรือแม้กระทั่งการเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง ทั้งหมดทั้งมวลต้องอาศัยเวลาศึกษาเป็นอย่างดีครับ
แต่ที่บอกมาทั้งหมดนั้นไม่ได้เป็นข้อจำกัดที่ตายตัวนะครับ บางครั้งหลักสูตรธรรมดาๆแต่ถ้าเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ธรรมดาก็อาจทำให้เป็นธุรกิจที่ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำได้เช่นกัน ทุกอย่างอยู่ที่ความสามารถในการมองหาโอกาสของเราครับ เช่น
เคยได้ยินไหมครับว่าการมีลูกซักคนสมัยนี้ต้องใช้ค่าใช้จ่ายมากถึงเจ็ดหลัก แล้วเงินพวกนี้มันจะไปลงที่ไหนบ้างครับ?
ส่วนหนึ่งก็มาลงกับการเรียนนี่แหละครับ! ไม่ว่าจะเป็นการเรียนดนตรี กีฬาและส่วนหนึ่งก็คือการเรียนภาษาอังกฤษนี่แหละครับสมัยก่อนผมได้ยินว่าพ่อแม่มักจะส่งลูกไปเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่อนุบาล จนหลังๆได้ยินว่าเรียนตั้งแต่ก่อนเข้าอนุบาล และล่าสุดคือเรียนกันตั้งแต่ยังพูดไม่ได้เลยทีเดียว!
นี่เป็นเหตุผลหลักว่าตลาดภาษาอังกฤษสำหรับเด็กเล็กก็กำลังเติบโตขึ้นมากเนื่องมาจากคุณพ่อคุณแม่ที่ทุ่มเทให้กับลูกมากนี่แหละครับ ดังนั้นถ้าจะเจาะกลุ่มนี้ก็เน้นการออกแบบส่วนผสมทางการตลาด (4Ps) ให้เหมาะสมกับพ่อแม่นะครับ เช่น มีการอัดวีดิโอพัฒนาการของลูกน้อยให้พ่อแม่เอาไปปลื้มด้วย
เรื่องน่ารู้อื่นๆในการทำธุรกิจสอนภาษาอังกฤษ
1. โรงเรียนกวดวิชา (ที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษา) ไม่ต้องเสียภาษีครับ ดังนั้นหากจะจัดตั้งโรงเรียนสอนภาษาให้รีบไปขออนุญาตจากกระทรวงฯครับ ขั้นตอนไม่ได้ยุ่งยากอะไรแต่จะต้องมี 1.ชื่ออาจารย์ใหญ่ที่มีวุฒิการศึกษาด้านการศึกษา / บริหารการศึกษา 2.มีเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 100 ตรม. 3.มีหลักสูตรที่จะไปนำเสนอ
2. คนไทยนิยมเรียนภาษากับครูชาวตะวันตกมากกว่าชาวเอเชียและชาวไทยตามลำดับ (จากประสบการณ์ของผม ครูไทยสอนไวยกรณ์และการเขียนได้ดีกว่า แต่ครูต่างชาติสอนสนทนาได้ดีกว่า)
3. ลูกค้าในตลาดกวดวิชาเพื่อศึกษาต่อมหาวิทยาลัยจะเน้นที่ความดังของครูผู้สอน (เช่น อาจารย์xxx) ในขณะที่ตลาดทั่วๆไปจะเน้นชาวต่างชาติมากกว่า
4. การเรียนภาษาแบบเข้าคลาสเดิมๆกำลังได้รับความนิยมน้อยลง ในขณะที่แนวคิด Edutainment (การเรียนแบบสนุก เช่น เรียนภาษาจากภาพยนตร์ ดนตรี ไปเที่ยว) กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น
แถมท้ายเรื่องการคิดนอกกรอบ
อันนี้จะเป็นความคิดบ้าๆของผมเอง ที่เคยคิดไว้แต่ไม่มีโอกาสได้ทำ เผื่อใครอยากเอาไปลองต่อยอดดูนะครับ
-ทำโรงเรียนที่มีหลักสูตรเจาะกลุ่มเป้าหมายที่แหวกแนว เช่น ภาษาอังกฤษสำหรับ Taxi หมอนวดแผนไทย หรือภาษาอังกฤษสำหรับเขียนจดหมายถึงแฟนต่างชาติ เป็นต้น
-ทำโรงเรียนที่มีการบริการเป็นเลิศ เช่น มีป๊อปคอร์นและ Softdrink ให้กินระหว่างเรียนหรืออาจมีบริการนวดแผนไทยขณะเรียนไปด้วย (!!??)
-โรงเรียนสอนภาษาแบบ Edutainment เต็มรูปแบบ ไม่มีการเรียนในคลาสเลย เน้นไปที่การไปเที่ยวทำกิจกรรมข้างนอกกับอาจารย์ต่างชาติ ฝึกภาษาจากการดูหนัง ฟังเพลงและเล่นเกมภาษาอังกฤษ
-คลาสเรียนออนไลน์เต็มรูปแบบ เรียนได้จาก Smart phone ที่ไหนก็ได้
บทความนี้เป็นบทความแรกของผม ใครมีอะไรติชมหรือแลกเปลี่ยนไอเดียกันก็ยินดีนะครับ ^^