สวัสดีค่ะ ขอฝากตัวไว้กับเพื่อนสมาชิกพันทิปรักการวิ่งที่เข้ามาอ่าน
นี่เป็นกระทู้แรกที่จะเล่าความรู้สึกที่เราได้รับจากการวิ่งผจญภัยกลางธรรมชาติเป็นครั้งแรกของเราเองค่ะ
เราเริ่มหัดวิ่งหลังจากพิชิตการ "เดินการกุศล" ระยะ 3.5KM งานศิริราชเมื่อต้นปีนี้ค่ะ (หน้าใหม่เลยค่ะเรา)
หลังจากนั้นผ่านมาแล้วรวม 4 สนาม ไล่มาตั้งแต่ 5KM, 8KM (5Miles) และ 10KM
ก่อนจะสมัครสนามที่ 5 กับงานเทรลมาสเตอร์นี้ที่ 10KM เช่นเดิม
เราอาจไม่ได้เขียนสาระอะไรนะคะ เพราะเราไม่ใช่นักวิ่งที่เก่ง ยังไม่มีประสบการณ์
และโดยส่วนตัวยังไม่พอใจกับผลงานของตัวเองในครั้งนี้เลยสักนิด
แต่การตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเหมือนเป็นการปักธงจุดสตาร์ทให้ตัวเอง
ว่าในอนาคตต่อจากนี้เมื่อกลับมาอ่านกระทู้ตัวเองอีกครั้ง...ผลงานควรพัฒนาได้ดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว!
งานวิ่ง Columbia Trail Master Ep.7 ที่แก่งกระจานนี้เป็นความแตกต่างของการวิ่งจริงๆ
เรารู้ซึ้งหลังวิ่งผ่านซุ้ม Start ไปซักพักค่ะ ...เคยอ่านกระทู้เก่ามาบ้างว่าโหด เตรียมใจไว้แล้วแต่มันเกินคาดทีเดียว
พื้นเส้นทางตอนแรกๆ ถึงจะเป็นดิน เป็นหญ้า แต่ก็ยังเรียบ และฟ้ายังพอร่ม ลมยังมีพัดมาให้เย็นๆ
วิ่งไปราว 1 กิโลฯ กว่า เริ่มจะตัดเข้าพงแคบๆ ระยะทางสั้นๆ ตรงนี้ได้ยืนพักขากันครู่หนึ่งเลยค่ะ
เพราะคนต่อคิวสลับกันเดินเข้าพงเยอะมากๆ เนื่องจากเราไม่ได้วิ่งนำทำให้เพื่อนนักวิ่งคนอื่นๆ อยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่แล้ว
ถ้าเป็นแนวหน้าคงวิ่งทะลุพงนี้ฉลุยไปไม่ต้องเจอซีนเบียดรอนี้
หมดจากพงที่ต้องค่อยๆ สลับกันไปก็เป็นวิ่งทางราบบนพื้นซีเมนต์อีกครั้ง
ก่อนจะเริ่มวกเข้าพื้นดิน พื้นสนามหญ้าตามธรรมชาติ และเริ่มมีต้นไม้สูงท่วมหัว
แต่เราอ่อนต่อโลกของการวิ่งเทรลมากเหลือเกินที่คิดว่าการวิ่งขึ้นๆ ลงๆ เนินกลางหมู่ไม้นั่นคือผจญภัยแล้ว
เพราะถัดจากนั้นยังมีโหดกว่า โหดมากกว่าของกว่า(?) และโหดที่สุดเท่าที่เราเคยวิ่งมา
เพราะเรานอกจากจะได้เจอเนินที่สูงขึ้นจนเรียกได้ว่าเป็นเส้นทางขึ้นเขา เรายังได้วิ่งกลางแดดเปรี้ยงๆ ไร้ร่มเงาไม้
รวมถึงการต้องพึ่งพาน้ำขวดน้อยที่พกไป แบ่งจิบให้ดีเพราะไม่รู้ว่าวิ่งผจญภัยแบบนี้จะมีจุดบริการน้ำให้อีกตรงไหน
รวมถึงตัวเองจะลากขาไปถึง ณ จุดนั้นได้เมื่อไหร่
