Reblogged from www.ohhappybear.com
เที่ยวเมืองไทย | เดินเล่นเรื่อยเปื่อย | ของกินอร่อยๆ ริมทาง
ไปทำงานที่ภูเก็ตคราวนี้ มีเวลาแวะเที่ยวในเมืองประมาณครึ่งวันเท่านั้นค่ะ คือสัมภาษณ์ช่วงเช้าย่านสามกอง ช่วงเที่ยงก็รีบบึ่งเข้าเมืองมาเพื่อรับประทานอาหารท้องถิ่นที่อยากมากมาตั้งแต่ครั้งก่อน เดินเที่ยวเล่นบ้างกับเพื่อนสาวชาวกรุงเทพฯ ที่มาตกหลุมรักหนุ่มภูเก็ตและย้ายมาทำงานที่นี่ หลังจากทานข้าวเที่ยง เราเช็คอินเข้าโรงแรม เก็บกระเป๋าเรียบร้อย ได้ข่าวว่าหาดสุรินทร์วันนี้สวยกว่าเมื่อก่อนเย๊อะ ทั้งนี้เพราะว่ามีการจัดระเบียบชายหาดและการเอาจริงกับผู้บุกรุกชายหาด ซึ่งโดยตามกฏหมายนั้นคือชายหาดต้องเป็นพื้นที่สาธารณะ ไม่ให้ใครมาจับจองพื้นที่ทำมาหากิน จนคนไปเดินเที่ยวหาที่นั่งไม่ได้ ต้องจ่ายเงินให้กับใครก็ไม่รู้ที่จ่ายภาษีหรือเปล่าก็ไม่รู้ทั้งๆ ที่พื้นที่นั้นเป็นของทุกๆ คนเหมือนกัน
คนภูเก็ตเองดีใจกับการจัดระเบียบครั้งนี้กันมาก เอาเป็นว่าไม่อยากจะเชื่อว่าจะเห็นหาดสวยๆ ต่างๆ กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกครั้ง ชายหาดดังๆ เช่น ป่าตอง ในทอน สุรินทร์ ที่มีโรงแรมดังๆ มากมาย เป็นสถานที่ๆ เต็มไปด้วยเก้าอี้ชายหาด บาร์ ร้านอาหารที่สร้างยื่นเข้าไปในหาด มาวันนี้ทุกอย่างโดนรื้อทำให้ชายหาดนั้นโล่ง มองเห็นวิวสวยงามอย่างที่ควรเป็นอย่างในภาพ คนมาเที่ยวเห็นอย่างนี้ สามารถเดินเที่ยวได้จุใจ จะนั่งที่ไหนอย่างไรก็ได้ ที่สำคัญไม่มีคนมาคอยสะกิด สบตา ขายของอยู่วันยังค่ำ เคยเดินเล่นที่ป่าตองครั้งหนึ่งนานมากมาแล้วกับสามี เห็นหน้าเราสองคนเค้าทักเราเป็นภาษาอังกฤษ พอตอบไปเป็นภาษาไทยว่าไม่ค่ะ ไม่เป็นไร (คือไม่รับของที่เขาอยากจะขาย) คำด่ามากมายก็พรั่งพรูออกมาจากปากพี่ถ่อยเถื่อนท่านนั้น ทำให้เข็ดหลาบและไม่กลับไปเหยียบป่าตองอีกเลย แต่วันนี้หลบมาหาดสุรินทร์ คลื่นโต๊โต ม้วนกันอย่างสนุกสนานร่าเริงพร้อมๆ กับกระแสลมที่กระพือแรงพอให้ศรีษะโคลงเคลงไปมา หน้าฝนแบบนี้ เป็นธรรมดาที่เค้าจะไม่เล่นน้ำทะเลที่ภูเก็ตกัน เพราะนอกจากลมแรงคลื่นโตอย่างที่ตาเห็นแล้ว ใต้น้ำยังมีการม้วนตัวของคลื่นแบบไม่ธรรมดาและอันตรายมากอีกด้วย จึง ไม่สมควรแก่การลองของนะคระหากว่ารักตัวกลัวตาย
