[ Review XIV ]
The Fault in Our Stars : ดาวบันดาล
จากนิยายขายดีอันดับหนึ่งใน "The New York Time" ของ "จอห์น กรีน" สู่จอภาพยนตร์ในชื่อเรื่องเดียวกันกับ "The Fault in Our Stars" ซึ่งทั้งพระเอกและนางเอกของเรื่องนี้เคยเจ๊อะกันมาแล้วใน "Divergent " ก่อนอื่นอยากจะบอกว่า นอกจากหนังที่โคตรจะซึ้งและดราม่าอย่าง ''Her'' ของปีนี้แล้ว ก็มีเรื่องนี้แหละที่ทำให้ซึ้งจนน้ำตาแทบทะลัก T-T
หนังเป็นเรื่องราวของสองผู้ป่วยโรคมะเร็ง "เฮเซล เกรซ แลนแคสเตอร์" (ไชลีน วูดเลย์) และ "กัส วอเตอร์ส" (แอนเซล เอลกอร์ต)ได้เดินทางมาเจอกัน และเมื่อพวกเขาสองคนได้คุยกันก็ได้รู้ว่าทั้งสองชอบอ่านหนังสือเหมือนกัน ซ้ำกัสเองก็ยังชอบหนังสือ "An Imperial Affliction" ที่เฮเซลได้ให้เขามาอ่าน แต่เมื่อตอนจบของหนังสือเรื่องนี้ มันจบแบบค้างคาทำให้ตัวเฮเซลอยากเจอตัวผู้เขียนมาก กัสแกก็เลยจัดเซอร์ไพรส์ด้วยการติดต่อกับผู้ช่วยของผู้เขียนโดยการส่งเมลไป และเมื่อเขาตอบกลับมาว่าสามารถไปเจอเขาได้ที่อัมสเตอร์ดัม แต่เมื่อไปเจอคนที่เขียนเขากลับไม่ใช่คนอย่างที่คิด แต่สิ่งที่เฮเซลได้จากการเดินทางในครั้งนี้มันไม่ใช่ตอนจบของหนังสือ แต่มันเป็นการได้พบรักแท้ที่โคตรจะหวาน และซึ้งจนทำให้คนดูน้ำตาท่วมจอ
หนังนำเสนอเรื่องจริงของผู้ป่วยโรคมะเร็งที่วันๆได้แต่อยู่บ้านดูทีวีหรือทำอะไรน่าเบื่อๆ ไปวันๆ รอไปหาหมอ และก็หาหมอ ซึ่งมันก็น่าเบื่อสำหรับผู้ป่วยหลายๆคน แต่มันจะไม่น่าเบื่ออีกต่อไปสำหรับเฮเซลเมื่อกัสได้เข้ามาเปลี่ยนชีวิตของเธอให้มีสีสันและชีวิตชีวา
ถึงแม้ว่าหนังเรื่องนี้จะเล่าเรื่องผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง แต่หนังกลับทำออกมาได้ดีไม่หดหู่ ซึ่งมันตรงกันข้ามมันกลับกลายเป็นหนังฟีลกู๊ดที่สร้างกำลังให้แกคนดูได้ดีเลยทีเดียว และถึงแม้จะเป็นเวลาสองชั่วโมงสำหรับหนังแนวดราม่า แต่ตัวหนังก็ทำออกมาได้น่าติดตาม จนคนดูไม่อาจละสายตาไปจากเฮเซลและกัสในหนังได้เลย !!
