...จีนสมัยโบราณ ยังมีวัดพุทธศาสนาใหญ่อยู่วัดหนึ่ง
มีระเบียบให้คนในวัดมาทำวัตรสวดมนต์กันทุกเช้า ตอนตีสี่
ครั้งนั้น มีภิกษุรูปหนึ่ง ทุกๆ วัน ท่านจะขมีขมันตื่นก่อนเวลาจุดไฟเดินส่องไปตามทางปูหินก่อนใครๆ
เพื่อจับหอยทากที่คลานอยู่ตามทางเท้า ไปปล่อยไกลๆ
จะได้ไม่ถูกเหยียบตาย ท่านทำอย่างนี้ทุกวันจนภิกษุรูปอื่นสังเกตเห็น
ก็เลยเกิดการสอบถามขึ้น ภิกษุรูปนั้นก็ตอบว่า
“ผมมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ ก็เพื่อประกอบความดี สร้างบารมีเรื่อยไป ”
ภิกษุอีกรูปหนึ่งก็ค้านขึ้นว่า “ท่านทราบไหม ที่ทำอย่างนี้เหมือนกับก่อกรรมทำเข็ญ
ทำให้ชาวสวนต้องเดือดร้อนจากหอยทากข้างนอกเขากำจัดสัตว์ชนิดนี้กันหมดแล้ว
เหลือแต่ในวัดนี่แหละ ที่ยังแพร่พันธุ์อยู่”
ภิกษุอีกรูปก็พูดว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น ท่านมิได้มีเจตนาให้เป็นภัยแก่คนทั้งหลาย
ตรงกันข้ามท่านกำลังบำเพ็ญหน้าที่ของโพธิสัตว์
ทำการปลดปล่อยสัตว์แปดหมื่นสี่พันจากภัยพิบัติ
และยังช่วยปลดปล่อยทำความปลอดภัยให้พวกเราในวัดนี้
ได้บำเพ็ญความบริสุทธิ์ ไม่ต้องทำชีวิตให้ตกล่วงไปอีกด้วย”
เมื่อไม่สามารถตกลงกันได้ ทั้งหมดก็พากันไปหาหลวงพ่อโตกุซัน
เจ้าอาวาส ท่านอาจารย์ผู้เฒ่านิ่งฟังการชี้แจงของแต่ละราย
ด้วยความกรุณาและเห็นใจเป็นที่สุด ท่านได้แต่จ้องหน้าตั้งใจฟังคนนั้นที คนนี้ที
ภิกษุรูปแรกชี้แจงว่า “ผมก็มีอายุมากแล้ว มาบวชเรียนในพุทธศาสนานี้ก็เพื่อทำความดี
แม้แต่ความดีน้อยหนึ่งก็หมั่นประกอบกระทำทั้งกลางวันกลางคืน
ย่อมจะเต็มได้เหมือนหยาดน้ำทีละหยด ก็อาจเต็มตุ่มได้
อย่างนี้จะว่าเป็นโทษบาปได้อย่างไรครับ หลวงพ่อ”
ท่านอาจารย์พอฟังจบแล้วก็ตอบแสดงความชอบใจว่า
“ถูก ถูก ถูกแล้ว”
ภิกษุรูปที่สอง ชี้แจงว่า “ถ้าว่าโดยเจตนากันแล้ว
หากมีคนใดไปเหยียบหอยทาก เวลาเดินไปสวดมนต์ตอนมืดๆ
นั่นก็มิใช่เจตนาฆ่า เมื่อไม่มีเจตนา ก็มิใช่เป็นกรรมอันใด
ผลยังทำให้ชาวบ้านไม่ต้องเดือดร้อนกับหอยทากอันเป็นสัตว์ทำลายพืชผล
ทั้งคนในวัดยังปลอดภัยจากโรคที่มันเป็นพาหะอีกด้วย
เป็นผลดีทั้งตัวเองและผู้อื่น มิใช่หรือครับหลวงพ่อ”
ท่านอาจารย์พอฟังจบแล้วก็ตอบแสดงความชอบใจว่า
“ถูก ถูก ถูกแล้ว”
ภิกษุรูปที่สาม ชี้แจงว่า “การบำเพ็ญธรรมให้ความปลอดภัยแก่คนส่วนใหญ่
โดยมีใครคนใดคนหนึ่งเสียสละ รับเป็นภาระไปเสีย
