พิภพจอมนาง (ตุ๊ดทะลุมิติ) ตอนที่ ๑ ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๖ องค์หญิงลี่จู

กระทู้สนทนา
พิภพจอมนาง (ตุ๊ดทะลุมิติ) ตอนที่ ๑ ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๖ องค์หญิงลี่จู

ตอนที่ผ่านมา
บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/32197484
บทที่ ๒ http://ppantip.com/topic/32215683
บทที่ ๓ http://ppantip.com/topic/32232873
บทที่ ๔ http://ppantip.com/topic/32251610
บทที่ ๕ http://ppantip.com/topic/32269169

ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๖ องค์หญิงลี่จู

ศาลาซึ่งเป็นจุดพักและจุดรอเข้าเฝ้าห่างจากเขตพระราชฐานชั้นกลางประมาณห้าร้อยเมตร การเดินทางจะใช้รถม้าไม่ก็รถลาก แว่นอยากจะชมสถานที่เลยขอเปลี่ยนมานั่งรถลากแทน

ในส่วนของชั้นกลางนี้ประกอบไปด้วยสิ่งปลูกสร้างสำคัญมากมาย ทั้งท้องพระโรงที่ใช้ว่าราชการ หอตำราซึ่งเป็นคลังขุมทรัพย์ทางปัญญาขนาดใหญ่ รวมถึงตำหนักของบรรดาองค์ชายทั้งหลาย ตัวอาคารส่วนใหญ่เป็นสถาปัตยกรรมจีน เน้นความมั่นคงแข็งแรงและตกแต่งอย่างวิจิตร แม้กระทั่งยอดหลังคาก็ยังประดับทองคำและเพชรพลอย

แว่นรู้รายละเอียดเหล่านี้มาก่อนจากการศึกษา กระนั้นก็ยังอดตะลึงพรึงเพริดกับความงามประดุจแดนสวรรค์ไม่ได้ เขามองสองข้างทางเพลิน ไม่ทันตั้งตัวก็ต้องลงจากรถเพื่อเตรียมเข้าไปในพระราชฐานชั้นในแล้ว บริเวณนี้ห้ามบุรุษและผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามา จึงมีเพียงกุ้ยฮวากับซีอิ๋งเท่านั้นที่ได้รับอนุญาต

สนมเฉินส่งนางกำนัลมารอรับและนำทางให้ ทั้งสองจึงตามไปแบบเงียบๆ ซีอิ๋งดูสงบสำรวมกว่าปกติเป็นอย่างมาก บรรยากาศของสถานที่เองก็เงียบสงัด แว่นเลยพลอยรู้สึกเกร็งตามไปด้วย ทั้งที่ท่องระเบียบวังมาจนขึ้นใจและฝึกมารยาทมาอย่างดีแล้ว หัวใจมันก็ยังเต้นถี่

แว่นรู้สึกไม่ค่อยดีเมื่อมองทางเดินยาวเหยียดปูด้วยพรมสีแดงสด เลยเบนสายตาไปที่ภาพจิตรกรรมบนผนังแทน ทว่ามือมันกลับชื้นเหงื่อ หายใจขัดขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขาคิดว่าเป็นเพราะอาการประหม่าก็เลยพยายามสงบใจ ไม่นานหัวใจก็กลับมาเต้นเป็นปกติ แต่ก็ยังรู้สึกไม่ดีกับภาพบนผนังอยู่ ความรู้สึกนี้บอกให้รู้ว่ากุ้ยฮวากลัวภาพมังกร ท่าทางคงจะมีอะไรฝังใจในตอนเด็กเป็นแน่แท้

หลังจากคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยและประหม่าจนหายประหม่าไปหลายรอบ แว่นก็เริ่มคิดว่าเมื่อไรจะไปถึงตำหนักที่อาหญิงอยู่เสียที เลยกระซิบถามซีอิ๋ง

“พึ่งจะครึ่งทางเจ้าค่ะ คุณหนูเหนื่อยไหมเจ้าคะ จะพักก่อนไหม”

