สวัสดีครับ
พอดีช่วงหยุดยาวที่ผ่านมาผมอยู่บ้านคนเดียวเลยมีฟิลหลอนๆ ขึ้นมา เลยอยากลองมาเล่าเรื่องเหนือธรรมชาติที่เคยได้ฟังจากพวกผู้ใหญ่ให้ฟังกัน
คือเมื่อหลายปีมาแล้วครับ ตอนนั้นเป็นช่วงปีใหม่ ผมกับครอบครัวก็กลับไปเยี่ยมญาติๆ ที่ต่างจังหวัดกัน พอตกเย็นพวกผู้ใหญ่เค้าก็หาฟงหาฟืนมาก่อไฟอะครับเพราะอากาศมันเย็นใช้ได้เลย พอพวกผู้ใหญ่ก่อไฟกันเสร็จพวกเด็กๆ ซึ่งตอนนั้นรวมถึงผมด้วยก็พากันวิ่งกรูกันมานั่งผิงไฟรอบๆ ตอนแรกก็นั่งฟังผู้ใหญ่เค้าคุยกันไปปกติ แต่พอเริ่มดึกบรรยากาศมันก็พาไปอะนะครับ ด้วยความที่มันเป็นชนบทอะมองไปทางไหนก็เจอแต่ต้นไม้ใหญ่ๆ เพราะเค้าทำสวนกันเยอะ อากาศเย็นๆ แถมเป็นคืนเดือนแรมอีก topic รอบกองไฟก็เลยเปลี่ยนเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติไป
ป้าผมเริ่มเล่าเป็นคนแรก เรื่องมันมีอยู่ว่า...
เมื่อหลายสิบปีก่อน หลังจากป้าผมย้ายเข้าไปอยู่ที่กรุงเทพได้ไม่นาน ป้าก็ได้รับข่าวร้ายจากทางบ้านว่าเพื่อนของป้าตั้งแต่สมัยมัธยมที่บ้านอยู่ใกล้ๆ กันเสียชีวิตเพราะแขวนคอตายในบ้านครับ พอป้าเริ่มเกริ่นๆ พวกเด็กก็ค่อยๆ เขยิบเข้ามานั่งชิดกันมากขึ้นเพื่อให้รู้สึกอุ่นใจ ป้าชี้ไปที่บ้านไม้เก่าๆ หลังนึงที่อยู่หลังคอกควายออกไปไม่ไกลเท่าไหร่ คือแสงสว่างตอนนั้นก็มีแค่กองไฟนั่นแหละครับ เดินจากนี้ไปอีกไม่กี่ก้าวก็มองอะไรไม่ค่อยเห็นแล้ว แต่เพราะหลังคาสังกะสีของบ้านหลังนั้นที่สะท้อนกับแสงพระจันทร์ลางๆ เลยทำให้พอเดาได้ว่าตรงนั้นมีบ้านปลูกอยู่จริงๆ พวกผมก็มองตามนิ้วป้าไป ก็พอจะจับใจความได้ว่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปต้องมีบ้านหลังนั้นเป็นฉากแน่ๆ
เรื่องมันเกิดขึ้นหลังจากที่ป้า
สำลีแกแต่งงานครับ แต่เดิมที่ตรงนั้นก็ไม่ได้เป็นบ้านคนหรอก เป็นแค่ป่าไผ่รกๆ พอป้าสำลีแกใกล้จะแต่งงาน แฟนแกก็เลยมาปลูกเรือนหอขึ้นที่นี่ซึ่งก็เป็นที่ของพ่อแม่ป้าสำลีแกนั่นแหละ แฟนป้าสำลีแกเป็นคนหน้าตาดีครับ ก็เป็นธรรมดาที่จะมีคนนู้นคนนี้เข้ามาเกาะแกะ แต่ป้าสำลีแกใจกว้างก็เลยไม่ได้อะไรมาก ก็คบกันมานานจนได้แต่งกันจนได้ วันแต่งงานของแกป้าผมยังไปร่วมแสดงความยินดีอยู่เลยครับ หลังจากแต่งงานได้ไม่นานผู้ชายก็เริ่มจะออกลาย กลับบ้านดึกบ้าง หรือบางวันก็ไม่กลับบ้านเลย จนป้าสำลีแกเริ่มน้อยใจแล้วก็มีปากเสียงกันอยู่เรื่อยๆ ฝ่ายผู้ชายเองก็คงรำคาญป้าสำลีก็เลยยิ่งทำตัวเสเพลกันไปใหญ่ จนชาวบ้านเค้านินทากันไปทั่ว ป้าสำลีแกก็ทนไม่ไหว เลยตกลงกับแฟนแต่ก็ไม่มีประโยชน์ครับ มีอยู่ครั้งนึงด้วยความน้อยใจแกเลยขู่แฟนแกว่าถ้าหนีไปนอนกับผู้หญิงคนอื่นอีก
แกจะผูกคอตายให้ดู!
เล่ามาถึงตอนนี้พวกผมก็ขนลุกเกรียวกันเลยครับ แทบจะกระโดดไปนั่งตักพวกผู้ใหญ่กันเลย คงเป็นเพราะที่ที่เรานั่งกันอยู่นี่มันห่างจากบ้านหลังนั้นแค่ไม่กี่ก้าวด้วยแหละ มันเลยรู้สึกว่าเหมือนตัวเองอยู่ในเหตุการณ์ยังไงก็ไม่รู้
หลังจากที่ป้าสำลีแกตัดพ้อกับแฟนไปวันนั้นหลายๆ คนอาจจะคิดว่าแฟนแกจะกลับตัวกลับใจใช่มั้ยครับ คุณคิดผิด! คำพูดของป้าสำลีก็เป็นแค่ลมที่พ่นออกมาจากปากผู้หญิงขี้น้อยใจคนนึงเท่านั้นแหละ วันต่อมาแฟนแกก็ออกไปทำงานแต่เช้า แต่งตัวดูดีผิดปกติ ฉีดน้ำหอมซะฉุนเลย แล้วก็หายจากบ้านไปหนึ่งวันเต็มๆ โผล่มาอีกก็ประมาณ 4-5 ทุ่มของวันต่อมา แต่วันนี้แปลกที่ป้าสำลีแกเปิดไฟบ้านชั้นล่างเอาไว้ ปกติป้าสำลีแกจะปิดไฟนอนไปตั้งแต่ 2-3 ทุ่มแล้วอะครับ แฟนแกก็ไม่ได้เอะใจอะไรแล้วคงลืมคำขู่ของป้าสำลีไปแล้ว แกก็ไขกุญแจเข้าบ้านแบบไม่ได้สนใจอะไร พอเข้ามาในบ้านก็ถอดเสื้อคลุม ถอดนาฬิกาอะไรของแกไว้บนโต๊ะ แล้วก็เดินขึ้นบันไดไปชั้นสองของบ้านที่สร้างจากไม้และปิดไฟมืดไว้!
ประมาณบันไดขั้นที่สาม...
ก็มีวัตถุขนาดใหญ่หล่นลงมาห้อยต่องแต่งอยู่ตรงบันได! แฟนป้าสำลีแกก็กระโดดหลบลงมาข้างล่างตามสันชาตญาณอะครับ พอหายตกใจแกก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นดูว่าอะไรมันหล่นลงมา ภาพที่เห็นก็คือร่างภรรยาของแกที่เพิ่งกลายเป็นศพไปเมื่อไม่กี่อึดใจมะกี้ ศพยังแกว่งไปแกว่งมาอยู่เลยครับ พร้อมกับเสียง แอดดดดด แอดดดดดด ของไม้ที่เชือกผูกเอาไว้ แถมยังมีเลือดไหลออกมาจากตาด้วย ป้าแกผูกคอตายให้แฟนแกดูจริงๆ!