(นับถือในพละกำลังและแรงใจนักวิ่งระยะ 25KM กับ 50KM (วิ่งวน 2 รอบ) เชื่อว่าเส้นทางคงโหดกว่าอีก ร้อนกว่าอีก)
ที่จริงเราเขียนว่า "วิ่ง" นี่เราละอายนะคะ เพราะที่จริงเรา "เดิน" ไปซะเกินครึ่งหนึ่งของระยะทาง
เราพยายามงัดขาให้สับถี่กว่าจังหวะของการก้าวเดินแต่มันขัดไปหมด ตึง ล้า ใจสั่งแต่ร่างยึด ไม่ก็ร่างพร้อมแต่ใจลอยจนน่าหงุดหงิดไปหมด
มาหายหงุดหงิดเอาตอนเจอพี่ผู้หญิงผมซอยสั้น สวมกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน รูปร่างผอมเพรียว
พี่ (ซึ่งเรานี่ก็วัย 30 กว่าแล้วนะคะ) เดินก้าวพอดีๆ แต่เดินได้เร็วเป็นจังหวะดี
พี่เป็นผู้ใหญ่กว่าเราอีก แต่พี่เดินเร็วแบบนิ่งมาก
พี่ดูควบคุมได้ทุกอย่างทั้งร่างกายและจิตใจ ลักษณะเหมือนไปได้เรื่อยๆ ไม่เหนื่อยหอบด้วย
ในที่สุดก็เดินแซงเราไป
เราไม่รู้ว่าพี่เขาเดินเร็วรักษาระดับนั้นมาตลอดเส้นทางหรือเปล่า (หรือเดินเร็วสลับวิ่ง)
แต่จังหวะการเดินของพี่ช่วยเรียกสติ เราพบหลักและจังหวะการเดินเร็วในการพิชิตวิบาก 10 กิโลฯ ได้ดีขึ้น
คือเราคิดเอาว่า ถ้าตัวเองวิ่งไม่ไหวแล้ว (แต่มั่นใจว่าเข้าเส้นชัยได้ แต่เวลาคงเละเทะแน่นอน)
ต่อให้หมดแรงจะวิ่ง เราก็ควรตั้งสมาธิรักษาสปีดกับจังหวะน่าจะดีกว่าเดินเรื่อยเปื่อย
หรือเจ็บใจทีก็ออกวิ่งที เร็วมั่งลากขามั่งสลับกับด่าตัวเองในใจจนร่างกายช้ำและรังแต่จะรู้สึกหงุดหงิดตัวเองมากขึ้น
เราจึงเปลี่ยนเป็นเดินเร็วให้ได้จังหวะสม่ำเสมอนับตั้งแต่จุดนั้นจนกระทั่งเจอจุดบริการน้ำซึ่งแจกเป็นขวดเลย พร้อมถังแช่ฟองน้ำเช็ดตัว
และในที่สุดเราก็เข้าเส้นชัย (แน่นอนว่าพี่สาวคนนั้นแซงจนพ้นสายตาเราไปไหนๆ นานแล้ว)
อย่างน้อยการโฟกัสอยู่กับฝีเท้าตัวเองให้มั่นคงขึ้น สม่ำเสมอและมีหลักขึ้นก็ทำให้เราเลิกเสียเวลาคิดฟุ้งซ่าน
ซึ่งอย่างที่บอกตอนต้น เวลาที่ใช้ไปทั้งหมดนั้นไม่น่าประทับใจเอาซะเลยค่ะ
ถึงไม่อยากจำแต่มันก็จะเป็นสถิติที่ฝังอยู่ในหัวเราไปตลอด
ว่าวิ่งเทรลครั้งแรกของเรา... ระยะ 10KM ใช้ไปถึงสองชั่วโมงเศษ (2 ชั่วโมง 3 นาที โดยประมาณ)
ถึงเส้นชัย ยิ้มรับเหรียญมาคล้องคอ ถ่ายรูปที่ระลึกกับคุณแฟนที่คอยอยู่ข้างๆ ตลอดเส้นทาง
แต่อารมณ์ตอนนั้นคือ หน้าชื่นอกตรม ประมาณนึงเลยทีเดียว เพราะเรา Finished ได้ มันจบจริง แต่มันจบไม่สวย