“ไม่เป็นไร ข้ายังไหว” แว่นทำเป็นว่ายังปกติทั้งที่ความจริงอยากจะทรุดลงนั่งแทบแย่

เขาไม่น่าลืมเลยว่าเขตราชฐานชั้นในไม่ต่างอะไรกับภูเขาลูกย่อมๆ เนื่องจากสร้างอยู่บนเนินสูง มีตำหนักที่ประทับของฮ่องเต้อยู่บนสุด ตามมาด้วยตำหนักของฮองเฮาและสนมทั้งหลายไล่เรียงกันลงมา อาหญิงเป็นสนมเอก ดังนั้นตำหนักของนางจึงอยู่สูงเกือบที่สุด ต้องเดินไกลอย่างนี้เอง มินาเล่าหย่าลี่จึงเป็นห่วง ถามย้ำแล้วย้ำอีกว่าไหวหรือเปล่า

“ท่านหญิงจะพักอยู่ตรงนี้ก่อนก็ได้นะเจ้าคะ ข้าจะให้คนแบกเสลี่ยงมารับ” นางกำนัลที่มาด้วยบอกอย่างมีน้ำใจ เมื่อได้ยินการสนทนา

“อย่าลำบากเลย ข้าเดินไหว” แว่นปฏิเสธ

ในวังนี้มีแต่ฮ่องเต้กับเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่สามารถนั่งเสลี่ยงได้ ถึงจะอนุโลมให้สนมบางคนกับคนป่วย แต่ก็ไม่ค่อยมีใครกล้าทำนัก อีกอย่างถ้าที่บ้านรู้ว่าขึ้นมาเองไม่ไหวต้องให้คนแบก ความหน้ามีหวังขอเข้าวังมายากขึ้นแน่ๆ

เนื่องจากห่วงเที่ยว แว่นเลยพยายามเดินด้วยสองขาของตัวเองมาจนถึงที่หมายได้ในที่สุด นั่งพักอยู่ในห้องรับรองได้สักอึดใจ บานประตูที่เชื่อมกับห้องด้านในก็ถูกเปิดออก แล้วก็มีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งเดินออกมา หนึ่งในนั้นมีสตรีท่าทางสง่างาม แต่งกายหรูหราต่างจากทุกคนรวมอยู่ด้วย แว่นเดาได้ว่าเป็นใคร ก็เลยลุกขึ้นแล้วย่อตัวแสดงความเคารพ

“กุ้ยฮวาคำนับพระสนม”

ปกติหากผู้ใหญ่เมตตาจะบอกว่าไม่ต้องมากพิธีแล้วบอกให้นั่ง ทว่าท่านอาหญิงของกุ้ยฮวานั้นแตกต่างจากคนทั่วไป นางต้อนรับการมาของหลานสาวด้วยการกอดเสียเต็มรัก จากนั้นก็ร้องไห้ออกมาแบบไม่รักษาภาพพจน์เลยสักนิด

“อาคิดถึงเจ้าเหลือเกินกุ้ยฮวา นึกว่าชาตินี้จะไม่มีโอกาสได้พบหน้าเจ้าอีกแล้ว ดีเหลือเกินที่เจ้าฟื้นจากความตายมาได้” สนมเฉินเอ่ยเสียงเครือ

“กุ้ยฮวาก็คิดถึงพระสนมเพคะ”

“เรียกอาหญิงเถอะ ที่นี่มีแต่คนกันเอง” สนมเฉินแก้ให้

นางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา แล้วถอยออกมาพิจารณาหน้าหลานสาวให้ละเอียดถี่ถ้วนขึ้น พอได้มองเต็มตาแล้วจึงยิ้มออก

“มีแต่คนบอกว่ายิ่งโตเจ้ายิ่งเหมือนรุ่ยฟาง เห็นทีจะมองผิด ความงามเจ้าล้ำหน้าแม่มากนักนะรู้ไหม”

แว่นยิ้มรับคำชมนี้ แล้วปล่อยให้สนมเฉินเป็นฝ่ายพูดเสียเป็นส่วนใหญ่ พอทักทายจนเป็นที่พอใจแล้ว อาหญิงก็ดึงตัวพามาที่ห้องซึ่งมีขนมนมเนยเตรียมเอาไว้มากมาย แต่ละอย่างล้วนเป็นของโปรดของกุ้ยฮวาในสมัยเด็ก ซึ่งไม่มีข้อมูลอยู่ในหัวเลย แว่นจึงพยายามเก็บรายละเอียดต่างๆ ผ่านการสนทนา

อาหญิงหงจิงพูดถึงมารดาของกุ้ยฮวาบ่อยครั้ง ภาษาที่นางใช้เมื่อเอ่ยถึงบ่งบอกความสนิทสนมได้เป็นอย่างดี พอพูดถึงความหลังนางก็ออกอาการน้ำตาซึมขึ้นมาอีก แสดงว่าเป็นคนอ่อนไหวทีเดียว