ป้าสำลีแกใช้เชือกผูกกับรั้วกั้นบันไดที่ชั้นสองไว้อะครับ แล้วรอจังหวะที่แฟนแกกลับมาบ้านเพื่อจะกระโดดลงมาตายที่บันไดต่อหน้าแฟนแก เพราะเหตุนี้แกเลยตายคาที่เพราะกระดูกคอหัก ไม่เหมือนกันคนที่แขวนคอตายทั่วๆ ไป หลังจากนั้นแฟนแกก็ย้ายออกไปจากบ้านนั้นทันที และไม่มางานศพป้าแกด้วย ด้วยความเฮี้ยนของป้าสำลีทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปในบ้านหลังนั้นอีกเลย โดยเฉพาะเดินขึ้นชั้นสอง ทำให้บนชั้นสองยังมีข้าวของของป้าแกอยู่ครบ
มีครั้งนึงโจรบุกขึ้นบ้านแกเพราะได้ข่าวมาว่าบนบ้านร้างหลังนี้ยังมีของมีค่าเหลืออยู่ มันก็พังประตูบ้านเข้าไปทั้งมืดๆ แบบนั้นแหละครับ แล้วก็เจอวัตถุแปลกปลอมหล่นจากชั้นสองลงมากลิ้งหลุนๆ อยู่หน้าบันได พอมันสาดไฟฉายไปโดนเท่านั้นแหละ ก็แหกปากกันวิ่งออกมาจนชาวบ้านเค้าไปล้อมจับไว้ได้ทั้งหมด
หลังจากป้าเล่าจบ แกก็ปล่อยให้พวกเรานั่งพักหายใจหายคอกันซักพักเพราะเห็นนั่งตัวเกร็งกันมานาน พอเห็นว่าพวกเราเริ่มหายกลัวกันแล้ว พ่อผมที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เริ่มเล่าประสบการณ์ของตัวเองบ้าง...
>>> เรื่องสยอง...รอบกองไฟ <<<
พอดีช่วงหยุดยาวที่ผ่านมาผมอยู่บ้านคนเดียวเลยมีฟิลหลอนๆ ขึ้นมา เลยอยากลองมาเล่าเรื่องเหนือธรรมชาติที่เคยได้ฟังจากพวกผู้ใหญ่ให้ฟังกัน
คือเมื่อหลายปีมาแล้วครับ ตอนนั้นเป็นช่วงปีใหม่ ผมกับครอบครัวก็กลับไปเยี่ยมญาติๆ ที่ต่างจังหวัดกัน พอตกเย็นพวกผู้ใหญ่เค้าก็หาฟงหาฟืนมาก่อไฟอะครับเพราะอากาศมันเย็นใช้ได้เลย พอพวกผู้ใหญ่ก่อไฟกันเสร็จพวกเด็กๆ ซึ่งตอนนั้นรวมถึงผมด้วยก็พากันวิ่งกรูกันมานั่งผิงไฟรอบๆ ตอนแรกก็นั่งฟังผู้ใหญ่เค้าคุยกันไปปกติ แต่พอเริ่มดึกบรรยากาศมันก็พาไปอะนะครับ ด้วยความที่มันเป็นชนบทอะมองไปทางไหนก็เจอแต่ต้นไม้ใหญ่ๆ เพราะเค้าทำสวนกันเยอะ อากาศเย็นๆ แถมเป็นคืนเดือนแรมอีก topic รอบกองไฟก็เลยเปลี่ยนเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติไป
ป้าผมเริ่มเล่าเป็นคนแรก เรื่องมันมีอยู่ว่า...
