http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERTJNVEE1TURjMU5nPT0%3D
หลาย ๆ ท่านคงยังจำกันได้ เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2556 มีข่าวดังตามหน้าสื่อทีวีทุกช่อง สื่อออนไลน์และสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ถึงข่าวน้องนักศึกษามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ถูกคนร้ายปาหินใส่กระจกรถ ทำให้ได้รับบาดเจ็บตามภาพข่าว โดยตำรวจคุยโม้ว่า ใช้เวลาเพียง 37 วัน ในการใช้ " เทคนิคพิเศษ " ในการจับกุมคนร้ายรายนี้ได้ ท่ามกลางกระแสกดดันจากประชาชนและสื่อมวลชนต่าง ๆ ให้เร่งรัดในการจับกุมคนร้ายรายนี้ ทำให้ตำรวจในคดีนี้ ต้องเร่งรีบดำเนินการทุกวิถีทาง เพื่อที่จะหาทางทำตามที่กระแสสังคมเรียกร้องเร่งรัดให้มีการจับกุมผู้กระทำความผิด โดยไม่สนใจว่า บุคคลที่จับมานั้น จะเป็นผู้กระทำผิดตัวจริงหรือแพะ (เทคนิคพิเศษของตำรวจก็คือ อุ้มนายวิชัย พุกเฮงไปที่เซฟเฮ้าส์บ้านโป่ง)
การลงพื้นที่ของตำรวจ ไปหาข่าวกับผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่ง ที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง และมีปัญหากับบ้านของแฟนของนายวิชัย พุกเฮง ที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้ โดยผู้ใหญ่บ้านคนดังกล่าวที่เป็นผู้ให้ข้อมูลกับตำรวจว่า บ้านของแฟนของนายวิชัย พุกเฮง มักจะมีวัยรุ่นเข้ามามั่วสุมกันอยู่เสมอ ส่งเสียงดังสร้างความรำคาญให้กับผู้ใหญ่บ้านคนดังกล่าว เพียงข้อมูลแค่นี้ ตำรวจก็เอาไปปะติดปะต่อ สร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง เนื่องจากนายวิชัย พุกเฮง เป็นคนต่างพื้นที่ และเป็นคนแปลกหน้าที่ผู้ใหญ่บ้านคนดังกล่าวไม่เคยเห็นหน้า จึงทำให้ผู้ใหญ่บ้านคนดังกล่าว แจ้งข้อมูลให้กับตำรวจทันที หลังจากที่ทางตำรวจรับทราบข้อมูลดังกล่าวแล้ว จึงได้เชิญนายวิชัย พุกเฮงไปสอบปากคำในฐานะพยาน ที่สภ.ท่าเรือ ซึ่งนายวิชัย ได้ให้การว่า ไปส่งแฟนที่ศาลาริมทาง จากนั้นก็มีเพื่อนของแฟนมารับแฟนต่อไปอีกทีหนึ่ง จึงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง และอยู่ในพื้นที่เกิดเหตุดังกล่าว ตำรวจจึงได้ปล่อยตัวไปในฐานะพยาน ต่อมาได้มีตำรวจหน่วยงานหนึ่งในพื้นที่ภาค 7 ได้ใช้เทคนิคพิเศษ อุ้มนายวิชัย พุกเฮง ไปใช้วิธีพิเศษจนนายวิชัย พุกเฮงให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและในชั้นสอบสวน วันรุ่งขึ้นก็นำตัวนายวิชัยไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพและแถลงข่าวทันที ได้ผลงานยิ้มแย้มแจ่มใสกันถ้วนหน้า โดยในข้อพิรุธอีกข้อหนึ่ง ทางชมรมอยากจะถามว่า ในที่เกิดเหตุ ตำรวจท้องที่ก็ยืนยันว่าเป็นที่มืดและเปลี่ียว ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าใครเป็นคนร้าย แต่วิธีการดำเนินการของตำรวจชุดหนึ่งที่ใช้วิธีอุ้ม มันถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ? ถ้าคุณจับตัวคนที่กระทำความผิดจริง เราเห้นด้วยที่คนผิดต้องมารับโทษ แต่ในคดีนี้ยังมีอีกจุดหนึ่งที่น่าสงสัย คือก่อนเกิดเหตุไม่นาน แฟนของผู้เสียหายได้ไปทะเลาะกับคนเลี้ยงวัวในพื้นที่ และหลานของคนเลี้ยงวัว ร้อยวันพันปีไม่เคยถาม ได้ถามแฟนของผู้เสียหายว่า วันนี้จะไปทางไหน ก่อนที่จะเกิดเหตุ ซึ่งตำรวจก็ไม่เคยเอาคนเลี้ยงวัวและหลานไปสอบสวนเลย นี่คือจุดที่น่าสงสัยอีกหนึ่งจุดในคดีนี้
สรุปว่า ถ้าตำรวจมั่นใจว่าคดีนี้กระทำโดยวิธีการที่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็ขอให้ชี้แจงมาทางเฟสบุ๊กของชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมครับ
เปิดโปง !! ขบวนการอุ้มผู้ต้องหา ใช้เวลาเพียง 37 วัน เพื่อเอาผลงาน
หลาย ๆ ท่านคงยังจำกันได้ เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2556 มีข่าวดังตามหน้าสื่อทีวีทุกช่อง สื่อออนไลน์และสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ถึงข่าวน้องนักศึกษามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ถูกคนร้ายปาหินใส่กระจกรถ ทำให้ได้รับบาดเจ็บตามภาพข่าว โดยตำรวจคุยโม้ว่า ใช้เวลาเพียง 37 วัน ในการใช้ " เทคนิคพิเศษ " ในการจับกุมคนร้ายรายนี้ได้ ท่ามกลางกระแสกดดันจากประชาชนและสื่อมวลชนต่าง ๆ ให้เร่งรัดในการจับกุมคนร้ายรายนี้ ทำให้ตำรวจในคดีนี้ ต้องเร่งรีบดำเนินการทุกวิถีทาง เพื่อที่จะหาทางทำตามที่กระแสสังคมเรียกร้องเร่งรัดให้มีการจับกุมผู้กระทำความผิด โดยไม่สนใจว่า บุคคลที่จับมานั้น จะเป็นผู้กระทำผิดตัวจริงหรือแพะ (เทคนิคพิเศษของตำรวจก็คือ อุ้มนายวิชัย พุกเฮงไปที่เซฟเฮ้าส์บ้านโป่ง)
การลงพื้นที่ของตำรวจ ไปหาข่าวกับผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่ง ที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง และมีปัญหากับบ้านของแฟนของนายวิชัย พุกเฮง ที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้ โดยผู้ใหญ่บ้านคนดังกล่าวที่เป็นผู้ให้ข้อมูลกับตำรวจว่า บ้านของแฟนของนายวิชัย พุกเฮง มักจะมีวัยรุ่นเข้ามามั่วสุมกันอยู่เสมอ ส่งเสียงดังสร้างความรำคาญให้กับผู้ใหญ่บ้านคนดังกล่าว เพียงข้อมูลแค่นี้ ตำรวจก็เอาไปปะติดปะต่อ สร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง เนื่องจากนายวิชัย พุกเฮง เป็นคนต่างพื้นที่ และเป็นคนแปลกหน้าที่ผู้ใหญ่บ้านคนดังกล่าวไม่เคยเห็นหน้า จึงทำให้ผู้ใหญ่บ้านคนดังกล่าว แจ้งข้อมูลให้กับตำรวจทันที หลังจากที่ทางตำรวจรับทราบข้อมูลดังกล่าวแล้ว จึงได้เชิญนายวิชัย พุกเฮงไปสอบปากคำในฐานะพยาน ที่สภ.ท่าเรือ ซึ่งนายวิชัย ได้ให้การว่า ไปส่งแฟนที่ศาลาริมทาง จากนั้นก็มีเพื่อนของแฟนมารับแฟนต่อไปอีกทีหนึ่ง จึงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง และอยู่ในพื้นที่เกิดเหตุดังกล่าว ตำรวจจึงได้ปล่อยตัวไปในฐานะพยาน ต่อมาได้มีตำรวจหน่วยงานหนึ่งในพื้นที่ภาค 7 ได้ใช้เทคนิคพิเศษ อุ้มนายวิชัย พุกเฮง ไปใช้วิธีพิเศษจนนายวิชัย พุกเฮงให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและในชั้นสอบสวน วันรุ่งขึ้นก็นำตัวนายวิชัยไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพและแถลงข่าวทันที ได้ผลงานยิ้มแย้มแจ่มใสกันถ้วนหน้า โดยในข้อพิรุธอีกข้อหนึ่ง ทางชมรมอยากจะถามว่า ในที่เกิดเหตุ ตำรวจท้องที่ก็ยืนยันว่าเป็นที่มืดและเปลี่ียว ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าใครเป็นคนร้าย แต่วิธีการดำเนินการของตำรวจชุดหนึ่งที่ใช้วิธีอุ้ม มันถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ? ถ้าคุณจับตัวคนที่กระทำความผิดจริง เราเห้นด้วยที่คนผิดต้องมารับโทษ แต่ในคดีนี้ยังมีอีกจุดหนึ่งที่น่าสงสัย คือก่อนเกิดเหตุไม่นาน แฟนของผู้เสียหายได้ไปทะเลาะกับคนเลี้ยงวัวในพื้นที่ และหลานของคนเลี้ยงวัว ร้อยวันพันปีไม่เคยถาม ได้ถามแฟนของผู้เสียหายว่า วันนี้จะไปทางไหน ก่อนที่จะเกิดเหตุ ซึ่งตำรวจก็ไม่เคยเอาคนเลี้ยงวัวและหลานไปสอบสวนเลย นี่คือจุดที่น่าสงสัยอีกหนึ่งจุดในคดีนี้
สรุปว่า ถ้าตำรวจมั่นใจว่าคดีนี้กระทำโดยวิธีการที่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็ขอให้ชี้แจงมาทางเฟสบุ๊กของชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมครับ