[บทความอินทรีเหล็ก 2014-07-13] เมด อิน เยอรมัน – จากความล้มเหลวในยูโร 2000 มาถึงนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2014

''เลิฟเองได้บทเรียนจากประสบการณ์บอลโลก/ยูโร ว่าบอลที่เล่นสวย มีเสน่ห์ ไม่ทำให้ทีมคว้าแชมป์ได้ ดังนั้นหนนี้จึงต้องเน้นที่ผลการแข่งขัน''

โยอัคคิม เลิฟ เคยพูดประโยคหนึ่งเอาไว้เมื่อสี่ปีก่อน หลังจากต้อนเอาชนะทีมชาติอังกฤษงดงามครั้ง เวิลด์ คัพ ฉบับแอฟริกาใต้

''อันดับแรงกิ้งและผลการแข่งขันไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด พวกเราต้องมองดูที่สไตล์ของพวกเรา วิธีการนำเสนอและความตั้งใจที่แท้จริง พวกเราต้องคำนึงถึงว่าเราอยากเล่นฟุตบอลแบบไหน พวกเราต้องทำตามปรัชญาอันนั้นและทำให้สำเร็จ การเอาชนะอังกฤษ 4-1 ถือเป็นเรื่องน่ายินดี แต่เราไม่ได้ต้องการเพียงเท่านี้''

มีบางคนบอกว่าเยอรมันแข็งทื่อเหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนข้อมูลเข้าไป มีอีกบางคนเช่นกันที่มองว่าพวกเขาไม่ต่างจากนวัตกรรมอันก้าวล้ำที่ได้รับการคิดค้นออกมาจากรอยหยักสมองอันปราดเปรื่องโดยอัจฉริยบุคคล

อืม...มันแค่คลับคล้ายเท่านั้น

เรื่องคือว่าชนชาติหนึ่งพร้อมใจถกแขนเสื้อปฏิวัติเกมลูกหนังตัวเองด้วยการยึดถือคำสามคำเอาไว้ ''ต้องกล้า ต้องอดทน ต้องจริงจัง''

หลายคนคงพอทราบว่าเหตุผลเนื่องมาจากความล้มเหลวเมื่อยูโร 2000 ด้วยการตกรอบแรกกับการมีเพียงหนึ่งคะแนน การสุมหัวหารือกันจึงหลีกไม่ได้ หลากคำถามถูกยกมาวางกองตรงหน้า บ้างพบคำตอบ บ้างสรุปหาออกมาในทันทีไม่ได้ ถึงกระนั้นในเมื่อผู้เล่นอายุเกือบสี่สิบที่ชื่อว่า โลธ่าร์ มัทเธอุส ยังได้ลงสนามอยู่ นั่นก็บ่งบอกชัดเจนว่าถึงเวลาอันเหมาะสมแล้วที่ต้องเปลี่ยน

ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของพี่นิกร หรือที่พวกคุณรู้จักในชื่อ ''ก.ป้อหล่วน'' ก็เหมือนบอกเล่าเรื่องราวบางส่วนว่าการเฝ้าอดทนรอนั้นพอได้รับสิ่งตอบแทนคืนมาบ้าง มันมีความสุขมากเพียงไร

''ใจเย็นๆ ยังเหลืออีกหนึ่งก้าว'' คุณอาของหลานๆ แฟนหนังสือสตาร์ซอคเก้อร์พูดด้วยแววตาสุกสกาว

ผมก็ยังนึกถึงบุคคลอีกคนคือ พี่เจษหรือเจ้าของนามปากกา ''ช่อคูน'' เป็นผู้ที่มีหัวใจสลักรูปอินทรีเอาไว้อย่างเดียวกับพี่นิกร เป็นพหูสูตรอบรู้ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเยอรมัน ถามไรตอบได้ และตอบอะไรมาก็ล้วนสามารถสืบจนไปเจอแหล่งที่มาจนได้

เพียงคำถามอิเลคทรนิคส์สั้นๆ ว่า ''สวัสดีครับพี่ สบายดีนะครับ รบกวนหน่อยครับต่อเบื้องหลังของชัยชนะอันสวยงามเหนือบราซิล พี่มองว่ามาจากเหตุผลอะไรบ้าง?''  ทว่าสิ่งที่รับกลับมาละเอียดยิบ มีการตกผลึกของตะกอนจนได้ถึงสิบหัวข้อสมราคาผู้เชี่ยวชาญวงการฟุตบอลเมืองเบียร์อย่างแท้จริง

1.การทำงานละเอียดทุกเม็ดของเดเอฟเบ ที่พักไปสำรวจล่วงหน้าก่อน 1 ปี เลือกรีสอร์ตของนักธุรกิจเยอรมันที่ยังไม่เริ่มสร้างห่างไกลผู้คนริมแอตแลนติก คำนวณระยะเวลาในการเดินทางไปสนามต่างๆ ด้วยเครื่องบินไกลสุดคือ 3 ชั่วโมง อยู่ในโซนอากาศร้อนเพื่อปรับตัว เวลาไปแข่งทางใต้อากาศเย็นก็สบายอยู่แล้ว สร้างสนามซ้อมหญ้าเหมือนสนามจริงห่างจากแคมป์ที่พัก 1.5 กม. ไม่ต้องเดินทางไกล มีสนามซ้อมผู้รักษาประตูอยู่ติดกัน แยกมาซ้อมต่างหากได้