เมื่อหลายสิบปีก่อน หลังจากป้าผมย้ายเข้าไปอยู่ที่กรุงเทพได้ไม่นาน ป้าก็ได้รับข่าวร้ายจากทางบ้านว่าเพื่อนของป้าตั้งแต่สมัยมัธยมที่บ้านอยู่ใกล้ๆ กันเสียชีวิตเพราะแขวนคอตายในบ้านครับ พอป้าเริ่มเกริ่นๆ พวกเด็กก็ค่อยๆ เขยิบเข้ามานั่งชิดกันมากขึ้นเพื่อให้รู้สึกอุ่นใจ ป้าชี้ไปที่บ้านไม้เก่าๆ หลังนึงที่อยู่หลังคอกควายออกไปไม่ไกลเท่าไหร่ คือแสงสว่างตอนนั้นก็มีแค่กองไฟนั่นแหละครับ เดินจากนี้ไปอีกไม่กี่ก้าวก็มองอะไรไม่ค่อยเห็นแล้ว แต่เพราะหลังคาสังกะสีของบ้านหลังนั้นที่สะท้อนกับแสงพระจันทร์ลางๆ เลยทำให้พอเดาได้ว่าตรงนั้นมีบ้านปลูกอยู่จริงๆ พวกผมก็มองตามนิ้วป้าไป ก็พอจะจับใจความได้ว่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปต้องมีบ้านหลังนั้นเป็นฉากแน่ๆ
เรื่องมันเกิดขึ้นหลังจากที่ป้าสำลีแกแต่งงานครับ แต่เดิมที่ตรงนั้นก็ไม่ได้เป็นบ้านคนหรอก เป็นแค่ป่าไผ่รกๆ พอป้าสำลีแกใกล้จะแต่งงาน แฟนแกก็เลยมาปลูกเรือนหอขึ้นที่นี่ซึ่งก็เป็นที่ของพ่อแม่ป้าสำลีแกนั่นแหละ แฟนป้าสำลีแกเป็นคนหน้าตาดีครับ ก็เป็นธรรมดาที่จะมีคนนู้นคนนี้เข้ามาเกาะแกะ แต่ป้าสำลีแกใจกว้างก็เลยไม่ได้อะไรมาก ก็คบกันมานานจนได้แต่งกันจนได้ วันแต่งงานของแกป้าผมยังไปร่วมแสดงความยินดีอยู่เลยครับ หลังจากแต่งงานได้ไม่นานผู้ชายก็เริ่มจะออกลาย กลับบ้านดึกบ้าง หรือบางวันก็ไม่กลับบ้านเลย จนป้าสำลีแกเริ่มน้อยใจแล้วก็มีปากเสียงกันอยู่เรื่อยๆ ฝ่ายผู้ชายเองก็คงรำคาญป้าสำลีก็เลยยิ่งทำตัวเสเพลกันไปใหญ่ จนชาวบ้านเค้านินทากันไปทั่ว ป้าสำลีแกก็ทนไม่ไหว เลยตกลงกับแฟนแต่ก็ไม่มีประโยชน์ครับ มีอยู่ครั้งนึงด้วยความน้อยใจแกเลยขู่แฟนแกว่าถ้าหนีไปนอนกับผู้หญิงคนอื่นอีกแกจะผูกคอตายให้ดู!
