ลักษณะธุรกิจ
ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสอาหาร ภายใต้เครื่องหมายการค้า ภูเขาทอง ประกอบด้วยซอสปรุงรส ซอสพริก น้ำส้มสายชูกลั่น ซอสมะเขือเทศ ซอสพริกผสมมะเขือเทศ ซอสหอยนางรม ซีอิ๊วขาว ซอสผง ซีอิ๊วผง ซอสหอยนางรม ต้าไฮ ซอสพริก ศรีราชาพานิช และซีอิ๊วญี่ปุ่น คินซัน นอกจากนี้ยังผลิตตามเครื่องหมายการค้าของลูกค้าด้วย
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่
1. นายปริญญา วิญญรัตน์ ถือหุ้นในสัดส่วน 33.10%
***หากดูในผู้ถือหุ้นอันดับ 2 - 10 จะพบว่า เครือวิญญรัตน์ ถือหุ้นค่อนข้างเยอะมาก
อาจเรียกได้ว่า เป็นธุรกิจครอบครัวเลยก็ได้ครับ***
และหากลองย้อนกลับไปในช่วงปี 1997 ผู้บริหารถือหุ้นเพียง 18%
แต่ปัจจุบัน จะพบว่าทางผู้บริหารซื้อหุ้นตัวเองกลับคืนมาตลอดจนรวมแล้วล่าสุดอยุ่ที่ 33%
ส่วน เครือวิญญรัตน์ ท่านอื่นๆ ก็เก็บสะสมเพิ่มขึ้นเหมือนกันครับ โดยตัวอย่างจะอยู่ในภาพด้านล่างครับผม
ดังนั้น น้องสี่คิดว่า ผู้บริหารท่านและเครือวิญญรัตน์ คงต้องเห็นอะไรดีๆ จากธุรกิจที่ตัวเองทำอยู่และมีความเชื่อมั่นในกิจการที่สูงมาก
จึงได้ซื้อหุ้นเก็บคืนมาโดยตลอดครับผม โดยน้องสี่ได้ไปพบข้อมูลเพิ่มเติมใน 59-2 รายงานการซื้อ-ขาย ของผู้บริหาร ครับ
จะเห็นได้ว่า ในช่วงเดือนธันวาคม 2555 ผู้บริหารได้ซื้อหุ้นตัวเอง Big Lot คืนไปประมาณ 9 ล้านหุ้น ที่ราคาประมาณ 30 บาท
แล้วถ้าเทียบกับราคาในตลาดปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 26 บาท ก็อาจมองได้อีกนัยหนึ่งว่า เราได้ซื้อหุ้นที่ถูกกว่า ผู้บริหารซื้อในครั้งนั้น
แต่จริงๆแล้ว น้องสี่อยากให้ดูในเรื่องของอนาคตมากกว่านะครับ
เพราะถ้าดูๆ แล้วเราอาจจะซื้อถูกกว่า ผบ. ที่ราคา 26 บาท (แต่ต้นทุนของผู้บริหาร ก็อาจจะถูกกว่าเราก็ได้ ถ้าเค้าถือมาก่อนเรา)
ดังนั้นหลักๆ ควรไปดูในส่วนถัดไปคืองบการเงินกันนะครับ
หากบางท่านสงสัยเรื่อง เอ๊ะ ทำไมน้องสี่เอาปี 1997 กับ ปี 2014 มาเทียบกัน
แล้วจำนวนหุ้นมันไม่เท่ากันละ? น้องสี่ข้อมูลผิดหรือเปล่า > . <"
อ๋อออออออ คือมันมีที่มาอย่างนี้นะครับ มาจากทางหุ้น Sauce มีการปรับราคา Par จาก 10 บาท เหลือ 1 บาทครับ
เลยทำให้จำนวนหุ้นมันเพิ่มขึ้นครับ ดังนั้น หากวิเคราะห์ให้ใช้ดู % สัดส่วนการถือหุ้นเป็นหลักครับผม
ด้านงบการเงิน
1. รายได้ขยับสูงขึ้นในทุกๆ ปี
2. กำไรสุทธิโตตามรายได้
3. RoA สูง
4. RoE สูง
5. Net Profit Margin อยู่ในระดับ 15% - 20% ในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา
หากวิเคราะห์จาก 5 ข้อด้านบนจะพบว่า ธุรกิจค่อนข้างมีความเสมอต้น เสมอปลายในการรักษาการทำกำไรได้ดี
ประกอบกับสามารถสร้างยอดขายได้สูงขึ้นเรื่อยๆ แม้เพิ่มไม่มาก แต่ค่อนข้างมั่นคงครับ
แต่หากไปดูในส่วนของ PE , P/BV จะพบว่าค่อนข้างอยู่ในระดับที่สูง
P/E ประมาณ 18-19 เท่า
P/BV ประมาณ 3 เท่ากว่าๆ
ซึ่งบางท่านอาจจะมองว่าไม่ค่อยคุ้มค่ากับการลงทุนเท่าไหร่นัก เนื่องจาก P/E , P/BV ค่อนข้างมากครับ
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าไปดูในแง่ของการจ่ายเงินปันผลของ Sauce จะเห็นได้ว่า
Sauce ได้จ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมาครับ (1994 - 2013)
และเมื่อนำมาคิดเป็น Dividend Yield ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
จะได้ Yield อยู่ที่ประมาณ 5% ก็ค่อนข้างน่าสนใจในระดับหนึ่งครับ
อีกทั้งเมื่อน้องสี่ได้เจาะงบลงไปในสัดส่วนของ สินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน ( Assets = Liabilities + Equity )
จะพบว่า ทาง Sauce แทบจะไม่มีหนี้สินเลยครับ เพราะว่า หนี้สินส่วนใหญ่ของ Sauce คือเจ้าหนี้การค้า
ซึ่งเจ้าหนี้การค้านี้ก็ไม่ได้สร้างภาระในการที่จะต้องเสียดอกเบี้ยจ่ายจากการกู้เงินจาก Bank ต่างๆ ครับ
ดังนั้น จึงอาจมองได้ว่า Sauce เป็นกิจการที่ไม่มีภาระหนี้สินอยู่เลยก็เป็นได้ครับ
และหากไปเจาะดูในส่วนของสินทรัพย์ พบว่ากิจการมีสินทรัพย์หมุนเวียนอยู่เยอะมากครับ
จึงทำให้กิจการมีสภาพคล่องทีค่อนข้างดีมาก หนี้สินไม่มี ไม่ต้องกังวลเรื่องดอกเบี้ยจ่าย ครับผม
ด้านกราฟ
กราฟ Day
กราฟ Week
กราฟ Month
จากกราฟทั้ง 3 จะเห็นว่า ยิ่งเรามองกราฟในภาพใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
จากภาพ Day เป็นภาพ Week จากภาพ Week เป็นภาพ Month
เราก็จะเห็นทิศทางที่ว่าราคา ณ ตอนนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับเงินปันผลที่ได้รับคุ้มค่าหรือเปล่า
ซึ่งจากกราฟในภาพทั้ง 3 จะเห็นว่าราคาได้ลงแรงๆ ไปทดสอบที่ประมาณ 23 บาท
ซึ่งหากลองย้อนไปดูในช่วงนั้น ก็คือ Set อยู่ในช่วงขาลง + กับต้นเดือนมกราคม ที่ราคาได้ Panic Sell เกินไป
และหลังจากนั้นก็ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมาเรื่อยๆ มาอยู่ที่แถวๆ 26 บาทในปัจจุบัน
หากมองในอนาคตแล้ว น้องสี่คาดการณ์ว่า
1. หากราคาไม่หลุดเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันในภาพ Week
2. และไม่หลุดเส้นค่าเฉลี่ย 50 วันในภาพ Month (จะเห็นว่า ทุกๆ ครั้งที่ Test เส้น 50 วันในภาพ Month จะรับอยู่ แล้วครั้งนี้ละ?)