2.ก่อนไปแข่งแต่ละสนามจะไปที่เมืองนั้นๆ ก่อนเกม 2 วัน ยกเว้นรอบตัดเชือก เพื่อให้นักเตะปรับร่างกายและกินอาหารตามเวลาเตะจริง เช่นแข่งบ่ายโมงเวลาท้องถิ่น อาหารเช้า-เที่ยง ควบกันตอน 8-10 โมง

3.ทีมงานเทรนเนอร์ชุดใหญ่มืออาชีพ มีแมวมองไปดูคู่แข่งทำวิดีโอวิเคราะห์ให้ และยังมีทีมงานพิเศษมาจากเหล่าโค้ชเยาวชนทีมชาติชุดต่างๆ เช่น คริสเตียน วุค ที่เดเอฟเบให้ไปดูเกมต่างๆ การทำงานของโค้ชแต่ละคนตอนแข่ง ภาษากาย จะได้มาใช้ประโยชน์เมื่อไปคุมทีมเอง และเอาข้อมูลทีมคู่แข่งที่ได้มาแลกเปลี่ยนกับทีมงานแมวมอง แบบที่ว่าสี่ตาดีกว่าสองตา

4.เลิฟเองได้บทเรียนจากประสบการณ์บอลโลก/ยูโร ว่าบอลที่เล่นสวย มีเสน่ห์ ไม่ทำให้ทีมคว้าแชมป์ได้ ดังนั้นกองหลังต้องแพ็กแน่น ไม่จำเป็นไม่ขึ้นสูงโดยเฉพาะคู่เซนเตอร์ เล่นเกมด้วยการเน้นผลการแข่งขันเป็นหลัก

5.ลูกสแตนดาร์ดตามที่เยอรมันเรียกหรือลูกฟรีคิก/เตะมุมนั้น เมื่อก่อนเยอรมันไม่ได้เน้นมากนัก แต่ครานี้มีการซ้อมลูกสูตรต่างๆ เป็นพิเศษ ผลที่ตามมาคือได้ประตูจากลูกนิ่งดังกล่าวไปแล้ว 5 ประตู ตั้งแต่นัดแรกที่เจอโปรตุเกส และประตู 1-0 ของมุลเลอร์ในนัดเจอบราซิล ที่มาจากการเตะมุม

6.ไม่เสี่ยงในการใช้ผู้เล่นไม่ฟิต เห็นได้จากเกมช่วงแรกๆ ไม่ได้ใช้บริการ ชไวน์สไตเกอร์และเคดิร่านัก จนตอนหลังมั่นใจว่าทั้งคู่ฟิตเต็มที่แล้วจึงได้ลงเป็นตัวจริงร่วมกัน

7.ยามมีนักเตะเริ่มมีอาการเจ็บจะรีบให้พักทันทีเพื่อจะได้ไม่เจ็บมาก ล่าสุดฮุมเมิ่ลส์เจ็บเข่าเล็กน้อยตอนวอร์มเกมเจอบราซิล เล่นไปแล้วเจ็บมากขึ้น พักครึ่งเวลาเจ้าตัวขอเปลี่ยนออกมาทันที

8.บล็อกบาเยิร์น การมีผู้เล่นจากสโมสรเดียวกันเป็นแกนหลักเยอะทำให้ปรัชญาเกมเยอรมันในการรักษาสมดุลการครองบอลและปรับเกมรับ/รุกเร็วเป็นไปได้ดี แต่ละนัดมีผู้เล่นบาเยิร์นเป็นตัวหลักตัวจริงราวหกคนตลอด นัดล่าสุด นอยเออร์, ลาห์ม, บัวเต็ง, ชไวน์สไตเกอร์, โครส, มุลเลอร์ ทำให้นำปรัชญาลูกนังของเลิฟไปสู่การปฏิบัติได้เป็นอย่างดี

9.ทีมสปิริตที่เยอรมันเรียก Teamgeist ซึ่งถือเป็นความสามารถประจำชาติในทัวร์นาเมนต์เสมอมา ความเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่งอแงยามเป็นตัวสำรอง เช่นชไวนี่ในช่วงแรก แมร์เตซัคเคอร์ช่วงต่อมา

10.วินัยในเกมที่มีสูงและการทำให้ประสิทธิภาพในการยิงประตูได้ดีขึ้น ซึ่งแต่ก่อนเป็นข้อด้อยของเยอรมันในประเด็นหลัง