“พูดแล้วก็รู้สึกผิดต่อแม่เจ้านัก เพราะไปแต่งกับเจ้าพี่งี่เง่านั่นแท้ๆ ก็เลยตายตั้งแต่ยังสาว”

‘เจ้าพี่งี่เง่า’ ที่ว่าคือพ่อของกุ้ยฮวาอย่างไม่ต้องสงสัย วัฒนธรรมที่นี่มีระบบอาวุโส เป็นน้องแต่กล้าว่าพี่อย่างนี้ แสดงว่าท่านพ่อคงตามใจอาหญิงน่าดู เหมือนกับกุ้ยอี้ที่เอาใจกุ้ยฮวาไม่มีผิด

“ถ้าอารู้ล่วงหน้าสักนิดว่าจะเป็นแบบนี้ คงไม่แต่งงานมาอยู่ในวังให้โดนขังหรอก สู้ยอมขึ้นคานดีกว่าจะได้คอยดูแลสกุลเฉิน ไม่ต้องมานั่งห่วงอยู่ทุกวี่วัน” สนนเฉินเอ่ยด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด สักอึดใจก็พึมพำว่า “เพราะตาบ้านั่นคงเดียว”

“ตาบ้า?” แว่นทวนคำ    

“อาหมายถึงฮ่องเต้น่ะ”

แว่นถึงกับสะดุ้งที่อาหญิงกล้าเรียกบุคคลที่เป็นประหนึ่งสมมุติเทพแบบนั้น เลยแอบปรายตามองดูว่าคนรอบตัวจะมีท่าทีอย่างไร ซีอิ๋งหันมาสบตาแล้วยิ้มแหยๆ ท่าทางคงตกใจจนปั้นหน้าไม่ถูกเหมือนกัน ส่วนนางกำนัลวันสามสิบปลายๆ สองคนที่อยู่ในห้องดูไม่สะทกสะท้านเท่าไร สงสัยว่าคงจะชินแล้ว แม้แต่การเรียกไทเฮาว่า ‘ยายแก่’ ก็ไม่ทำให้สีหน้าของพวกนางเปลี่ยนไป

ไทเฮาที่ว่าคือตำแหน่งพระมารดาของฮ่องเต้ ส่วนใหญ่มักเป็นสตรีที่เคยเป็นฮองเฮาของฮ่องเต้ในรัชกาลก่อน แต่ในสมัยนี้ ไทเฮาคือพระมารดาของฮ่องเต้องค์ก่อน พูดให้เข้าใจง่ายก็คือแม่เลี้ยงของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนั่นเอง

ฮ่องเต้องค์ก่อนสละราชสมบัติตั้งแต่อายุยังน้อย แล้วให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์แทน ส่งผลให้ไทเฮาไม่พอใจเป็นอย่างมาก แม้ฮ่องเต้โหย่งซินจะเพิ่มพระยศและให้อยู่ในฐานะไทเฮาต่อไป พระนางก็ยังแสดงท่าทีต่อต้าน ด้วยการไม่ยอมเสด็จมาร่วมพิธีการสำคัญ

“ไทเฮาทรงใจร้ายกับอาหญิงหรือ ท่านจึงไม่ชอบพระนาง” แว่นลองเลียบเคียงถามดู

“ใช่...ร้ายมาก” สนมเฉินเอ่ยอย่างมีอารมณ์ “อยู่ๆ ก็มาแย่งลี่จูไปจากข้า พรากแม่พรากลูกอย่างนี้จะไม่ให้อาช้ำใจได้อย่างไร”

ลี่จูหรือองค์หญิงสิบอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับกุ้ยฮวา ความที่โตมาด้วยกันจึงรักกันเหมือนพี่น้อง หลังจากกุ้ยฮวาออกจากวังมาแล้วก็ยังติดต่อกันอยู่

“เหตุใดไทเฮาจึงทรงทำเช่นนั้น”

เท่าที่ฟังดูไทเฮาค่อนข้างเก็บตัว พระนางนึกอย่างไรกันถึงได้มาเอาตัวองค์หญิงลี่จูไป ทั้งที่ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือด แว่นจึงคิดไปในทางว่านี่อาจจะเป็นเกมการเมือง ทว่าเมื่อได้ฟังคำตอบแล้ว กลับไม่ใช่เรื่องน่าวิตกอย่างที่เข้าใจ