แถมยังพ่วงความคิดว่าตัวเองคอยแต่เป็นตัวถ่วงคุณแฟนด้วย เพราะปกติเขาวิ่งทำเวลาได้ดีกว่าเราทุกงาน
และไม่วิ่งๆ เดินๆ ทำตัวปวกเปียกแบบเราด้วย
ที่จริงเรื่องการเป็นคนถ่วงทำให้คู่เรารั้งท้าย
และคุณแฟนต้องพลอยเดินประกบอยู่ด้วยกันนี่เป็นอีกเรื่องซึ่งทำให้เราคิดฟุ้งซ่านมาตลอดทางค่ะ
อย่างไรก็ตาม
เรามุ่งมั่นว่าครั้งต่อๆ ไปทั้งการวิ่งทั่วไปและการวิ่งผจญภัย เราจะสามารถทำสถิติของตัวเองได้ดีขึ้นกว่านี้
และเราจะ "วิ่ง" จริงๆ
- เป้าหมายในช่วง 1 ปีนับจากนี้เราคงจะพิชิตระดับมินิมาราธอนไปเรื่อยๆ ค่ะ
หวังจะวิ่งให้ได้ตลอดเส้นทาง และทำเวลาได้ดีขึ้น
- ช่วงเริ่มสมัครร่วมงานวิ่งเราได้ศึกษาและพบว่า:
การกินกล้วยเป็นมื้อเช้าก่อนวิ่งนั้นดีมากจริงๆ ซึ่งเรื่องนี้ถูกฉโลกกับเราและคุณแฟนมากค่ะ บ้างก็แนะนำกล้วยหอม กล้วยน้ำว้า กล้วยๆ
พวกเราเลือกกินกล้วยน้ำว้ากัน ได้รู้สูตรนี้เพราะอ่านจากกระทู้และบทความวิ่งต่างๆ ต้องขอขอบคุณนักวิ่งผู้เขียนด้วยค่ะ
(มีเสริมด้วยบัตเตอร์เค้กบ้าง ฟรุตเค้กบ้าง แต่ไม่เคยขาดกล้วยน้ำว้า) คือเวลาวิ่งขาจะล้า ตึง เมื่อย ใจก็เต้นแรงตุบ ตุบ ตุบ
แต่ท้องไม่โหวง ไม่โหยหิว
อันนี้คือเทียบจากตัวเองงานเดินครั้งแรก 3.5KM ด้วย
พวกเรา (เรา แม่เรา และคุณแฟน) ไปแบบกินขนมปังจุกจิก เดินเสร็จแล้วท้องว่าง หิวเลยค่ะ ขนาดแค่เดินเองนะ
ก็...หมดสิ่งที่อยากจะเขียนแล้วล่ะค่ะ ขอบคุณที่อ่านเรื่องราวของเรานะคะ...
เมื่อมือใหม่ไปวิ่งเทรล: ครั้งแรก Finished 10KM ได้แต่เจ็บใจ (ตัวเอง) มากกว่า
นี่เป็นกระทู้แรกที่จะเล่าความรู้สึกที่เราได้รับจากการวิ่งผจญภัยกลางธรรมชาติเป็นครั้งแรกของเราเองค่ะ
เราเริ่มหัดวิ่งหลังจากพิชิตการ "เดินการกุศล" ระยะ 3.5KM งานศิริราชเมื่อต้นปีนี้ค่ะ (หน้าใหม่เลยค่ะเรา)
หลังจากนั้นผ่านมาแล้วรวม 4 สนาม ไล่มาตั้งแต่ 5KM, 8KM (5Miles) และ 10KM
ก่อนจะสมัครสนามที่ 5 กับงานเทรลมาสเตอร์นี้ที่ 10KM เช่นเดิม
เราอาจไม่ได้เขียนสาระอะไรนะคะ เพราะเราไม่ใช่นักวิ่งที่เก่ง ยังไม่มีประสบการณ์
และโดยส่วนตัวยังไม่พอใจกับผลงานของตัวเองในครั้งนี้เลยสักนิด
แต่การตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเหมือนเป็นการปักธงจุดสตาร์ทให้ตัวเอง
ว่าในอนาคตต่อจากนี้เมื่อกลับมาอ่านกระทู้ตัวเองอีกครั้ง...ผลงานควรพัฒนาได้ดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว!