มาดูของกินที่เราสามคนสามารถจัดการกันได้ในเวลา 8 ชั่วโมงกันดีกว่า มื้อเที่ยงที่ดิฉันหมายมั่นมั่กๆ เพราะคราวก่อนพลาดด ต้องไปทานร้านอื่น (ซึ่งก็ดีแล้ว) ก็คืออาหารพื้นบ้านภูเก็ตของร้านวันจันทร์ ที่ว่ากันว่าเป็นร้านหลานของคุณป้ากุหลาบที่เป็นเจ้าของร้านระย้า..ก็ปรากฏว่า เราสั่งอาหารตามเมนูที่เค้าโพสต์ๆ กันในเน็ต อันได้แก่ แกงเนื้อปูใบชะพลู (เนื้อแกงแตกตัว คือปรกติจะเป็นเนื้อเนียนๆ ข้นๆ รสเข้มข้นของเครื่องแกง แต่วันที่เราไป ชามที่เราทานมันแตกตัว เห็นกะทิแยกร่างออกจากน้ำ ทำให้ไม่น่าทาน เนื้อแกงจืดๆ ไม่มีกลิ่นหอมของใบชะพลูแบบที่เคยทานที่อื่น) ก้ามปูผัดมะนาว อันนี้รสชาติดีแต่เนื้อปูมีกลื่นเหมือนสารเคมีจางๆ ตลบอยู่ในทุกคำ ที่อร่อยก็คือน้ำพริกกุ้งเสียบ อร่อยมาก กลมกล่อมพอดี และแพนงกระดูกหมูอ่อนที่เป็นกระดูกหมูอ่อนจริงๆ เนื้อนุ่มๆ เปื่อยๆ อร่อยมากไม่เผ็ดเกินไปด้วยค่ะ ทั้งหมดที่จ่ายไปพร้อมน้ำและข้าวคือ 990 บาทค่ะ
ในเมื่อมื้อเที่ยงไม่โดนใจ เราสามคนเลยไปทานเฉาก๊วยที่ “ร้านเฉาก๊วยริมทาง” กันต่อ ร้านนี้ขอบอกว่าดังมาก และเป็นร้านที่เต็มไปด้วยของฝากมากมาย นอกจากเฉาก๊วยยังมีอีกนานับปการ ทั้งคาวและหวาน แต่เราทานกันแต่เฉาก๊วย ซึ่งที่สั่งคือ เฉาก๊วยรวมมิตร ถ้วยละ 35 บาท ทุกอย่างโอเค ยกเว้นแต่มันเชื่อมที่แข็งมั่กๆๆๆๆๆ
แต่มื้อเย็นของเรา มันช่างสุดยอด อย่างน้อยก็มีอะไรโดนจังๆ กันบ้าง ก็จริงๆ พวกเราก็ไม่ได้กินยากอะไรนะคะ แค่ของดี ปรุงเป็น ก็คงต้องอร่อยอยู่แร้น ร้านข้าวต้มกุ๊ยย้อยโภชนา ที่อยู่ไม่ไกลนักจากสี่แยกเยาวราช ร้านนี้มีกับข้าวแบบจีนมากมายสั่งทานได้กับข้าวต้มและข้าวสวย ข้าวต้มอร่อยมาก เปื่อยหอมกำลังดี ร้อนด้วย ซึ่งสำหรับดิฉันนั้นสำคัญมากๆ สั่งหมูกรอบที่เสิร์ฟกับซอสพริกรสหวานสไตล์ภูเก็ต ปลามงเนื้อแน่นๆ ทอดราดซีอิ้ว ผัดผักบุ้งไฟแดง และหมูหนำเลี๊ยบ อร่อยมากๆๆๆๆ ทุกอย่าง โดยเฉพาะผักบุ้งซึ่งผัดไฟแรงได้กรอบอร่อยไม่เค็มจัด รสกำลังดี เลยสั่งมาเบิ้ลสองจาน มื้อนี้จ่ายไปพร้อมน้ำและอื่นๆประมาณ 400 บาท เลิศมากกกก
จากนั้นก็ไปส่งท้ายกันที่น้ำเต้าหู้สามกองร้านดัง มีขนมให้ทานมากมายตามขนาดกระเพาะที่จะสามารถบรรจุได้ ดิฉันสั่งน้ำเต้าหู้ + ฟองเต้าหู้ หวานน้อย (คิดว่า ณ จุดนั้น การลดน้ำตาลน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี 55) คุณสามีสั่งน้ำเต้าหู้มะพร้าวอ่อนและเต้าฮวย เพื่อนสาวบัวลอยนมสด ทั้งหมดจ่ายไป 110 บาท มีความสุขมาก ขอกราบขอบพระคุณเจ้าของร้านนี้ที่ตั้งใจทำน้ำเต้าหู้และขนมมากมายที่แสนจะอร่อยและไม่แพงให้เราทานกันค่ะ appreciate it มากๆ ขอบคุณค่ะ