“ก็เพราะลี่จูของอาน่ารักมากน่ะสิ ยายแก่นั่นก็เลยยึดเอาไว้คนเดียว ให้กลับมาค้างกับแม่แค่อาทิตย์ละไม่กี่วันเท่านั้น”

มาจนถึงตอนนี้แล้ว แว่นก็ได้เข้าใจธรรมชาตินิสัยของอาหญิงตัวเอง นางแค่โวยวายระบายอารมณ์ไปอย่างนั้นเอง เนื้อแท้มิได้ผูกใจเจ็บไทเฮาที่เอาตัวธิดาไปเลี้ยงดูเลย

ต่อจากนั้นสนมเฉินก็ยังบ่นอีกหลายเรื่อง ซึ่งแว่นก็รับฟังแต่โดยดี โดยที่ไม่รู้สึกรำคาญสักนิด เขาตระหนักดีว่าที่อาหญิงยอมพูดให้ฟังก็เพราะไว้ใจนั่นเอง

ก่อนเข้าวังมาหย่าลี่ได้เรียกตัวกุ้ยฮวาไปพบ เพื่อสอนเรื่องเกี่ยวกับวังหลวงให้รับรู้ พลางย้ำว่าที่นั่นน่ากลัว จะพูดจะจาอะไรก็ต้องระวัง คำพูดที่เอ่ยเพียงเพราะคะนองปากอาจนำภัยมาสู่ตัวได้ หย่าลี่ไม่ใช่คนที่ชอบขู่ ดังนั้นแว่นจึงจำข้อความนี้ใส่ใจเอาไว้ให้มั่น



กุ้ยฮวาถูกสนมเฉินรั้งตัวไว้ให้ค้างในวัง ด้วยเหตุผลว่าเย็นมากแล้ว จะได้ไม่ต้องรีบร้อนเดินทางกลับก่อนประตูวังปิดและจะได้เจอองค์หญิงลี่จูในวันรุ่งขึ้นด้วย แว่นตอบตกลงในทันที แค่นึกถึงระยะทางที่ต้องเดินกลับลงไปก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว

สนมเฉินจัดให้หลานสาวนอนในห้องรับรองพิเศษในตำหนัก เสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนก็เป็นของใหม่ที่ยังไม่ได้ใช้ ทีแรกแว่นคิดว่าคงเป็นขององค์หญิงลี่จู แต่พอนางกำนัลมากระซิบบอกว่านี่เป็นของที่สั่งตัดให้กุ้ยฮวาโดยเฉพาะ เพิ่งจะเสร็จเมื่อวันก่อนนี่เองจึงยังไม่ได้ส่งไปให้

แว่นถูกใจห้องนอนที่ตกแต่งอย่างสวยหวาน บ่งบอกความเป็นผู้หญิง ต่างกับห้องของกุ้ยฮวาที่บ้านสกุลเฉินที่ดูเรียบง่ายเป็นอย่างมาก ถ้าซีอิ๋งมาเห็นห้องนี้คงชอบใจน่าดู เสียดายว่าถูกจัดให้ไปนอนอีกที่ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะได้เข้ามารับใช้หรือเปล่า

ถึงต้องแยกกับสาวใช้ แว่นก็ไม่ได้ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว สนมเฉินส่งนางกำนัลมานอนเป็นเพื่อนและคอยดูแลเรื่องต่างๆ ให้ นางกำนัลคนนี้ชื่อซุ่ยเซียน อายุไม่เกินยี่สิบห้าท่าทางช่างพูดช่างคุย ก็เลยได้สนทนากันหลายเรื่อง ก่อนจะวกมาที่คำพูดของอาหญิงในวันนี้

“ท่านหญิงอย่าไปบอกใครนะเจ้าคะว่าพระสนมเอ่ยถึงฮ่องเต้กับไทเฮาว่าอย่างไร”

เห็นสายตาเป็นห่วงเป็นใยเจ้านาย แว่นก็ยิ้มรับ

“พี่ซุ่ยเซียนไม่ต้องห่วงหรอก ข้าความจำไม่ดีนัก จำได้แต่อาหญิงสรรเสริญฮองเฮาให้ฟังเท่านั้น ที่เหลือลืมไปหมดเสียแล้ว”