ซ้ำหนังยังทำให้คนดูเข้าใจผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งมากขึ้น ทั้งช่วงที่ดีที่สุดของเขา และย่ำแย่ที่สุด เพราะเมื่อคนที่เป็นโรคนี้ ในยามที่มีความสุขหรือความทุกข์จะมีมากกว่าคนทั่วไปถึงสองเท่า เพราะเมื่อมีความสุขเราก็จะเก็บเกี่ยวมันให้มากที่สุด เพราะเราเองก็ไม่รู้ว่าความทุกข์หรือโรคภัยนั้น มันจะมาทำร้ายเราเมื่อไหร่ (เพราะมันไม่เคยโทรจองคิวล่วงหน้า อิอิ)
หนังมีดราม่าครบเครื่องทั้งในเรื่องของ คนรัก ครอบครัว และเพื่อน แต่อีกสิ่งที่แฝงอยู่ในดราม่าพวกนี้คือความรัก ที่หนังเรื่องนี้ให้ความสำคัญกับมันอย่างลงตัว ไม่ใช่เพราะว่ามันเท่ากัน แต่มันอยู่ในที่ๆมันควรจะอยู่ อันไหนควรใส่มากก็มาก อันไหนใส่น้อยก็น้อย แต่ถึงในบางส่วนจะน้อย แต่ก็ทำออกมาได้ซึ้งจับใจ ยกตัวอย่างเช่นตัวละครของเพื่อน ซึ่งก็รู้ๆกันว่าหนังมันไม่ใช่พวกแนวมิตรภาพ (แบบพวก เฮ้ย !! เพื่อนกูรักวะ) แต่พอถึงเวลาดราม่าแล้ว หนังก็ดึงอารมณ์ของคนดูออกมาได้แบบน้ำตาคลออะ
นอกจากนี้หนังยังแฝงนัยยะต่างๆ ให้คนดูคิดตามมันอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นบุหรี่ที่พระเอกสูบ หรือบางสิ่งที่มันไร้ค่าในตอนแรก แต่มันกลับมีค่ามากมายสำหรับเราขึ้นมาในตอนหลัง ซึ่งมันทำให้หนังดูมีเสน่ห์และชวนน่าหลงไหลมากเลยทีเดียว
ส่วนสองนักแสดงนำทั้ง "ไชลีน วูดเลย์" และ "แอนเซล เอลกอร์ต" ก็ทำมันออกมาได้ดีมากเลยที่เดียว เพราะไม่ใช่แค่อารมณ์ที่ส่งถึงกันเพราะเคยเจอกันมาก่อนใน "Divergent " แต่ทั้งคู่ยังทำให้คนดูเชื่อว่านี่ !! นี่ !! นี่แหละ!! คือผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง และเขาทั้งสองคนรักกัน นอกจากนี้พอถึงซีนเศร้าของหนังแล้ว ทั้งคู่ก็สะกดคนดูได้อยู่หมัด #แบบถ้าใครบ่อน้ำตาตื้นนี่มีร้องไห้อะ
แถมหนังยังเลือกเพลงประกอบกับหนังออกมาได้ดีอีกด้วย นอกจากหนังจบแล้ว พอขึ้นเอ็นเครดิตสำหรับใครที่ยังอินอยู่ ก็หลับตานึกภาพฟังเพลงไปฟินๆ ก็ได้ เพราะนอกจากเพลงจะเข้ากับหนังได้ดีแล้ว ยังเพราะโคตรๆอะ ><
http://www.youtube.com/watch?v=nkqVm5aiC28 <<< เพลงประกอบหนังฮะ
สรุปเอาเป็นว่านี่เป็นหนังโรแมนติก-ดราม่า อีกเรื่องที่ซึ้งโคตรๆของปีนี้เลยก็ว่าได้ ยิ่งพาแฟนไปดูนี่ยิ่งโคตรซึ้งอะ เพราะนอกจากมันจะทำให้เราเข้าใจความรักแล้ว หนังยังทำให้เราหันกลับไปมองคนรอบข้าง และมองการใช้ชีวิตใหม่อีกด้วย
#ดูแล้วมาเล่าสู่กันฟัง
คะแนน : 10/10 คับ >< #WoC
เพจผมเองครับฝากติดตามผลงาน เข้ามาพูดคุย และแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันได้ ><
World Of Cinema : เพราะหนัง ทำให้เราอยากอยู่ในโลกของหนัง!!!!