งานวิ่ง Columbia Trail Master Ep.7 ที่แก่งกระจานนี้เป็นความแตกต่างของการวิ่งจริงๆ
เรารู้ซึ้งหลังวิ่งผ่านซุ้ม Start ไปซักพักค่ะ ...เคยอ่านกระทู้เก่ามาบ้างว่าโหด เตรียมใจไว้แล้วแต่มันเกินคาดทีเดียว
พื้นเส้นทางตอนแรกๆ ถึงจะเป็นดิน เป็นหญ้า แต่ก็ยังเรียบ และฟ้ายังพอร่ม ลมยังมีพัดมาให้เย็นๆ
วิ่งไปราว 1 กิโลฯ กว่า เริ่มจะตัดเข้าพงแคบๆ ระยะทางสั้นๆ ตรงนี้ได้ยืนพักขากันครู่หนึ่งเลยค่ะ
เพราะคนต่อคิวสลับกันเดินเข้าพงเยอะมากๆ เนื่องจากเราไม่ได้วิ่งนำทำให้เพื่อนนักวิ่งคนอื่นๆ อยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่แล้ว
ถ้าเป็นแนวหน้าคงวิ่งทะลุพงนี้ฉลุยไปไม่ต้องเจอซีนเบียดรอนี้
หมดจากพงที่ต้องค่อยๆ สลับกันไปก็เป็นวิ่งทางราบบนพื้นซีเมนต์อีกครั้ง
ก่อนจะเริ่มวกเข้าพื้นดิน พื้นสนามหญ้าตามธรรมชาติ และเริ่มมีต้นไม้สูงท่วมหัว
แต่เราอ่อนต่อโลกของการวิ่งเทรลมากเหลือเกินที่คิดว่าการวิ่งขึ้นๆ ลงๆ เนินกลางหมู่ไม้นั่นคือผจญภัยแล้ว
เพราะถัดจากนั้นยังมีโหดกว่า โหดมากกว่าของกว่า(?) และโหดที่สุดเท่าที่เราเคยวิ่งมา
เพราะเรานอกจากจะได้เจอเนินที่สูงขึ้นจนเรียกได้ว่าเป็นเส้นทางขึ้นเขา เรายังได้วิ่งกลางแดดเปรี้ยงๆ ไร้ร่มเงาไม้
รวมถึงการต้องพึ่งพาน้ำขวดน้อยที่พกไป แบ่งจิบให้ดีเพราะไม่รู้ว่าวิ่งผจญภัยแบบนี้จะมีจุดบริการน้ำให้อีกตรงไหน
รวมถึงตัวเองจะลากขาไปถึง ณ จุดนั้นได้เมื่อไหร่
(นับถือในพละกำลังและแรงใจนักวิ่งระยะ 25KM กับ 50KM (วิ่งวน 2 รอบ) เชื่อว่าเส้นทางคงโหดกว่าอีก ร้อนกว่าอีก)
ที่จริงเราเขียนว่า "วิ่ง" นี่เราละอายนะคะ เพราะที่จริงเรา "เดิน" ไปซะเกินครึ่งหนึ่งของระยะทาง
เราพยายามงัดขาให้สับถี่กว่าจังหวะของการก้าวเดินแต่มันขัดไปหมด ตึง ล้า ใจสั่งแต่ร่างยึด ไม่ก็ร่างพร้อมแต่ใจลอยจนน่าหงุดหงิดไปหมด
มาหายหงุดหงิดเอาตอนเจอพี่ผู้หญิงผมซอยสั้น สวมกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน รูปร่างผอมเพรียว
พี่ (ซึ่งเรานี่ก็วัย 30 กว่าแล้วนะคะ) เดินก้าวพอดีๆ แต่เดินได้เร็วเป็นจังหวะดี
พี่เป็นผู้ใหญ่กว่าเราอีก แต่พี่เดินเร็วแบบนิ่งมาก
พี่ดูควบคุมได้ทุกอย่างทั้งร่างกายและจิตใจ ลักษณะเหมือนไปได้เรื่อยๆ ไม่เหนื่อยหอบด้วย
ในที่สุดก็เดินแซงเราไป
เราไม่รู้ว่าพี่เขาเดินเร็วรักษาระดับนั้นมาตลอดเส้นทางหรือเปล่า (หรือเดินเร็วสลับวิ่ง)
แต่จังหวะการเดินของพี่ช่วยเรียกสติ เราพบหลักและจังหวะการเดินเร็วในการพิชิตวิบาก 10 กิโลฯ ได้ดีขึ้น
คือเราคิดเอาว่า ถ้าตัวเองวิ่งไม่ไหวแล้ว (แต่มั่นใจว่าเข้าเส้นชัยได้ แต่เวลาคงเละเทะแน่นอน)
ต่อให้หมดแรงจะวิ่ง เราก็ควรตั้งสมาธิรักษาสปีดกับจังหวะน่าจะดีกว่าเดินเรื่อยเปื่อย
หรือเจ็บใจทีก็ออกวิ่งที เร็วมั่งลากขามั่งสลับกับด่าตัวเองในใจจนร่างกายช้ำและรังแต่จะรู้สึกหงุดหงิดตัวเองมากขึ้น
เราจึงเปลี่ยนเป็นเดินเร็วให้ได้จังหวะสม่ำเสมอนับตั้งแต่จุดนั้นจนกระทั่งเจอจุดบริการน้ำซึ่งแจกเป็นขวดเลย พร้อมถังแช่ฟองน้ำเช็ดตัว
และในที่สุดเราก็เข้าเส้นชัย (แน่นอนว่าพี่สาวคนนั้นแซงจนพ้นสายตาเราไปไหนๆ นานแล้ว)
อย่างน้อยการโฟกัสอยู่กับฝีเท้าตัวเองให้มั่นคงขึ้น สม่ำเสมอและมีหลักขึ้นก็ทำให้เราเลิกเสียเวลาคิดฟุ้งซ่าน
ซึ่งอย่างที่บอกตอนต้น เวลาที่ใช้ไปทั้งหมดนั้นไม่น่าประทับใจเอาซะเลยค่ะ
ถึงไม่อยากจำแต่มันก็จะเป็นสถิติที่ฝังอยู่ในหัวเราไปตลอด
ว่าวิ่งเทรลครั้งแรกของเรา... ระยะ 10KM ใช้ไปถึงสองชั่วโมงเศษ (2 ชั่วโมง 3 นาที โดยประมาณ)
ถึงเส้นชัย ยิ้มรับเหรียญมาคล้องคอ ถ่ายรูปที่ระลึกกับคุณแฟนที่คอยอยู่ข้างๆ ตลอดเส้นทาง
แต่อารมณ์ตอนนั้นคือ หน้าชื่นอกตรม ประมาณนึงเลยทีเดียว เพราะเรา Finished ได้ มันจบจริง แต่มันจบไม่สวย
แถมยังพ่วงความคิดว่าตัวเองคอยแต่เป็นตัวถ่วงคุณแฟนด้วย เพราะปกติเขาวิ่งทำเวลาได้ดีกว่าเราทุกงาน
และไม่วิ่งๆ เดินๆ ทำตัวปวกเปียกแบบเราด้วย
ที่จริงเรื่องการเป็นคนถ่วงทำให้คู่เรารั้งท้าย
และคุณแฟนต้องพลอยเดินประกบอยู่ด้วยกันนี่เป็นอีกเรื่องซึ่งทำให้เราคิดฟุ้งซ่านมาตลอดทางค่ะ
อย่างไรก็ตาม
เรามุ่งมั่นว่าครั้งต่อๆ ไปทั้งการวิ่งทั่วไปและการวิ่งผจญภัย เราจะสามารถทำสถิติของตัวเองได้ดีขึ้นกว่านี้
และเราจะ "วิ่ง" จริงๆ
- เป้าหมายในช่วง 1 ปีนับจากนี้เราคงจะพิชิตระดับมินิมาราธอนไปเรื่อยๆ ค่ะ
หวังจะวิ่งให้ได้ตลอดเส้นทาง และทำเวลาได้ดีขึ้น
- ช่วงเริ่มสมัครร่วมงานวิ่งเราได้ศึกษาและพบว่า:
การกินกล้วยเป็นมื้อเช้าก่อนวิ่งนั้นดีมากจริงๆ ซึ่งเรื่องนี้ถูกฉโลกกับเราและคุณแฟนมากค่ะ บ้างก็แนะนำกล้วยหอม กล้วยน้ำว้า กล้วยๆ
พวกเราเลือกกินกล้วยน้ำว้ากัน ได้รู้สูตรนี้เพราะอ่านจากกระทู้และบทความวิ่งต่างๆ ต้องขอขอบคุณนักวิ่งผู้เขียนด้วยค่ะ
(มีเสริมด้วยบัตเตอร์เค้กบ้าง ฟรุตเค้กบ้าง แต่ไม่เคยขาดกล้วยน้ำว้า) คือเวลาวิ่งขาจะล้า ตึง เมื่อย ใจก็เต้นแรงตุบ ตุบ ตุบ
แต่ท้องไม่โหวง ไม่โหยหิว
อันนี้คือเทียบจากตัวเองงานเดินครั้งแรก 3.5KM ด้วย
พวกเรา (เรา แม่เรา และคุณแฟน) ไปแบบกินขนมปังจุกจิก เดินเสร็จแล้วท้องว่าง หิวเลยค่ะ ขนาดแค่เดินเองนะ
ก็...หมดสิ่งที่อยากจะเขียนแล้วล่ะค่ะ ขอบคุณที่อ่านเรื่องราวของเรานะคะ...