The magician : นักมายากล

เวทมนต์หรือมายา มันคงมีเวลาหมดอายุเหมือนกัน

หลังจากการไปพบหมอที่โรงพยาบาลจังหวัดมาเมื่อตอนเช้า ผมรู้สึกหดหู่ใจเหลือเกิน แขนขาก็เหมือนจะหมดเรี่ยวแรง พอวางห่อข้าวหมูแดงลงบนโต๊ะรับแขกหน้าบ้านเสร็จ จะเดินไปเปิดไฟให้สว่าง ก็กลับเปลี่ยนใจไปแง้มหน้าต่างสักคืบกว่าๆ ให้ลมได้พัดพาความอับชื้นภายในบ้านให้ม้วนตัวออกไปบ้าง
เรื่องราวประดังปะเดหลายสิ่งหลายอย่างอยู่ในสมองของผม มันอัดแน่นอยู่ในที่มันควรอยู่นั้นก็สมควรแล้ว หากแต่ยามนี้มันล้นออกมาปลิวกระจัดกระจายไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อนดี
ยิ่งมองข้าวของอุปกรณ์ที่ใช้ทำมาหาเลี้ยงชีพของผมมาตลอดสี่สิบกว่าปีแล้ว มันมืดมนมองไม่เห็นวันข้างหน้าเลยว่าผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไรถ้าไม่ได้ทำในสิ่งที่ผมรัก และจะกล้าสบตาผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากสิ่งที่ผมทุ่มเท ปั้นแต่งนั้นได้อย่างไร

"ผมคิดว่าลุงคงต้องเลิกใช้สายตาแพ่งมองแสง ครับ จอประสาทตาเสื่อมลงมาก มันจะมีปัญหากับการมองเห็นได้ คือ อาจจะถึงขั้นบอดได้ครับ"
หมอหนุ่มวัยสามสิบกลางๆ เดินไปรูดม่านในห้อง
"เบาแสงลงมานิดหน่อยครับลุง" แล้วก้มลงมากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูผม
"ผมจะนัดคิวคุยเรื่องผ่าตัดให้เลย ไม่เกินเดือนหน้านี้ ...ผมอยากให้ตึกเก่าตรงนั้นหายวับไป เราจะได้ขึ้นตึกใหม่ 8 ชั้น ครูช่วยผมหน่อยนะ"
หมอปลี่ยนสรรพนามที่เรียกผมในตอนท้าย ก่อนพยาบาลจะเข้ามาพยุงผมออกไปรอรับยานอกห้องตรวจ



เมื่อราว 20 ปีก่อน ภรรยาของผมถูกโรคเบาหวานและไทรอยด์รุมเร้า เธออ้วนอวบหนาขึนในวัยสามสิบปลายๆ ไม่สามารถสวมชุดรัดรูปติดที่คาดผมหูกระต่าย เป็นผู้ช่วยของนักมายากลอย่างผมได้อีกต่อแล้ว
ผมออกแสดงกับอ้าย และเต็ง ศิษย์เด็กน้อยวัย 12 ขวบและ10 ขวบ  ที่ขอพ่อแม่มาติดสอยห้อยตามผมไปแสดงที่บาร์ไม่ไกลบ้านอยู่คืนล่ะสองแห่ง
"ผมจะปลุกชีวิตนักมายากลขึ้นมาครับครู" อ้ายบอกกับผมในคืนวันที่เรากลับมาพบร่างไร้วิญญาณของภรรยาผมล้มอยู่ในบ้าน เธอล้มจากการพยายามจัดข้าวของ อุปกรรณ์การแสดงของผมให้เรียบร้อยอยู่เสมอ
"ผมสองคนจะดูแลครูเอง" น้ำเสียงหนักแน่นของอ้ายบอกกับผมทุกครั้งที่เราออกไปแสดงกลด้วยกันทุกคืน ผมเป็นเสมือนพ่อและครูของเขา ที่ดูแลทุกอย่างและถ่ายทอดวิชามายากลให้แทบหมดสิ้น ใน 5 ปีหลังจากภรรยาผมเสียชีวิตไป