ณ จุดแถวนี้ คือราคาประมาณ 24 - 26 บาท ก็อาจจะเป็นจุดที่น่าสนใจของหุ้นตัวนี้ก็เป็นได้
เพราะหากมองในเชิง Product แล้ว ค่อนข้างเป็นที่รู้จัก และ นิยมใช้กันในบการปรุงอาหารตามบ้านครัวเรือนต่างๆ
ประกอบกับการที่ "เครือวิญญรัตน์" ก็เก็บหุ้นคืนตลอด มันก็เลยทำให้น่าคิดนะครับ ว่าทางนั้นเค้าคิดอะไรกันอยู่?
แต่อย่างไรก็ตาม หุ้น Sauce ก็มีจุดอ่อนนะครับ ตามไปดูกันครับ
ข้อคววระวัง Sauce !!
เนื่องจากการที่หุ้นส่วนใหญ่อยู่ในมือของเจ้าของเป็นจำนวนมาก (อยู่ในเครือวิญญรัตน์)
จึงทำให้สภาพคล่องของหุ้น Sauce ก็น้อยตามไปด้วยเช่นกัน
ดังนั้น น้องสี่คิดว่า หากจะลงทุนเพื่อเก็งกำไรอาจจะไม่เหมาะเท่าที่ควรครับ
น่าจะเหมาะกับการลงทุนในระยะยาวเพื่อรับปันผลในอนาคตและโตไปกับกิจการจึงน่าจะเหมาะสมกว่านะครับ
การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนและนักลงทุนควรหาความรู้และตัดสินใจให้ดีก่อนการลงทุนนะครับ
สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : "ฅนเล่นหุ้น" นะครับ
https://www.facebook.com/StockTrader.Club
Time : 22.44 น.
13. วิเคราะห์หุ้น SAUCE : บริษัท ไทยเทพรส จำกัด (มหาชน)
ลักษณะธุรกิจ
ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสอาหาร ภายใต้เครื่องหมายการค้า ภูเขาทอง ประกอบด้วยซอสปรุงรส ซอสพริก น้ำส้มสายชูกลั่น ซอสมะเขือเทศ ซอสพริกผสมมะเขือเทศ ซอสหอยนางรม ซีอิ๊วขาว ซอสผง ซีอิ๊วผง ซอสหอยนางรม ต้าไฮ ซอสพริก ศรีราชาพานิช และซีอิ๊วญี่ปุ่น คินซัน นอกจากนี้ยังผลิตตามเครื่องหมายการค้าของลูกค้าด้วย
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่
1. นายปริญญา วิญญรัตน์ ถือหุ้นในสัดส่วน 33.10%
***หากดูในผู้ถือหุ้นอันดับ 2 - 10 จะพบว่า เครือวิญญรัตน์ ถือหุ้นค่อนข้างเยอะมาก
อาจเรียกได้ว่า เป็นธุรกิจครอบครัวเลยก็ได้ครับ***
และหากลองย้อนกลับไปในช่วงปี 1997 ผู้บริหารถือหุ้นเพียง 18%
แต่ปัจจุบัน จะพบว่าทางผู้บริหารซื้อหุ้นตัวเองกลับคืนมาตลอดจนรวมแล้วล่าสุดอยุ่ที่ 33%
ส่วน เครือวิญญรัตน์ ท่านอื่นๆ ก็เก็บสะสมเพิ่มขึ้นเหมือนกันครับ โดยตัวอย่างจะอยู่ในภาพด้านล่างครับผม
ดังนั้น น้องสี่คิดว่า ผู้บริหารท่านและเครือวิญญรัตน์ คงต้องเห็นอะไรดีๆ จากธุรกิจที่ตัวเองทำอยู่และมีความเชื่อมั่นในกิจการที่สูงมาก
จึงได้ซื้อหุ้นเก็บคืนมาโดยตลอดครับผม โดยน้องสี่ได้ไปพบข้อมูลเพิ่มเติมใน 59-2 รายงานการซื้อ-ขาย ของผู้บริหาร ครับ
จะเห็นได้ว่า ในช่วงเดือนธันวาคม 2555 ผู้บริหารได้ซื้อหุ้นตัวเอง Big Lot คืนไปประมาณ 9 ล้านหุ้น ที่ราคาประมาณ 30 บาท
แล้วถ้าเทียบกับราคาในตลาดปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 26 บาท ก็อาจมองได้อีกนัยหนึ่งว่า เราได้ซื้อหุ้นที่ถูกกว่า ผู้บริหารซื้อในครั้งนั้น
แต่จริงๆแล้ว น้องสี่อยากให้ดูในเรื่องของอนาคตมากกว่านะครับ
เพราะถ้าดูๆ แล้วเราอาจจะซื้อถูกกว่า ผบ. ที่ราคา 26 บาท (แต่ต้นทุนของผู้บริหาร ก็อาจจะถูกกว่าเราก็ได้ ถ้าเค้าถือมาก่อนเรา)
ดังนั้นหลักๆ ควรไปดูในส่วนถัดไปคืองบการเงินกันนะครับ
หากบางท่านสงสัยเรื่อง เอ๊ะ ทำไมน้องสี่เอาปี 1997 กับ ปี 2014 มาเทียบกัน
แล้วจำนวนหุ้นมันไม่เท่ากันละ? น้องสี่ข้อมูลผิดหรือเปล่า > . <"
อ๋อออออออ คือมันมีที่มาอย่างนี้นะครับ มาจากทางหุ้น Sauce มีการปรับราคา Par จาก 10 บาท เหลือ 1 บาทครับ
เลยทำให้จำนวนหุ้นมันเพิ่มขึ้นครับ ดังนั้น หากวิเคราะห์ให้ใช้ดู % สัดส่วนการถือหุ้นเป็นหลักครับผม
ด้านงบการเงิน
1. รายได้ขยับสูงขึ้นในทุกๆ ปี
2. กำไรสุทธิโตตามรายได้
3. RoA สูง
4. RoE สูง
5. Net Profit Margin อยู่ในระดับ 15% - 20% ในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา
หากวิเคราะห์จาก 5 ข้อด้านบนจะพบว่า ธุรกิจค่อนข้างมีความเสมอต้น เสมอปลายในการรักษาการทำกำไรได้ดี
ประกอบกับสามารถสร้างยอดขายได้สูงขึ้นเรื่อยๆ แม้เพิ่มไม่มาก แต่ค่อนข้างมั่นคงครับ
แต่หากไปดูในส่วนของ PE , P/BV จะพบว่าค่อนข้างอยู่ในระดับที่สูง
P/E ประมาณ 18-19 เท่า
P/BV ประมาณ 3 เท่ากว่าๆ
ซึ่งบางท่านอาจจะมองว่าไม่ค่อยคุ้มค่ากับการลงทุนเท่าไหร่นัก เนื่องจาก P/E , P/BV ค่อนข้างมากครับ
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าไปดูในแง่ของการจ่ายเงินปันผลของ Sauce จะเห็นได้ว่า
Sauce ได้จ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมาครับ (1994 - 2013)
และเมื่อนำมาคิดเป็น Dividend Yield ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
จะได้ Yield อยู่ที่ประมาณ 5% ก็ค่อนข้างน่าสนใจในระดับหนึ่งครับ
อีกทั้งเมื่อน้องสี่ได้เจาะงบลงไปในสัดส่วนของ สินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน ( Assets = Liabilities + Equity )
จะพบว่า ทาง Sauce แทบจะไม่มีหนี้สินเลยครับ เพราะว่า หนี้สินส่วนใหญ่ของ Sauce คือเจ้าหนี้การค้า
ซึ่งเจ้าหนี้การค้านี้ก็ไม่ได้สร้างภาระในการที่จะต้องเสียดอกเบี้ยจ่ายจากการกู้เงินจาก Bank ต่างๆ ครับ
ดังนั้น จึงอาจมองได้ว่า Sauce เป็นกิจการที่ไม่มีภาระหนี้สินอยู่เลยก็เป็นได้ครับ
และหากไปเจาะดูในส่วนของสินทรัพย์ พบว่ากิจการมีสินทรัพย์หมุนเวียนอยู่เยอะมากครับ