เล่ามาถึงตอนนี้พวกผมก็ขนลุกเกรียวกันเลยครับ แทบจะกระโดดไปนั่งตักพวกผู้ใหญ่กันเลย คงเป็นเพราะที่ที่เรานั่งกันอยู่นี่มันห่างจากบ้านหลังนั้นแค่ไม่กี่ก้าวด้วยแหละ มันเลยรู้สึกว่าเหมือนตัวเองอยู่ในเหตุการณ์ยังไงก็ไม่รู้
หลังจากที่ป้าสำลีแกตัดพ้อกับแฟนไปวันนั้นหลายๆ คนอาจจะคิดว่าแฟนแกจะกลับตัวกลับใจใช่มั้ยครับ คุณคิดผิด! คำพูดของป้าสำลีก็เป็นแค่ลมที่พ่นออกมาจากปากผู้หญิงขี้น้อยใจคนนึงเท่านั้นแหละ วันต่อมาแฟนแกก็ออกไปทำงานแต่เช้า แต่งตัวดูดีผิดปกติ ฉีดน้ำหอมซะฉุนเลย แล้วก็หายจากบ้านไปหนึ่งวันเต็มๆ โผล่มาอีกก็ประมาณ 4-5 ทุ่มของวันต่อมา แต่วันนี้แปลกที่ป้าสำลีแกเปิดไฟบ้านชั้นล่างเอาไว้ ปกติป้าสำลีแกจะปิดไฟนอนไปตั้งแต่ 2-3 ทุ่มแล้วอะครับ แฟนแกก็ไม่ได้เอะใจอะไรแล้วคงลืมคำขู่ของป้าสำลีไปแล้ว แกก็ไขกุญแจเข้าบ้านแบบไม่ได้สนใจอะไร พอเข้ามาในบ้านก็ถอดเสื้อคลุม ถอดนาฬิกาอะไรของแกไว้บนโต๊ะ แล้วก็เดินขึ้นบันไดไปชั้นสองของบ้านที่สร้างจากไม้และปิดไฟมืดไว้!
ประมาณบันไดขั้นที่สาม...
ก็มีวัตถุขนาดใหญ่หล่นลงมาห้อยต่องแต่งอยู่ตรงบันได! แฟนป้าสำลีแกก็กระโดดหลบลงมาข้างล่างตามสันชาตญาณอะครับ พอหายตกใจแกก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นดูว่าอะไรมันหล่นลงมา ภาพที่เห็นก็คือร่างภรรยาของแกที่เพิ่งกลายเป็นศพไปเมื่อไม่กี่อึดใจมะกี้ ศพยังแกว่งไปแกว่งมาอยู่เลยครับ พร้อมกับเสียง แอดดดดด แอดดดดดด ของไม้ที่เชือกผูกเอาไว้ แถมยังมีเลือดไหลออกมาจากตาด้วย ป้าแกผูกคอตายให้แฟนแกดูจริงๆ!
ป้าสำลีแกใช้เชือกผูกกับรั้วกั้นบันไดที่ชั้นสองไว้อะครับ แล้วรอจังหวะที่แฟนแกกลับมาบ้านเพื่อจะกระโดดลงมาตายที่บันไดต่อหน้าแฟนแก เพราะเหตุนี้แกเลยตายคาที่เพราะกระดูกคอหัก ไม่เหมือนกันคนที่แขวนคอตายทั่วๆ ไป หลังจากนั้นแฟนแกก็ย้ายออกไปจากบ้านนั้นทันที และไม่มางานศพป้าแกด้วย ด้วยความเฮี้ยนของป้าสำลีทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปในบ้านหลังนั้นอีกเลย โดยเฉพาะเดินขึ้นชั้นสอง ทำให้บนชั้นสองยังมีข้าวของของป้าแกอยู่ครบ
มีครั้งนึงโจรบุกขึ้นบ้านแกเพราะได้ข่าวมาว่าบนบ้านร้างหลังนี้ยังมีของมีค่าเหลืออยู่ มันก็พังประตูบ้านเข้าไปทั้งมืดๆ แบบนั้นแหละครับ แล้วก็เจอวัตถุแปลกปลอมหล่นจากชั้นสองลงมากลิ้งหลุนๆ อยู่หน้าบันได พอมันสาดไฟฉายไปโดนเท่านั้นแหละ ก็แหกปากกันวิ่งออกมาจนชาวบ้านเค้าไปล้อมจับไว้ได้ทั้งหมด
หลังจากป้าเล่าจบ แกก็ปล่อยให้พวกเรานั่งพักหายใจหายคอกันซักพักเพราะเห็นนั่งตัวเกร็งกันมานาน พอเห็นว่าพวกเราเริ่มหายกลัวกันแล้ว พ่อผมที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เริ่มเล่าประสบการณ์ของตัวเองบ้าง...