ประโยคนี้บอกให้รู้ว่าแว่นไม่เพียงแต่จะปิดปากเงียบ แต่หากเกิดอะไรขึ้นก็จะช่วยแก้ต่างให้อาหญิงด้วย ซุ่ยเซียนจึงค้อมกายให้แทนการขอบคุณ

ดูจากนิสัยเอาแต่ใจและติดจะปากร้ายของอาหญิงแล้ว แว่นก็อดสงสัยไม่ได้เลยจริงๆ ว่าผู้หญิงคนนี้เอาตัวรอดในวังที่มีการแข่งขันแย่งชิงกันมาได้อย่างไร แล้วก็ยิ่งแปลกใจเมื่อรู้ว่าจนบัดนี้ฮ่องเต้ก็ยังโปรดปรานสนมเฉิน

แว่นยอมรับว่าอาหญิงหงจิงเป็นคนสวย ถึงจะอายุสี่สิบกว่าแล้ว หน้าตาผิวพรรณก็ยังสู้คนอายุสามสิบได้สบาย ถึงอย่างนั้นก็ยังมองไม่เห็นความสามารถในการผูกมัดใจชายจากตัวผู้เป็นอาเลย ฮ่องเต้มีสนมกำนัลมากมาย สาวกว่าสวยกว่าก็เยอะ เอาใจเก่งก็มีมาก แต่ก็ยังทรงมาประทับที่ตำหนักนี้อย่างสม่ำเสมอ

ครั้นจะถามนางกำนัลว่าพระสนมเฉินมีดีตรงไหนก็ไม่กล้า เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าดูถูกญาติผู้ใหญ่ตัวเองเสียเปล่าๆ เลยได้แต่เดาไปตามเรื่องว่าท่านอาคงเป็นสตรีที่อยู่ในพระทัยของฮ่องเต้ การได้รับความรักอย่างมากมายนี้ถือว่าโชคดีทีเดียว



ในค่ำคืนนั้นเมื่อกุ้ยฮวาหลับสนิทแล้ว นางกำนัลก็ย่องอย่างเงียบกริบออกไปรายงานทุกถ้อยคำที่ได้สนทนากันให้พระสนมทราบ จริงอยู่ที่หงจิงมีนิสัยเสียอยู่หลายอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่มากเท่ากับความชาญฉลาดของนาง วันนี้ที่พร่ำบ่นอะไรต่อมิอะไรไปสารพัด ไม่ใช่เพื่อระบายเท่านั้น แต่ยังเป็นการทดสอบไปในตัว กุ้ยฮวาพ้นจากการอบรมของนางไปห้าปีแล้ว สนมเฉินจึงอยากจะเห็นพัฒนาการของหลานสาว

แว่นตื่นขึ้นมารับอรุณอย่างสดชื่นโดยไม่ระแคะระคายเรื่องการทดสอบสักนิด พอล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนชุดและจัดแต่งทรงผมใหม่แล้ว ก็มีนางกำนัลเดินเข้ามากับซีอิ๋ง พร้อมกับข้าวของที่ส่งมาจากที่บ้าน ในกล่องใบใหญ่กับห่อผ้ามีทั้งยาที่ต้องกินเป็นประจำ ชุดชั้นใน เสื้อผ้า เครื่องประดับ เรียกว่าพร้อมสรรพทุกอย่าง แว่นสัมผัสได้ถึงความเอาใจใส่ในการจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้ จึงรู้สึกรักแม่เลี้ยงมากขึ้นอีกหลายเท่า

เช้านี้อาหญิงสั่งนางกำนัลว่าให้เชิญท่านหญิงรุ่ยฟางมารับประทานอาหารเช้าด้วยกัน เวลาอาหารเช้าปกติของสนมเฉินคือสองยามสาย แว่นเห็นว่ายังมีเวลาเหลืออีกมาก จึงไปช่วยซีอิ๋งจัดของ

“ออมแรงไว้เถอะเจ้าค่ะคุณหนู วันนี้ท่านมีเรื่องต้องทำอีกมาก เดี๋ยวจะเหนื่อยเสียก่อน” ซีอิ๋งห้าม

แว่นไม่แย้งแต่เพ่งมองใบหน้าของสาวใช้แทน

“หน้าเจ้าดูเซียวๆ นะ เป็นอะไรหรือเปล่า”

“มะ...ไม่ได้เป็นอะไรเจ้าค่ะ ข้า...ข้าแค่นอนไม่ค่อยหลับ” ซีอิ๋งโบกไม้โบกมือปฏิเสธ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่