8 ชั่วโมงในเมืองภูเก็ต
Reblogged from www.ohhappybear.com
เที่ยวเมืองไทย | เดินเล่นเรื่อยเปื่อย | ของกินอร่อยๆ ริมทาง
ไปทำงานที่ภูเก็ตคราวนี้ มีเวลาแวะเที่ยวในเมืองประมาณครึ่งวันเท่านั้นค่ะ คือสัมภาษณ์ช่วงเช้าย่านสามกอง ช่วงเที่ยงก็รีบบึ่งเข้าเมืองมาเพื่อรับประทานอาหารท้องถิ่นที่อยากมากมาตั้งแต่ครั้งก่อน เดินเที่ยวเล่นบ้างกับเพื่อนสาวชาวกรุงเทพฯ ที่มาตกหลุมรักหนุ่มภูเก็ตและย้ายมาทำงานที่นี่ หลังจากทานข้าวเที่ยง เราเช็คอินเข้าโรงแรม เก็บกระเป๋าเรียบร้อย ได้ข่าวว่าหาดสุรินทร์วันนี้สวยกว่าเมื่อก่อนเย๊อะ ทั้งนี้เพราะว่ามีการจัดระเบียบชายหาดและการเอาจริงกับผู้บุกรุกชายหาด ซึ่งโดยตามกฏหมายนั้นคือชายหาดต้องเป็นพื้นที่สาธารณะ ไม่ให้ใครมาจับจองพื้นที่ทำมาหากิน จนคนไปเดินเที่ยวหาที่นั่งไม่ได้ ต้องจ่ายเงินให้กับใครก็ไม่รู้ที่จ่ายภาษีหรือเปล่าก็ไม่รู้ทั้งๆ ที่พื้นที่นั้นเป็นของทุกๆ คนเหมือนกัน
คนภูเก็ตเองดีใจกับการจัดระเบียบครั้งนี้กันมาก เอาเป็นว่าไม่อยากจะเชื่อว่าจะเห็นหาดสวยๆ ต่างๆ กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกครั้ง ชายหาดดังๆ เช่น ป่าตอง ในทอน สุรินทร์ ที่มีโรงแรมดังๆ มากมาย เป็นสถานที่ๆ เต็มไปด้วยเก้าอี้ชายหาด บาร์ ร้านอาหารที่สร้างยื่นเข้าไปในหาด มาวันนี้ทุกอย่างโดนรื้อทำให้ชายหาดนั้นโล่ง มองเห็นวิวสวยงามอย่างที่ควรเป็นอย่างในภาพ คนมาเที่ยวเห็นอย่างนี้ สามารถเดินเที่ยวได้จุใจ จะนั่งที่ไหนอย่างไรก็ได้ ที่สำคัญไม่มีคนมาคอยสะกิด สบตา ขายของอยู่วันยังค่ำ เคยเดินเล่นที่ป่าตองครั้งหนึ่งนานมากมาแล้วกับสามี เห็นหน้าเราสองคนเค้าทักเราเป็นภาษาอังกฤษ พอตอบไปเป็นภาษาไทยว่าไม่ค่ะ ไม่เป็นไร (คือไม่รับของที่เขาอยากจะขาย) คำด่ามากมายก็พรั่งพรูออกมาจากปากพี่ถ่อยเถื่อนท่านนั้น ทำให้เข็ดหลาบและไม่กลับไปเหยียบป่าตองอีกเลย แต่วันนี้หลบมาหาดสุรินทร์ คลื่นโต๊โต ม้วนกันอย่างสนุกสนานร่าเริงพร้อมๆ กับกระแสลมที่กระพือแรงพอให้ศรีษะโคลงเคลงไปมา หน้าฝนแบบนี้ เป็นธรรมดาที่เค้าจะไม่เล่นน้ำทะเลที่ภูเก็ตกัน เพราะนอกจากลมแรงคลื่นโตอย่างที่ตาเห็นแล้ว ใต้น้ำยังมีการม้วนตัวของคลื่นแบบไม่ธรรมดาและอันตรายมากอีกด้วย จึง ไม่สมควรแก่การลองของนะคระหากว่ารักตัวกลัวตาย
