The Fault in Our Stars สร้างขึ้นจากนิยายขายดีเป็นอันดับ 1 ของ John Green ใน The New York Times
เป็นเรื่องราวความรักของเด็กสองคนที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง แต่ไม่ใช่เรื่องราวเกี่ยวกับโรคมะเร็ง เรื่องของเด็กวัยรุ่น 2 คนที่เจอกันในในกลุ่มบำบัดผู้ป่วยโรคมะเร็ง แล้วเกิดเป็นความรัก Hazel Grace เด็กสาวผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งปอดตั้งแต่เด็ก ทำให้ใช้ชีวิตปกติเหมือนคนอื่นไม่ได้ ต้องมีเครื่องช่วยหายใจติดตัวตลอดเวลา และ Augustus เด็กหนุ่มที่เคยเป็นนักบาสเกตบอล แต่ต้องเสียขาด้วยโรคมะเร็งกระดูกเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้
เป็นหนังรักที่ก่อนเข้าไปดูแบบพยายามปล่อยวาง ไม่คาดหวัง ไม่ได้ติดตามอ่านนิยาย แต่ดูตัวอย่างในโรงแล้วรู้สึกอยากดู และชอบทั้งสองคนจาก Divergent พอได้ดูแล้วรู้สึกอินเป็นพิเศษ เพราะพี่ที่สนิทกันเพิ่งเสียไปด้วยโรคมะเร็ง และรู้ว่าคนที่เป็นโรคนี้ต้องต่อสู้ เจ็บปวดทรมานมากแค่ไหน เพื่อให้อยู่กับมันได้ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น
เข้าเรื่อง ดูจากธีมคิดว่าเป็นหนังรักโรแมนติกดราม่า แต่พอดูจบแล้วรู้สึกว่าเป็นหนังที่ Feel good มากกว่า นั่นเพราะหนังพยายามทำให้เห็นถึงการมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อคนรอบข้าง เพราะเราไม่ได้เกิดมาเพื่ออยู่บนโลกนี้เพียงลำพัง แต่เรามีครอบครัว คนที่รักและคอยห่วงใย แม้เราจะเผชิญกับเรื่องเลวร้ายแค่ไหนก็ต้องพยายามผ่านมันไปให้ได้ และกำลังใจจากคนรอบข้างสำคัญที่สุด หนังจะค่อยๆ บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ดำเนินเรื่องตั้งแต่เริ่มความสัมพันธ์จนกลายเป็นความรัก ให้เราได้ซึมลึกไปกับตัวละคร ถึงแม้ว่าการดำเนินเรื่องจะยังไม่มีจุดพีคอะไรมากมาย และมีฉากเรียกน้ำตามาเป็นระยะ มีฉากหวานให้ได้ยิ้มกัน แต่เมื่อความรู้สึกทั้งหมดที่ค่อยๆเก็บสะสมมาจนถึงตอนจบของเรื่อง แค่คำว่า "โอเค" คำเดียวก็ทำให้เราน้ำตาไหลจนกลั้นไว้ไม่อยู่จริงๆ
ด้านการแสดง ก่อนจะมาดู ค่อนข้างคาดหวังและตั้งตารอกับ Shailene Woodley เพราะชอบเธอมากจากไดเวอร์เจนท์ แต่ผิดคาดมากที่ดูจบแล้ว กลับตกหลุมรัก Ansel Elgort เข้าอย่างจัง ไม่ใช่ว่า Shailene Woodley เล่นไม่ดี เธอแสดงได้ดีมาก ลืมภาพสาวนักสู้จากไดเวอร์เจนท์ไปได้เลย บทของเฮเซลก็ทำให้อินอยู่ไม่น้อย เพราะถึงเธอจะดูเป็นเด็กอ่อนแอจากโรคร้าย แต่กลับใจสู้ไม่ถอยด้วยรอยยิ้มที่น่ารักของเธอ และชอบเสียงเวลาเธอบรรยายความรู้สึก เหมือนกำลังฟังคนอ่านนิยายด้วยเสียงเพราะๆให้ฟัง
Ansel Elgort จากการแสดงที่ผ่านมายังไม่ค่อยดึงดูดหรือน่าจดจำมากนัก ทั้ง Carrie และ Divergent ที่พอจะจำได้บ้าง แต่พอมาเป็นเรื่องนี้ความน่ารักของออกัสตัส บทที่ดูเป็นผู้ชายฉลาด ร่าเริง มองโลกในแง่ดี ยิ้มเก่ง และยังชั่งเอาอกอกใจ ทำให้ตกหลุมรักเขาในทันที เรื่องนี้เสน่ห์ของออกัสตัสมาเต็มมากๆ
สรุปคือ
เป็นหนังรักที่ไม่ดราม่าจัด และเรียกน้ำตาได้ แต่ให้อารมณ์แบบฟีงกู้ดมากกว่า สร้างพลังและกำลังใจในการมีชีวิตได้ดี และนอกจากความน่ารักของพระนางแล้ว บทที่แย่งซีนอยู่ไม่น้อยคือ Isaac ที่แสดงโดย Nat Wolff เป็นอะไรที่น่ารักและเรียกเสียงหัวเราะให้เราได้ ใครอยากหาหนังรักดีๆสักเรื่องดูแนะนำค่ะ และคิดว่าแฟนนิยายก็น่าจะชอบ ดูแล้วน่าจะเก็บรายละเอียดได้เยอะกว่า เราไม่เคยอ่านนิยายมาก่อน ดูจบแล้วอยากหานิยายมาอ่านเลยทีเดียว
My Vote 8/10
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/55dada55/photos/649517361792240/
"โอเค" คือคําพิเศษที่ทําให้รู้สึกดี ที่ทําให้เรารู้สึกมี "กันและกัน"