เป็นการเปิดโอกาสให้ทุกๆ คนเขาได้ประกอบกระทำความหลุดรอดไปตามทางของเขา
ตลอดถึงสัตว์ใดๆ แม้จะอยู่ในร่างที่ต่ำต้อย ธรรมชาติแห่งความตรัสรู้ก็มิได้น้อยไปหรือมากขึ้น
เพียงปัญญาญาณโพลงวาบเดียว ผลกรรมใดๆ แม้มากน้อยเท่าใด
ย่อมถูกลกเลิกเสียหมดสิ้น ดูแต่มหาโจรใจร้าย
บาปกรรมเกรอะกรังก็ยังเปลื้องกรรมอันอนันต์นั้นได้เพียงชั่วอึดใจเดียว
อย่างนี้จะมิเป็นการถูกต้องหรือครับหลวงพ่อ”
ท่านอาจารย์พอฟังจบแล้วก็ตอบแสดงความชอบใจว่า
“ถูก ถูก ถูกแล้ว”
ขณะนั้น สามเณรอุปัฏฐาก กำลังนั่งพัดอยู่ข้างหลังอาจารย์ผู้เฒ่า
ได้ฟังเขาชี้แจงทีละคนๆ และหลวงพ่อก็ยอมรับว่าแต่ละรายล้วนถูก ถูก ถูก
เณรอดทนฟังต่อไปไม่ได้ ก็เอ่ยขัดขึ้น เพื่อขอโอกาสแสดงความคิดเห็น หลวงพ่อโตกุซัน
ทราบดังนั้นก็เหลียวหมุนตัวมาฟังอย่างตั้งใจสามเณรอีกรายหนึ่ง….
สามเณรน้อยติงว่า “หลวงพ่อได้แต่ร้องว่า ถูก ถูก ถูก
มันจะมีถูกกันไปหมดทุกฝ่ายได้อย่างไร ถ้ามีอันใดถูก อันอื่นก็ต้องผิดซิหลวงพ่อ”
ท่านอาจารย์พอฟังจบแล้วก็ตอบแสดงความชอบใจอีกว่า
“อ๊ะ ! เธอนี่ก็ ถูก ถูก ถูกแล้ว”
...ที่มา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.dharma-gateway.com/misc/misc-zen-06.htm
...ปริศนาธรรมอย่างเซน "ทุกสิ่ง... ล้วนถูกต้อง"...!!!
...จีนสมัยโบราณ ยังมีวัดพุทธศาสนาใหญ่อยู่วัดหนึ่ง
มีระเบียบให้คนในวัดมาทำวัตรสวดมนต์กันทุกเช้า ตอนตีสี่
ครั้งนั้น มีภิกษุรูปหนึ่ง ทุกๆ วัน ท่านจะขมีขมันตื่นก่อนเวลาจุดไฟเดินส่องไปตามทางปูหินก่อนใครๆ
เพื่อจับหอยทากที่คลานอยู่ตามทางเท้า ไปปล่อยไกลๆ
จะได้ไม่ถูกเหยียบตาย ท่านทำอย่างนี้ทุกวันจนภิกษุรูปอื่นสังเกตเห็น
ก็เลยเกิดการสอบถามขึ้น ภิกษุรูปนั้นก็ตอบว่า
“ผมมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ ก็เพื่อประกอบความดี สร้างบารมีเรื่อยไป ”
ภิกษุอีกรูปหนึ่งก็ค้านขึ้นว่า “ท่านทราบไหม ที่ทำอย่างนี้เหมือนกับก่อกรรมทำเข็ญ
ทำให้ชาวสวนต้องเดือดร้อนจากหอยทากข้างนอกเขากำจัดสัตว์ชนิดนี้กันหมดแล้ว
เหลือแต่ในวัดนี่แหละ ที่ยังแพร่พันธุ์อยู่”
ภิกษุอีกรูปก็พูดว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น ท่านมิได้มีเจตนาให้เป็นภัยแก่คนทั้งหลาย
ตรงกันข้ามท่านกำลังบำเพ็ญหน้าที่ของโพธิสัตว์
ทำการปลดปล่อยสัตว์แปดหมื่นสี่พันจากภัยพิบัติ
และยังช่วยปลดปล่อยทำความปลอดภัยให้พวกเราในวัดนี้
ได้บำเพ็ญความบริสุทธิ์ ไม่ต้องทำชีวิตให้ตกล่วงไปอีกด้วย”