ผมนึกย้อนกลับไปตอนผมเปิดสอนมายากลและทำอุปกรณ์มายากลง่ายๆ ขายไปพร้อมกัน สมัยนั้นโรงเรียนสอนมายากลมีไม่มากนัก ผมมีลูกศิษย์หลากหลายเพศวัย มาเรียนหลายสิบคน อ้ายมีแววที่สุด
วันนั้น ผมจำได้ดีผมมองเด็กหนุ่มวัย 16 ปี ในตอนนั้น มองทะลุเข้าไปในดวงตาที่วาวความหวังของเขา ยามที่เด็กหนุ่มมาขอลาออกไปใช้ชีวิตนักมายากลดาวรุ่งเพียงลำพัง และเล่าถึงเป้าหมายของเขาในอนาคต
"เราอาจจะไม่นับเป็นศิษย์และครูกันอีกกเ็ป็นได้นะ" ผมบอกอ้ายไปแบบนั้น
อ้ายยิ้มแต่ดูลึกลับกว่าที่ผมเคยเห็น สิ่งที่เป็นความสดใสของวยรุ่น หายไปไหนจนหมดสิ้น ผมสอนมายากลแต่ก็อยากให้เขาใช้เรื่องจริงในชีวิต
"เธอมีทุนรอนมากพอแล้วรึ" ผมถามเผื่อบางที อาจเป็นเรื่องที่อ้ายยังไม่พร้อม สามารถกลับใจเขาได้
"ผมมีเงินสินบนจากเฮียใช้ ให้ผมก่อนแกถูกยิงเสียชีวิตครับครู"
"ค่าสินบนอะไร" ผมชับจับต้นชนปลายถูก เขาได้เงินอะไรจากเสี่ยเพลบอยรับเหมาก่อสร้าง
"เรื่องที่มีตำรวจมาปิดโรงเรียนสอนมายากลของครูน่ะรึ"
อ้ายไม่ตอบอะไร กลับยื่นเหรียญ 10 บาท ให้ผมดู
"มันเป็นเงินงบประมาณแผ่นดินครับครู ด้วยมายากล ไม่มีใครจับผมได้ ผมรู้แล้วว่าจะใช้มันยังไงให้มันงอกเงย ไม่ให้มันกลับมาเป็นมัจจุราชมาฆ่าผมได้ เหมือนเฮียใช้"

ผมรู้ว่าอ้ายพูดจริง ผมไม่นึกเสียใจเลยที่โรงเรียนถูกปิดไป แต่เสียใจที่ไม่สามารถสอนศิษย์ให้เป็นมนุษย์ได้ มันหมดเวลาของการเป็นครูของผมแล้วจริงๆ
ผมเหลียวมองอาเต็ง ตี๋น้อยที่กำลังฝึกฝนวิชามายากลอย่างเอาจริงเอาจัง ทำท่าเหมือนขอร้องให้ผมสอนมายากลให้พิ่มมากขึ้นๆ ไ้ห้จงได้แต่ผมหยุดแล้ว มันถึงเวลาของผมทีจะต้องหยุดมันแล้ว

อ้ายเติบโตในวงการบันเทิงมีชื่อเสียงไปทุกหย่อมหญ้าและลงเล่นการเมือง จนก้าวหน้าได้เป็นรัฐมนตรีในที่สุด ดูเหมือนเหรียญอาถรรถ์จะค้ำจุนอ้ายให้ได้มีโอกาสทำเลวร้ายได้ไม่มีที่สิ้นสุด

ผมกินข้าวหมูแดงไปตอนเย็นจวนค่ำ มันแทบไม่มีรสชาติอะไรเลย แต่ก็ำให้ผมมีเรี่ยวแรงเพียงพอที่จะลากลังมายากลขนาดใหญ่ลังหนึ่งออกมากลางห้องได้ ผมเปิดฝาลังออกและให้กรรไกรตัดผ้าขนาดใหญ่ ตัดผ้าคลุมสีดำขนาดใหญ่ราวผ้าม่านให้ขาดวิ่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ผมรู้สึกหอบ หายใจขาดเป็นห้วงๆ ต้องทำไปพักไปหายใจยาวๆ ขณะเอาชะแลงมางัดกล่องนั้นให้แตกออกมาเป็นซีกๆ

ค่ำแล้วเพื่อนบ้านเปิดไฟกันสว่าง ผมก็ได้อาศัยแสงนั้นทำสิ่งที่ผมจะมอบให้กับศิษย์คนสุดท้ายของผม
ผมรู้ดี เขาจะต้องมาหาผมในวันพรุ่งนี้และจะต้องทำท่ารบเร้าให้สอนกลให้ เหมือนตอนที่เขายังเป็นเด็กเล้กๆ ผมบรรจงเขียนจดหมายวางไว้บนกองผ้าที่ขาดวิ่นนั้น

"ด้วยความมืดบอดของคน มายาใดๆ ก็จะต้องเสื่อมลงไปในวันหนึ่ง ไม่มีใครหลอกลวงใครได้ไปตลอดชีวิต"
"เธอหลอกคนไข้หรือเปล่าหมอเต็ง"
"บัดนี้ฉันไมใช่ทั้งครูและคนไข้ของเธออีกต่อไปแล้ว ไม่มีวิชาเสกตึกให้หายไปในความโลภของหมอแล้ว หมอไม่ต้องขอร้องฉัน"

ตอนนั้นผมหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน กลับมองเห็นห้องนั้นสว่างไสวไปทั่ว เสียงดนตรีคุ้นหูยามอยู่บนเวทีดังชัดเจนขึ้นทุกขณะ ภรรยาสาวสวยของผมในชุดรัดรูป คาดผมรูปหูกระต่ายคุ้นตาอันนั้น เธอเดินออกมาจากมุมขางเวทีมาหาผม ยิ้มให้ เธอจับปกเสื้อทักซิโด้สีดำเข้มของผมให้เข้าที่เข้าทาง เราจับมือกันเดินผ่านชั้นเก็บอุปกรณ์ และประตูบ้านออกไป
ผมได้ยินเหมือนเสียงปรบมือดังกราวใหญ่ ในขณะเดียวกันที่หมอเต็งผลักประตูบานเดียวกันนั้นเข้ามา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่