[SR] [Review] The Fault in Our Stars - ดาวบันดาล - เมื่อรักเริ่มต้น ทุกอย่างจะ "โอเค"
เป็นเรื่องราวความรักของเด็กสองคนที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง แต่ไม่ใช่เรื่องราวเกี่ยวกับโรคมะเร็ง เรื่องของเด็กวัยรุ่น 2 คนที่เจอกันในในกลุ่มบำบัดผู้ป่วยโรคมะเร็ง แล้วเกิดเป็นความรัก Hazel Grace เด็กสาวผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งปอดตั้งแต่เด็ก ทำให้ใช้ชีวิตปกติเหมือนคนอื่นไม่ได้ ต้องมีเครื่องช่วยหายใจติดตัวตลอดเวลา และ Augustus เด็กหนุ่มที่เคยเป็นนักบาสเกตบอล แต่ต้องเสียขาด้วยโรคมะเร็งกระดูกเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้
เป็นหนังรักที่ก่อนเข้าไปดูแบบพยายามปล่อยวาง ไม่คาดหวัง ไม่ได้ติดตามอ่านนิยาย แต่ดูตัวอย่างในโรงแล้วรู้สึกอยากดู และชอบทั้งสองคนจาก Divergent พอได้ดูแล้วรู้สึกอินเป็นพิเศษ เพราะพี่ที่สนิทกันเพิ่งเสียไปด้วยโรคมะเร็ง และรู้ว่าคนที่เป็นโรคนี้ต้องต่อสู้ เจ็บปวดทรมานมากแค่ไหน เพื่อให้อยู่กับมันได้ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น
เข้าเรื่อง ดูจากธีมคิดว่าเป็นหนังรักโรแมนติกดราม่า แต่พอดูจบแล้วรู้สึกว่าเป็นหนังที่ Feel good มากกว่า นั่นเพราะหนังพยายามทำให้เห็นถึงการมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อคนรอบข้าง เพราะเราไม่ได้เกิดมาเพื่ออยู่บนโลกนี้เพียงลำพัง แต่เรามีครอบครัว คนที่รักและคอยห่วงใย แม้เราจะเผชิญกับเรื่องเลวร้ายแค่ไหนก็ต้องพยายามผ่านมันไปให้ได้ และกำลังใจจากคนรอบข้างสำคัญที่สุด หนังจะค่อยๆ บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ดำเนินเรื่องตั้งแต่เริ่มความสัมพันธ์จนกลายเป็นความรัก ให้เราได้ซึมลึกไปกับตัวละคร ถึงแม้ว่าการดำเนินเรื่องจะยังไม่มีจุดพีคอะไรมากมาย และมีฉากเรียกน้ำตามาเป็นระยะ มีฉากหวานให้ได้ยิ้มกัน แต่เมื่อความรู้สึกทั้งหมดที่ค่อยๆเก็บสะสมมาจนถึงตอนจบของเรื่อง แค่คำว่า "โอเค" คำเดียวก็ทำให้เราน้ำตาไหลจนกลั้นไว้ไม่อยู่จริงๆ
ด้านการแสดง ก่อนจะมาดู ค่อนข้างคาดหวังและตั้งตารอกับ Shailene Woodley เพราะชอบเธอมากจากไดเวอร์เจนท์ แต่ผิดคาดมากที่ดูจบแล้ว กลับตกหลุมรัก Ansel Elgort เข้าอย่างจัง ไม่ใช่ว่า Shailene Woodley เล่นไม่ดี เธอแสดงได้ดีมาก ลืมภาพสาวนักสู้จากไดเวอร์เจนท์ไปได้เลย บทของเฮเซลก็ทำให้อินอยู่ไม่น้อย เพราะถึงเธอจะดูเป็นเด็กอ่อนแอจากโรคร้าย แต่กลับใจสู้ไม่ถอยด้วยรอยยิ้มที่น่ารักของเธอ และชอบเสียงเวลาเธอบรรยายความรู้สึก เหมือนกำลังฟังคนอ่านนิยายด้วยเสียงเพราะๆให้ฟัง
Ansel Elgort จากการแสดงที่ผ่านมายังไม่ค่อยดึงดูดหรือน่าจดจำมากนัก ทั้ง Carrie และ Divergent ที่พอจะจำได้บ้าง แต่พอมาเป็นเรื่องนี้ความน่ารักของออกัสตัส บทที่ดูเป็นผู้ชายฉลาด ร่าเริง มองโลกในแง่ดี ยิ้มเก่ง และยังชั่งเอาอกอกใจ ทำให้ตกหลุมรักเขาในทันที เรื่องนี้เสน่ห์ของออกัสตัสมาเต็มมากๆ
สรุปคือ
เป็นหนังรักที่ไม่ดราม่าจัด และเรียกน้ำตาได้ แต่ให้อารมณ์แบบฟีงกู้ดมากกว่า สร้างพลังและกำลังใจในการมีชีวิตได้ดี และนอกจากความน่ารักของพระนางแล้ว บทที่แย่งซีนอยู่ไม่น้อยคือ Isaac ที่แสดงโดย Nat Wolff เป็นอะไรที่น่ารักและเรียกเสียงหัวเราะให้เราได้ ใครอยากหาหนังรักดีๆสักเรื่องดูแนะนำค่ะ และคิดว่าแฟนนิยายก็น่าจะชอบ ดูแล้วน่าจะเก็บรายละเอียดได้เยอะกว่า เราไม่เคยอ่านนิยายมาก่อน ดูจบแล้วอยากหานิยายมาอ่านเลยทีเดียว
My Vote 8/10
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
"โอเค" คือคําพิเศษที่ทําให้รู้สึกดี ที่ทําให้เรารู้สึกมี "กันและกัน"