ไล่อ่านทีละข้อก็ได้แต่ทึ่งต่อวิธีการสร้างทีมของชาติชาตินี้ สิ่งที่สะท้อนออกมาชัดเจนมากคือว่าฟุตบอลยุคนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแท็กติกหรือตัวผู้เล่นอย่างเดียว การเตรียมตัวต้องทำให้เนี้ยบที่สุดต่อทุกเรื่อง

ย้อนกลับไปหลังจากหายนะในยูโรปี 2000 พอสหพันธ์ฟุตบอลกับทางฟุตบอลลีกต่างหารือกันว่าได้บทสรุปว่าจำต้องปฏิวัติ ขืนปล่อยอย่างนี้ต่อไปมีหวังกู้คืนลำบากจึงตกลงกันว่าลำดับต้นต้องนับหนึ่งจากส่วนบริเวณรากฐานเสียก่อน พวกเขาวางงบเอาไว้ที่ 500 ล้านยูโร กับการลงทุนให้แต่ละสโมสรมีศูนย์อะคาเดมี่ โดยกำหนดเอาไว้ว่าแปดปีแรกต้องมีดอกผลงอกงามให้เชยชม ขณะเดียวกันกฎ 50+1 ที่บังคับให้ทีมในบุนเดสลีกาต้องให้แฟนตัวเองมีส่วนกับการถือหุ้น ไม่ใช่ขายทอดตลาดให้บิลเลียนแนร์รายไหนหรือกลุ่มทุนใดเข้ามาเทกโอเวอร์ทั้งหมด

เอาเรื่องนี้คุยกับคนด๊อยท์ชที่ไหน พวกเขาก็จะยืดอกอย่างเต็มภาคภูมิ ต่อให้ลีกลูกหนังบุนเดสลีกาของพวกเขาจะไม่ได้เป็นที่นิยมเท่าพรีเมียร์ลีก หรือลาลีกาก็ตาม อย่างไรก็ตาม ผลงานของ บาเยิร์น มิวนิค กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในเวทีนานาชาติช่วงที่ผ่านมาก็พิสูจน์ได้ดีเช่นกันว่าอะไรกันแน่ที่จำเป็นกว่ากัน

บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์, ฟิลิปป์ ลาห์ม, ลูคัส โพดอลสกี้, แพร์ แมร์เตซัคเคอร์, มิโรสลาฟ โคลเซ่ เป็นกลุ่มที่หลงเหลือจากแปดปีก่อน ตอนนั้นเลิฟเป็นผู้ช่วยให้ เจอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ คนทั้งเยอรมันอกหักผิดหวังที่ต้องตกรอบตัดเชือกให้อิตาลี ทว่าสิ่งที่ทุกคนเชื่อมั่นว่าสักวันต้องเป็นวันของพวกเขาก็มาจากคำสามคำดังกล่าว

“ต้องกล้า ต้องอดทน ต้องจริงจัง”

ตั้งแต่ชุด ยู-17 เป็นต้นมาจะไปแข่งทัวร์นาเมนต์ใดก็ล้วนกวาดแชมป์มาเป็นแรงใจได้เกือบหมด พวกเขาสร้างเป็นบล็อกออกมาเพื่อยามส่งต่อให้ชุดรุ่นต่อไปจะได้ง่ายต่อการพัฒนา ดังนั้นถ้าสังเกตแต่ละตำแหน่งของแต่ละยุคจึงเหมือนมนุษย์โคลนนิ่ง

ถูกต้อง วันที่ 13 กรกฎาคม ณ สังเวียนมาราคาน่าจะเป็นอีกหนึ่งวันที่พิสูจน์ทุกรอยเท้าที่ย่ำมา

ปี 2002 จบเพียงรองแชมป์ ตอนนั้นมีผู้เล่นอายุต่ำกว่าเบญจเพสเพียงสี่ราย ได้แก่ คริสโตฟ เม็ตเซลเดอร์, เซบาสเตียน เคห์ล, เกราลด์ อซาโมอาห์ และ มิโรสลาฟ โคลเซ่น้อยกว่าชุดปัจจุบันนี้ที่หนีบมาด้วยถึงเก้าราย นอกจากนี้ อายุเฉลี่ยตัวจริงในวันชิงชนะเลิศที่โยโกฮาม่าก็สูงถึง 30.5 ปี ซึ่งคาดว่าวันอาทิตย์นี้อยู่ราว 26 ปีเศษเท่านั้น

ครับ เกือบครบทุกริ้วรอย ...เมด อิน เยอรมันแล้ว … และจะสมบูรณ์แบบถ้าวันอาทิตย์นี้ อินทรีเหล็กคว้าดาวดาวที่ 4 มาประดับหน้าอกสำเร็จ



credit :  ''ไก่ป่า''  www.siamsport.co.th

หมายเหตุ : ผมมองว่าถ้าทีมชายสามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกที่บราซิลคราวนี้มาครองได้  ปีหน้าฟุตบอลหญิงชิงแชมป์โลกที่แคนาดา ทีมอินทรีเหล็กหญิงทำได้น่าจะเป็นปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของวงการลูกหนังเมืองเบียร์เลยทีเดียว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่