https://www.facebook.com/pages/World-Of-Cinema/563958193622477?fref=photo
[CR] รีวิว !!!! The Fault in Our Stars : เมื่อมะเร็งไม่สามารถขวางกั้นความรักระหว่างเราได้ [ Review XIV ]
The Fault in Our Stars : ดาวบันดาล
จากนิยายขายดีอันดับหนึ่งใน "The New York Time" ของ "จอห์น กรีน" สู่จอภาพยนตร์ในชื่อเรื่องเดียวกันกับ "The Fault in Our Stars" ซึ่งทั้งพระเอกและนางเอกของเรื่องนี้เคยเจ๊อะกันมาแล้วใน "Divergent " ก่อนอื่นอยากจะบอกว่า นอกจากหนังที่โคตรจะซึ้งและดราม่าอย่าง ''Her'' ของปีนี้แล้ว ก็มีเรื่องนี้แหละที่ทำให้ซึ้งจนน้ำตาแทบทะลัก T-T
หนังเป็นเรื่องราวของสองผู้ป่วยโรคมะเร็ง "เฮเซล เกรซ แลนแคสเตอร์" (ไชลีน วูดเลย์) และ "กัส วอเตอร์ส" (แอนเซล เอลกอร์ต)ได้เดินทางมาเจอกัน และเมื่อพวกเขาสองคนได้คุยกันก็ได้รู้ว่าทั้งสองชอบอ่านหนังสือเหมือนกัน ซ้ำกัสเองก็ยังชอบหนังสือ "An Imperial Affliction" ที่เฮเซลได้ให้เขามาอ่าน แต่เมื่อตอนจบของหนังสือเรื่องนี้ มันจบแบบค้างคาทำให้ตัวเฮเซลอยากเจอตัวผู้เขียนมาก กัสแกก็เลยจัดเซอร์ไพรส์ด้วยการติดต่อกับผู้ช่วยของผู้เขียนโดยการส่งเมลไป และเมื่อเขาตอบกลับมาว่าสามารถไปเจอเขาได้ที่อัมสเตอร์ดัม แต่เมื่อไปเจอคนที่เขียนเขากลับไม่ใช่คนอย่างที่คิด แต่สิ่งที่เฮเซลได้จากการเดินทางในครั้งนี้มันไม่ใช่ตอนจบของหนังสือ แต่มันเป็นการได้พบรักแท้ที่โคตรจะหวาน และซึ้งจนทำให้คนดูน้ำตาท่วมจอ
หนังนำเสนอเรื่องจริงของผู้ป่วยโรคมะเร็งที่วันๆได้แต่อยู่บ้านดูทีวีหรือทำอะไรน่าเบื่อๆ ไปวันๆ รอไปหาหมอ และก็หาหมอ ซึ่งมันก็น่าเบื่อสำหรับผู้ป่วยหลายๆคน แต่มันจะไม่น่าเบื่ออีกต่อไปสำหรับเฮเซลเมื่อกัสได้เข้ามาเปลี่ยนชีวิตของเธอให้มีสีสันและชีวิตชีวา
ถึงแม้ว่าหนังเรื่องนี้จะเล่าเรื่องผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง แต่หนังกลับทำออกมาได้ดีไม่หดหู่ ซึ่งมันตรงกันข้ามมันกลับกลายเป็นหนังฟีลกู๊ดที่สร้างกำลังให้แกคนดูได้ดีเลยทีเดียว และถึงแม้จะเป็นเวลาสองชั่วโมงสำหรับหนังแนวดราม่า แต่ตัวหนังก็ทำออกมาได้น่าติดตาม จนคนดูไม่อาจละสายตาไปจากเฮเซลและกัสในหนังได้เลย !!
ซ้ำหนังยังทำให้คนดูเข้าใจผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งมากขึ้น ทั้งช่วงที่ดีที่สุดของเขา และย่ำแย่ที่สุด เพราะเมื่อคนที่เป็นโรคนี้ ในยามที่มีความสุขหรือความทุกข์จะมีมากกว่าคนทั่วไปถึงสองเท่า เพราะเมื่อมีความสุขเราก็จะเก็บเกี่ยวมันให้มากที่สุด เพราะเราเองก็ไม่รู้ว่าความทุกข์หรือโรคภัยนั้น มันจะมาทำร้ายเราเมื่อไหร่ (เพราะมันไม่เคยโทรจองคิวล่วงหน้า อิอิ)
หนังมีดราม่าครบเครื่องทั้งในเรื่องของ คนรัก ครอบครัว และเพื่อน แต่อีกสิ่งที่แฝงอยู่ในดราม่าพวกนี้คือความรัก ที่หนังเรื่องนี้ให้ความสำคัญกับมันอย่างลงตัว ไม่ใช่เพราะว่ามันเท่ากัน แต่มันอยู่ในที่ๆมันควรจะอยู่ อันไหนควรใส่มากก็มาก อันไหนใส่น้อยก็น้อย แต่ถึงในบางส่วนจะน้อย แต่ก็ทำออกมาได้ซึ้งจับใจ ยกตัวอย่างเช่นตัวละครของเพื่อน ซึ่งก็รู้ๆกันว่าหนังมันไม่ใช่พวกแนวมิตรภาพ (แบบพวก เฮ้ย !! เพื่อนกูรักวะ) แต่พอถึงเวลาดราม่าแล้ว หนังก็ดึงอารมณ์ของคนดูออกมาได้แบบน้ำตาคลออะ
นอกจากนี้หนังยังแฝงนัยยะต่างๆ ให้คนดูคิดตามมันอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นบุหรี่ที่พระเอกสูบ หรือบางสิ่งที่มันไร้ค่าในตอนแรก แต่มันกลับมีค่ามากมายสำหรับเราขึ้นมาในตอนหลัง ซึ่งมันทำให้หนังดูมีเสน่ห์และชวนน่าหลงไหลมากเลยทีเดียว
ส่วนสองนักแสดงนำทั้ง "ไชลีน วูดเลย์" และ "แอนเซล เอลกอร์ต" ก็ทำมันออกมาได้ดีมากเลยที่เดียว เพราะไม่ใช่แค่อารมณ์ที่ส่งถึงกันเพราะเคยเจอกันมาก่อนใน "Divergent " แต่ทั้งคู่ยังทำให้คนดูเชื่อว่านี่ !! นี่ !! นี่แหละ!! คือผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง และเขาทั้งสองคนรักกัน นอกจากนี้พอถึงซีนเศร้าของหนังแล้ว ทั้งคู่ก็สะกดคนดูได้อยู่หมัด #แบบถ้าใครบ่อน้ำตาตื้นนี่มีร้องไห้อะ
แถมหนังยังเลือกเพลงประกอบกับหนังออกมาได้ดีอีกด้วย นอกจากหนังจบแล้ว พอขึ้นเอ็นเครดิตสำหรับใครที่ยังอินอยู่ ก็หลับตานึกภาพฟังเพลงไปฟินๆ ก็ได้ เพราะนอกจากเพลงจะเข้ากับหนังได้ดีแล้ว ยังเพราะโคตรๆอะ ><
http://www.youtube.com/watch?v=nkqVm5aiC28 <<< เพลงประกอบหนังฮะ
สรุปเอาเป็นว่านี่เป็นหนังโรแมนติก-ดราม่า อีกเรื่องที่ซึ้งโคตรๆของปีนี้เลยก็ว่าได้ ยิ่งพาแฟนไปดูนี่ยิ่งโคตรซึ้งอะ เพราะนอกจากมันจะทำให้เราเข้าใจความรักแล้ว หนังยังทำให้เราหันกลับไปมองคนรอบข้าง และมองการใช้ชีวิตใหม่อีกด้วย
#ดูแล้วมาเล่าสู่กันฟัง
คะแนน : 10/10 คับ >< #WoC
เพจผมเองครับฝากติดตามผลงาน เข้ามาพูดคุย และแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันได้ ><
World Of Cinema : เพราะหนัง ทำให้เราอยากอยู่ในโลกของหนัง!!!!
https://www.facebook.com/pages/World-Of-Cinema/563958193622477?fref=photo