จึงทำให้กิจการมีสภาพคล่องทีค่อนข้างดีมาก หนี้สินไม่มี ไม่ต้องกังวลเรื่องดอกเบี้ยจ่าย ครับผม
ด้านกราฟ
กราฟ Day
กราฟ Week
กราฟ Month
จากกราฟทั้ง 3 จะเห็นว่า ยิ่งเรามองกราฟในภาพใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
จากภาพ Day เป็นภาพ Week จากภาพ Week เป็นภาพ Month
เราก็จะเห็นทิศทางที่ว่าราคา ณ ตอนนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับเงินปันผลที่ได้รับคุ้มค่าหรือเปล่า
ซึ่งจากกราฟในภาพทั้ง 3 จะเห็นว่าราคาได้ลงแรงๆ ไปทดสอบที่ประมาณ 23 บาท
ซึ่งหากลองย้อนไปดูในช่วงนั้น ก็คือ Set อยู่ในช่วงขาลง + กับต้นเดือนมกราคม ที่ราคาได้ Panic Sell เกินไป
และหลังจากนั้นก็ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมาเรื่อยๆ มาอยู่ที่แถวๆ 26 บาทในปัจจุบัน
หากมองในอนาคตแล้ว น้องสี่คาดการณ์ว่า
1. หากราคาไม่หลุดเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันในภาพ Week
2. และไม่หลุดเส้นค่าเฉลี่ย 50 วันในภาพ Month (จะเห็นว่า ทุกๆ ครั้งที่ Test เส้น 50 วันในภาพ Month จะรับอยู่ แล้วครั้งนี้ละ?)
ณ จุดแถวนี้ คือราคาประมาณ 24 - 26 บาท ก็อาจจะเป็นจุดที่น่าสนใจของหุ้นตัวนี้ก็เป็นได้
เพราะหากมองในเชิง Product แล้ว ค่อนข้างเป็นที่รู้จัก และ นิยมใช้กันในบการปรุงอาหารตามบ้านครัวเรือนต่างๆ
ประกอบกับการที่ "เครือวิญญรัตน์" ก็เก็บหุ้นคืนตลอด มันก็เลยทำให้น่าคิดนะครับ ว่าทางนั้นเค้าคิดอะไรกันอยู่?
แต่อย่างไรก็ตาม หุ้น Sauce ก็มีจุดอ่อนนะครับ ตามไปดูกันครับ
ข้อคววระวัง Sauce !!
เนื่องจากการที่หุ้นส่วนใหญ่อยู่ในมือของเจ้าของเป็นจำนวนมาก (อยู่ในเครือวิญญรัตน์)
จึงทำให้สภาพคล่องของหุ้น Sauce ก็น้อยตามไปด้วยเช่นกัน
ดังนั้น น้องสี่คิดว่า หากจะลงทุนเพื่อเก็งกำไรอาจจะไม่เหมาะเท่าที่ควรครับ
น่าจะเหมาะกับการลงทุนในระยะยาวเพื่อรับปันผลในอนาคตและโตไปกับกิจการจึงน่าจะเหมาะสมกว่านะครับ
การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนและนักลงทุนควรหาความรู้และตัดสินใจให้ดีก่อนการลงทุนนะครับ
สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : "ฅนเล่นหุ้น" นะครับ
https://www.facebook.com/StockTrader.Club
Date : 14 July 2014
Time : 22.44 น.
บทวิเคราะห์ที่น้องสี่ได้วิเคราะห์ไว้นะครับ Season 1
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บทวิเคราะห์ที่น้องสี่ได้วิเคราะห์ไว้นะครับ Season 2
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้