มาดูของกินที่เราสามคนสามารถจัดการกันได้ในเวลา 8 ชั่วโมงกันดีกว่า มื้อเที่ยงที่ดิฉันหมายมั่นมั่กๆ เพราะคราวก่อนพลาดด ต้องไปทานร้านอื่น (ซึ่งก็ดีแล้ว) ก็คืออาหารพื้นบ้านภูเก็ตของร้านวันจันทร์ ที่ว่ากันว่าเป็นร้านหลานของคุณป้ากุหลาบที่เป็นเจ้าของร้านระย้า..ก็ปรากฏว่า เราสั่งอาหารตามเมนูที่เค้าโพสต์ๆ กันในเน็ต อันได้แก่ แกงเนื้อปูใบชะพลู (เนื้อแกงแตกตัว คือปรกติจะเป็นเนื้อเนียนๆ ข้นๆ รสเข้มข้นของเครื่องแกง แต่วันที่เราไป ชามที่เราทานมันแตกตัว เห็นกะทิแยกร่างออกจากน้ำ ทำให้ไม่น่าทาน เนื้อแกงจืดๆ ไม่มีกลิ่นหอมของใบชะพลูแบบที่เคยทานที่อื่น) ก้ามปูผัดมะนาว อันนี้รสชาติดีแต่เนื้อปูมีกลื่นเหมือนสารเคมีจางๆ ตลบอยู่ในทุกคำ ที่อร่อยก็คือน้ำพริกกุ้งเสียบ อร่อยมาก กลมกล่อมพอดี และแพนงกระดูกหมูอ่อนที่เป็นกระดูกหมูอ่อนจริงๆ เนื้อนุ่มๆ เปื่อยๆ อร่อยมากไม่เผ็ดเกินไปด้วยค่ะ ทั้งหมดที่จ่ายไปพร้อมน้ำและข้าวคือ 990 บาทค่ะ
ในเมื่อมื้อเที่ยงไม่โดนใจ เราสามคนเลยไปทานเฉาก๊วยที่ “ร้านเฉาก๊วยริมทาง” กันต่อ ร้านนี้ขอบอกว่าดังมาก และเป็นร้านที่เต็มไปด้วยของฝากมากมาย นอกจากเฉาก๊วยยังมีอีกนานับปการ ทั้งคาวและหวาน แต่เราทานกันแต่เฉาก๊วย ซึ่งที่สั่งคือ เฉาก๊วยรวมมิตร ถ้วยละ 35 บาท ทุกอย่างโอเค ยกเว้นแต่มันเชื่อมที่แข็งมั่กๆๆๆๆๆ
แต่มื้อเย็นของเรา มันช่างสุดยอด อย่างน้อยก็มีอะไรโดนจังๆ กันบ้าง ก็จริงๆ พวกเราก็ไม่ได้กินยากอะไรนะคะ แค่ของดี ปรุงเป็น ก็คงต้องอร่อยอยู่แร้น ร้านข้าวต้มกุ๊ยย้อยโภชนา ที่อยู่ไม่ไกลนักจากสี่แยกเยาวราช ร้านนี้มีกับข้าวแบบจีนมากมายสั่งทานได้กับข้าวต้มและข้าวสวย ข้าวต้มอร่อยมาก เปื่อยหอมกำลังดี ร้อนด้วย ซึ่งสำหรับดิฉันนั้นสำคัญมากๆ สั่งหมูกรอบที่เสิร์ฟกับซอสพริกรสหวานสไตล์ภูเก็ต ปลามงเนื้อแน่นๆ ทอดราดซีอิ้ว ผัดผักบุ้งไฟแดง และหมูหนำเลี๊ยบ อร่อยมากๆๆๆๆ ทุกอย่าง โดยเฉพาะผักบุ้งซึ่งผัดไฟแรงได้กรอบอร่อยไม่เค็มจัด รสกำลังดี เลยสั่งมาเบิ้ลสองจาน มื้อนี้จ่ายไปพร้อมน้ำและอื่นๆประมาณ 400 บาท เลิศมากกกก
จากนั้นก็ไปส่งท้ายกันที่น้ำเต้าหู้สามกองร้านดัง มีขนมให้ทานมากมายตามขนาดกระเพาะที่จะสามารถบรรจุได้ ดิฉันสั่งน้ำเต้าหู้ + ฟองเต้าหู้ หวานน้อย (คิดว่า ณ จุดนั้น การลดน้ำตาลน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี 55) คุณสามีสั่งน้ำเต้าหู้มะพร้าวอ่อนและเต้าฮวย เพื่อนสาวบัวลอยนมสด ทั้งหมดจ่ายไป 110 บาท มีความสุขมาก ขอกราบขอบพระคุณเจ้าของร้านนี้ที่ตั้งใจทำน้ำเต้าหู้และขนมมากมายที่แสนจะอร่อยและไม่แพงให้เราทานกันค่ะ appreciate it มากๆ ขอบคุณค่ะ