คุณสมบัติที่ทำให้ The Fault in Our Stars ดูมีอะไรมากกว่าจะเป็นแค่หนังรักวัยรุ่นกลวงๆ ขายภาพสวยๆ เพลงเพราะๆ อีกหนึ่งเรื่องที่ผ่านมาและผ่านไปโดยไม่มีใครจดจำ ก็คือการเอาปรัชญาความรักที่เข้าใจยาก มาย่อยให้เป็นเรื่องง่าย และนำเสนอออกมาในแนวทางของความโรแมนติกที่อิงกับการยอมรับความจริง โดยเฉพาะแง่มุมเกี่ยวกับคำว่า "ตลอดกาล" หรือ "นิจนิรันดร์" ที่หนังให้คำนิยามออกมาได้อย่างน่าสนใจ
ปกติเรามักจะทำความเข้าใจความหมายของคำเหล่านี้ด้วยการยึดโยงเข้ากับเรื่องของ "เวลา" ที่สิ่งหนึ่งควรจะอยู่คู่กับสิ่งหนึ่ง หรือ ใครที่จะต้องอยู่คู่กับใครไปตราบนานเท่านาน โดยหลงลืมไปว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ล้วนแล้วแต่ผุพังทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ไม่เว้นแม้แต่เรื่องของความรักที่มักจะเหี่ยวเฉาจืดจางลงไปตามแรงโน้มถ่วงในโลกของมัน
ไม่จริงหรอกหากใครหน้าไหนมาบอกคุณหลังจากคบกันมา 10 - 20 ปี ว่าฉันรักเธอมากขึ้นทุกวัน มากกว่าตอนที่รักกันใหม่ๆ เสียอีก เพราะระยะเวลานานขนาดนั้น มันมากพอที่ใครคนหนึ่งจะเรียนรู้ความชั่วร้ายด้านมืดของอีกฝ่ายอย่างทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว จนหลงเหลือเพียง ความผูกพัน หรือ ความเคยชิน ที่เป็นส่วนเหนี่ยวรั้งคนสองคนไว้ด้วยกัน
อาจจะถูกเพียงครึ่งเดียวถ้าคุณจะอุปโลกน์ ให้ความผูกพัน และความเคยชิน ดูสวยงามขึ้นมาอีกนิด ด้วยการบอกว่ามันคืออีกนิยามหนึ่งของคำว่ารัก แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ มันไม่ใช่ความรักที่แสนเปล่งปลั่งสุกสกาวเหมือนดาวบนท้องฟ้า หรือความรักที่สามารถทำให้เราตัวลอยได้ เหมือนความรักเมื่อ 3 เดือน 5 เดือน หรือ 1 ปีแรกที่คบกันอีกแล้ว เพราะมันได้คลี่คลายเปลี่ยนแปลงตัวเองไปแล้ว
อย่าว่าแต่ความเปลี่ยนแปลงของความรักที่ต่างจากเดิมในช่วงเวลานับ 10 ปีเลย เพราะบางครั้งความรักมันกลับตาละปัดเลยเถิดไปถึงขั้นพังทลายลงเร็วกว่านั้นมากๆ เหมือนกับคู่รักสมทบในหนังเรื่องนี้ที่มักแสดงออกด้วยการ “Forever Kiss” อยู่ตลอดเวลา แต่พอเวลาผันผ่านไปจนฝ่ายชายต้องตาบอดเพราะโรคร้ายขึ้นมาจริงๆ ฝ่ายหญิงก็แทบจะไม่โผล่มามองหน้าเขาแม้สักครั้งด้วยซ้ำ
"ตลอดกาล” ในนิยามของตัวละครนำอย่าง ฮาเซล กับ กัส ที่เราได้เห็นใน The Fault in Our Stars จึงเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่ต่างออกไป มันไม่ได้เป็นเรื่องของเวลา แต่เป็นเรื่องของสิ่งต่างๆ ที่ถูกหยุดไว้ ณ จุดๆ หนึ่ง โดยที่มันจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกเลยนับจากนั้น และทุกครั้งที่เราได้ระลึกถึง มันจะยังคงอยู่ในรูปและความรู้สึกเดิมตลอดไป
มันคล้ายๆ กับการอ่านหนังสือ แม้เนื้อเรื่องในหน้าสุดท้ายมันจะจบลงอย่างค้างคาใจ แต่ถ้าเรามีความสุข เราก็ไม่จำเป็นต้องไปไล่ล่าตามหาตัวนักเขียนเจ้าของผลงานเพื่อมาอธิบายเรื่องราวใดๆ เพิ่มเติมขึ้นมาอีก เพราะความสุขที่เราได้รับจากหนังสือมันสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว
และมันก็เทียบเคียงได้กับการฟังเพลงต่างภาษาที่เราอาจจะไม่รู้ความหมาย แต่ลำพังแค่จังหวะและน้ำเสียง ถ้ามันทำให้เรารู้สึกดีมีอารมณ์ร่วมไปด้วยได้ การไปขวนขวายแปลเนื้อหาของมันก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะเนื้อหาของเพลงอาจจะห่วยแตก จนทำให้ความรู้สึกร่วมที่เราเคยมีเปลี่ยนไป
หรือถ้าเปรียบเป็นบุคคล มันก็คงเทียบได้กับชีวิตของร็อกสตาร์ มันน่าเศร้าที่ เคิร์ต โคเบน เลือกจบชีวิตลงในช่วงที่กำลังอยู่บนจุดสูงสุดของความสำเร็จ แต่สุดท้ายแล้วมันก็ดีไม่ใช่เหรอ ที่ภาพของเขาจะดำรงอยู่ในจุดนั้น เปี่ยมพลังในแบบนั้น ไปตลอดกาล โดยที่เราจะไม่มีวันได้เห็นเขาในวันที่อ่อนล้าโรยแรง
ความรักก็เช่นกัน การที่ความรักเกิดขึ้นแล้วจบลงเพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่ง โดยมันยังคงเปล่งปลั่งในความรู้สึกของเรา มันอาจจะทำให้หัวใจเจ็บปวดมากกว่าปกติ แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายอะไร หากว่าก่อนหน้านั้นเราได้มีความสุขกับมันอย่างถึงที่สุด แค่นั้นก็ถือว่าความรักมันได้เสร็จสมบูรณ์ในตัวของมันเองแล้ว
อาจจะดีเสียอีก กับการที่เราจะได้จดจำมันในแบบนั้นตลอดไป เป็นประวัติศาตร์ส่วนตัวที่ย้อนกลับไปนึกถึงเมื่อไหร่ ก็ยังคงงดงามสว่างไสวอยู่ตลอดกาลดังเดิม และอาจจะดียิ่งกว่า ความรักที่เรามาค้นพบในภายหลังว่า มันค่อยๆ คลี่คลายเปลี่ยนแปลงตัวเองไปจากแรกเริ่ม จนเราเองก็ไม่แน่ใจว่ามันยังใช่ความรักที่เราต้องการอยู่อีกหรือเปล่า แต่พยายามทนอยู่กับมันต่อไปเรื่อยๆ ทั้งชีวิต
คะแนน ★★★1/2
อ่านรีวิว และอื่นๆได้ที่
https://www.facebook.com/pages/เกรียนหนัง/112834835539518
(แอบดูมาแล้ว) The Fault in Our Stars (2014) : ตลอดกาลหน่ะ...นานแค่ไหน?
คุณสมบัติที่ทำให้ The Fault in Our Stars ดูมีอะไรมากกว่าจะเป็นแค่หนังรักวัยรุ่นกลวงๆ ขายภาพสวยๆ เพลงเพราะๆ อีกหนึ่งเรื่องที่ผ่านมาและผ่านไปโดยไม่มีใครจดจำ ก็คือการเอาปรัชญาความรักที่เข้าใจยาก มาย่อยให้เป็นเรื่องง่าย และนำเสนอออกมาในแนวทางของความโรแมนติกที่อิงกับการยอมรับความจริง โดยเฉพาะแง่มุมเกี่ยวกับคำว่า "ตลอดกาล" หรือ "นิจนิรันดร์" ที่หนังให้คำนิยามออกมาได้อย่างน่าสนใจ
ปกติเรามักจะทำความเข้าใจความหมายของคำเหล่านี้ด้วยการยึดโยงเข้ากับเรื่องของ "เวลา" ที่สิ่งหนึ่งควรจะอยู่คู่กับสิ่งหนึ่ง หรือ ใครที่จะต้องอยู่คู่กับใครไปตราบนานเท่านาน โดยหลงลืมไปว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ล้วนแล้วแต่ผุพังทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ไม่เว้นแม้แต่เรื่องของความรักที่มักจะเหี่ยวเฉาจืดจางลงไปตามแรงโน้มถ่วงในโลกของมัน
ไม่จริงหรอกหากใครหน้าไหนมาบอกคุณหลังจากคบกันมา 10 - 20 ปี ว่าฉันรักเธอมากขึ้นทุกวัน มากกว่าตอนที่รักกันใหม่ๆ เสียอีก เพราะระยะเวลานานขนาดนั้น มันมากพอที่ใครคนหนึ่งจะเรียนรู้ความชั่วร้ายด้านมืดของอีกฝ่ายอย่างทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว จนหลงเหลือเพียง ความผูกพัน หรือ ความเคยชิน ที่เป็นส่วนเหนี่ยวรั้งคนสองคนไว้ด้วยกัน
อาจจะถูกเพียงครึ่งเดียวถ้าคุณจะอุปโลกน์ ให้ความผูกพัน และความเคยชิน ดูสวยงามขึ้นมาอีกนิด ด้วยการบอกว่ามันคืออีกนิยามหนึ่งของคำว่ารัก แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ มันไม่ใช่ความรักที่แสนเปล่งปลั่งสุกสกาวเหมือนดาวบนท้องฟ้า หรือความรักที่สามารถทำให้เราตัวลอยได้ เหมือนความรักเมื่อ 3 เดือน 5 เดือน หรือ 1 ปีแรกที่คบกันอีกแล้ว เพราะมันได้คลี่คลายเปลี่ยนแปลงตัวเองไปแล้ว
อย่าว่าแต่ความเปลี่ยนแปลงของความรักที่ต่างจากเดิมในช่วงเวลานับ 10 ปีเลย เพราะบางครั้งความรักมันกลับตาละปัดเลยเถิดไปถึงขั้นพังทลายลงเร็วกว่านั้นมากๆ เหมือนกับคู่รักสมทบในหนังเรื่องนี้ที่มักแสดงออกด้วยการ “Forever Kiss” อยู่ตลอดเวลา แต่พอเวลาผันผ่านไปจนฝ่ายชายต้องตาบอดเพราะโรคร้ายขึ้นมาจริงๆ ฝ่ายหญิงก็แทบจะไม่โผล่มามองหน้าเขาแม้สักครั้งด้วยซ้ำ
"ตลอดกาล” ในนิยามของตัวละครนำอย่าง ฮาเซล กับ กัส ที่เราได้เห็นใน The Fault in Our Stars จึงเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่ต่างออกไป มันไม่ได้เป็นเรื่องของเวลา แต่เป็นเรื่องของสิ่งต่างๆ ที่ถูกหยุดไว้ ณ จุดๆ หนึ่ง โดยที่มันจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกเลยนับจากนั้น และทุกครั้งที่เราได้ระลึกถึง มันจะยังคงอยู่ในรูปและความรู้สึกเดิมตลอดไป
มันคล้ายๆ กับการอ่านหนังสือ แม้เนื้อเรื่องในหน้าสุดท้ายมันจะจบลงอย่างค้างคาใจ แต่ถ้าเรามีความสุข เราก็ไม่จำเป็นต้องไปไล่ล่าตามหาตัวนักเขียนเจ้าของผลงานเพื่อมาอธิบายเรื่องราวใดๆ เพิ่มเติมขึ้นมาอีก เพราะความสุขที่เราได้รับจากหนังสือมันสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว
และมันก็เทียบเคียงได้กับการฟังเพลงต่างภาษาที่เราอาจจะไม่รู้ความหมาย แต่ลำพังแค่จังหวะและน้ำเสียง ถ้ามันทำให้เรารู้สึกดีมีอารมณ์ร่วมไปด้วยได้ การไปขวนขวายแปลเนื้อหาของมันก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะเนื้อหาของเพลงอาจจะห่วยแตก จนทำให้ความรู้สึกร่วมที่เราเคยมีเปลี่ยนไป
หรือถ้าเปรียบเป็นบุคคล มันก็คงเทียบได้กับชีวิตของร็อกสตาร์ มันน่าเศร้าที่ เคิร์ต โคเบน เลือกจบชีวิตลงในช่วงที่กำลังอยู่บนจุดสูงสุดของความสำเร็จ แต่สุดท้ายแล้วมันก็ดีไม่ใช่เหรอ ที่ภาพของเขาจะดำรงอยู่ในจุดนั้น เปี่ยมพลังในแบบนั้น ไปตลอดกาล โดยที่เราจะไม่มีวันได้เห็นเขาในวันที่อ่อนล้าโรยแรง
ความรักก็เช่นกัน การที่ความรักเกิดขึ้นแล้วจบลงเพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่ง โดยมันยังคงเปล่งปลั่งในความรู้สึกของเรา มันอาจจะทำให้หัวใจเจ็บปวดมากกว่าปกติ แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายอะไร หากว่าก่อนหน้านั้นเราได้มีความสุขกับมันอย่างถึงที่สุด แค่นั้นก็ถือว่าความรักมันได้เสร็จสมบูรณ์ในตัวของมันเองแล้ว
อาจจะดีเสียอีก กับการที่เราจะได้จดจำมันในแบบนั้นตลอดไป เป็นประวัติศาตร์ส่วนตัวที่ย้อนกลับไปนึกถึงเมื่อไหร่ ก็ยังคงงดงามสว่างไสวอยู่ตลอดกาลดังเดิม และอาจจะดียิ่งกว่า ความรักที่เรามาค้นพบในภายหลังว่า มันค่อยๆ คลี่คลายเปลี่ยนแปลงตัวเองไปจากแรกเริ่ม จนเราเองก็ไม่แน่ใจว่ามันยังใช่ความรักที่เราต้องการอยู่อีกหรือเปล่า แต่พยายามทนอยู่กับมันต่อไปเรื่อยๆ ทั้งชีวิต
คะแนน ★★★1/2
อ่านรีวิว และอื่นๆได้ที่ https://www.facebook.com/pages/เกรียนหนัง/112834835539518