เมื่อไม่สามารถตกลงกันได้ ทั้งหมดก็พากันไปหาหลวงพ่อโตกุซัน
เจ้าอาวาส ท่านอาจารย์ผู้เฒ่านิ่งฟังการชี้แจงของแต่ละราย
ด้วยความกรุณาและเห็นใจเป็นที่สุด ท่านได้แต่จ้องหน้าตั้งใจฟังคนนั้นที คนนี้ที
ภิกษุรูปแรกชี้แจงว่า “ผมก็มีอายุมากแล้ว มาบวชเรียนในพุทธศาสนานี้ก็เพื่อทำความดี
แม้แต่ความดีน้อยหนึ่งก็หมั่นประกอบกระทำทั้งกลางวันกลางคืน
ย่อมจะเต็มได้เหมือนหยาดน้ำทีละหยด ก็อาจเต็มตุ่มได้
อย่างนี้จะว่าเป็นโทษบาปได้อย่างไรครับ หลวงพ่อ”
ท่านอาจารย์พอฟังจบแล้วก็ตอบแสดงความชอบใจว่า
“ถูก ถูก ถูกแล้ว”
ภิกษุรูปที่สอง ชี้แจงว่า “ถ้าว่าโดยเจตนากันแล้ว
หากมีคนใดไปเหยียบหอยทาก เวลาเดินไปสวดมนต์ตอนมืดๆ
นั่นก็มิใช่เจตนาฆ่า เมื่อไม่มีเจตนา ก็มิใช่เป็นกรรมอันใด
ผลยังทำให้ชาวบ้านไม่ต้องเดือดร้อนกับหอยทากอันเป็นสัตว์ทำลายพืชผล
ทั้งคนในวัดยังปลอดภัยจากโรคที่มันเป็นพาหะอีกด้วย
เป็นผลดีทั้งตัวเองและผู้อื่น มิใช่หรือครับหลวงพ่อ”
ท่านอาจารย์พอฟังจบแล้วก็ตอบแสดงความชอบใจว่า
“ถูก ถูก ถูกแล้ว”
ภิกษุรูปที่สาม ชี้แจงว่า “การบำเพ็ญธรรมให้ความปลอดภัยแก่คนส่วนใหญ่
โดยมีใครคนใดคนหนึ่งเสียสละ รับเป็นภาระไปเสีย
เป็นการเปิดโอกาสให้ทุกๆ คนเขาได้ประกอบกระทำความหลุดรอดไปตามทางของเขา
ตลอดถึงสัตว์ใดๆ แม้จะอยู่ในร่างที่ต่ำต้อย ธรรมชาติแห่งความตรัสรู้ก็มิได้น้อยไปหรือมากขึ้น
เพียงปัญญาญาณโพลงวาบเดียว ผลกรรมใดๆ แม้มากน้อยเท่าใด
ย่อมถูกลกเลิกเสียหมดสิ้น ดูแต่มหาโจรใจร้าย
บาปกรรมเกรอะกรังก็ยังเปลื้องกรรมอันอนันต์นั้นได้เพียงชั่วอึดใจเดียว
อย่างนี้จะมิเป็นการถูกต้องหรือครับหลวงพ่อ”
ท่านอาจารย์พอฟังจบแล้วก็ตอบแสดงความชอบใจว่า
“ถูก ถูก ถูกแล้ว”
ขณะนั้น สามเณรอุปัฏฐาก กำลังนั่งพัดอยู่ข้างหลังอาจารย์ผู้เฒ่า
ได้ฟังเขาชี้แจงทีละคนๆ และหลวงพ่อก็ยอมรับว่าแต่ละรายล้วนถูก ถูก ถูก
เณรอดทนฟังต่อไปไม่ได้ ก็เอ่ยขัดขึ้น เพื่อขอโอกาสแสดงความคิดเห็น หลวงพ่อโตกุซัน
ทราบดังนั้นก็เหลียวหมุนตัวมาฟังอย่างตั้งใจสามเณรอีกรายหนึ่ง….
สามเณรน้อยติงว่า “หลวงพ่อได้แต่ร้องว่า ถูก ถูก ถูก
มันจะมีถูกกันไปหมดทุกฝ่ายได้อย่างไร ถ้ามีอันใดถูก อันอื่นก็ต้องผิดซิหลวงพ่อ”
ท่านอาจารย์พอฟังจบแล้วก็ตอบแสดงความชอบใจอีกว่า
“อ๊ะ ! เธอนี่ก็ ถูก ถูก ถูกแล้ว”
...ที่มา [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้