กลับมาอีกแล้ววว...กับรีวิวท่องเที่ยวแสนซนของ Beary Design By Tarn
ก่อนอื่นขอเกริ่นถึงความมันส์กันซะหน่อยนะค๊า ว่าจุดหมายปลายทางของเราในครั้งนี้อยู่ที่ จ.สุพรรณบุรี พื้นที่ใกล้ๆ เมืองกรุง แต่กลับรู้สึกเหมือนว่าได้หนีกรุงไปเที่ยวไกลๆ เลยล่ะ...
พิกัดที่เราตั้งกันไว้อยู่ที่ อุทยานแห่งชาติพุเตยค่ะ ขอบอกว่าไม่ใช่อุทยานแห่งชาติธรรมดาๆ นะ เพราะที่นี่คือดินแดนแห่งขุนเขา ผืนป่าหนึ่งเดียวที่สมบูรณ์ที่สุดของเมืองสุพรรณ และยังเป็นเป็นชายป่าผืนสุดท้ายของป่าห้วยขาแข้งอีกด้วย
ส่วนความน่าสนใจนั้นก็ช่างถูกอกถูกใจเหล่านักเดินป่า นักผจญภัยจริงๆ เพราะด้วยธรรมชาติอันสมบูรณ์ ความเงียบสงบของบรรยากาศ และยังมีความหลากหลายทางธรรมทั้งป่าเขา น้ำตก แถมด้วยความงดงามงามของดวงอาทิตย์ยามเช้า ทะเลหมอก ความหนาวเย็น รวมทั้งวิถีชีวิตของชาวกระเหรี่ยงที่นาสนใจอีก
แค่เกริ่นมาขนาดนี้ก็น่าตื่นเต้นแล้วใช่มั้ยคะ ? อย่ารอช้า รีบตามไปลุยด้วยกันเลยดีกว่า !
การเดินทางครั้งนี้ พลพรรคของเราต้องขึ้นรถขับเคลื่อนสี่ล้อจากพื้นที่ทำการอุทยานแห่งชาติพุเตยต่อไปอีกเป็นเวลาเกือบชั่วโมง
เส้นทางสายนี้คือถนนป่าจริงๆ ค่ะ ไม่ใช่ถนนราดยาง ไม่ใช่ถนนคอนกรีตอย่างที่เราเคยเจอ แต่เป็นถนนดินล้วนๆ หนทางจึงไม่ได้เรียบหรู และก็อย่าคิดว่าจะแอบงีบหลับได้ลงนะจ๊ะ เพราะว่างานนี้ไม่ว่าใครก็หลับกันไม่ลงเลยสักคน (ฮา)
หากนึกภาพไม่ออกว่าการอยู่บนท้ายกระบะกับเส้นทางขึ้นเขาด้วยถนนดินแบบนี้เป็นยังไง ขอแนะนำว่าให้ลองเปิดเพลงจังหวะร็อคแบบสุดเหวี่ยงฟังดู มันใช่อารมณ์นั้นเลยค่ะ ไม่ต้องกินยาหัวส่ายเพราะเราจะได้ส่ายกันไปมาจนมึนแน่ละงานนี้
หลังจากโยกเยกบนท้ายรถในจังหวะร็อคสไตล์ดิบเถื่อนมาสักพักก็มาถึงที่หมาย…เส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ
ก่อนที่เราจะเดินเข้าไปสู่พื้นที่น้ำตกตะเพินคี่ สาวๆ ก็ขอถ่ายรูปสวยกันนิดนึง เพราะว่าหลังจากนี้เราคงเจองานโหดจนหมดสวยแน่ๆ
เมื่อแชะภาพกันอิ่มใจแล้ว เราก็พร้อมแล้วที่จะผจญภัยในดินแดนจูราสสิคพาร์คแห่งเมืองสุพรรณฯ …ลุยย !
ก่อนไปเจอน้ำตกตะเพินคี่ เราต้องเดินผ่านป่าไผ่ล้วนๆ (หากันเจอมั้ยว่าเราอยู่ตรงไหน พยายามแต่งตัวให้กลมกลืนธรรมชาติที่สุด คงหาเราไม่เจอใช่ป่าว 555)
เดินมาได้พักใหญ่ หนทางก็เป็นเนินลาดชันมากขึ้น ลัดเลาะตามแนวป่า มุดบ้าง ลอดบ้าง และแล้วเราก็ผ่านป่าไผ่อันวกวนมาได้ ถึงน้ำตกตะเพินคี่แล้ว เย้ๆ แต่หนทางข้างหน้าหลังจากนี้นี่สิที่มันจะไม่ธรรมดา !
ความโหดหฤหรรษ์ของเส้นหนทางยังไม่หมดเท่านี้ เพราะจากจุดๆ นี้กว่าจะผ่านน้ำตกตะเพินคี่กลางไปได้เราต้องเดินลัดเลาะปีนขึ้นทางน้ำตกกันล้วนๆ
หากจะพึ่งพาสองขาของตัวเองในตอนนี้เห็นทีจะไม่รอด เลยต้องหาที่พึ่งพิงซะหน่อย โชคดีได้พี่สาวที่แสนดีคนนี้แหละ ^^
ไม่ว่ามองไปทางไหน ธรรมชาติที่นี่ก็ดูสดชื่นไปหมดเลย (เห็นแล้วหายเหนื่อยค่ะ)
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ขอแวะเติมพลังกันก่อนนะ
ข้าวเหนียวหมูห่อใบตองตอนหิวนี่มันสุดยอดเลยค่าาาา
ในที่สุดการผจญภัยที่คิดว่ายากสุดในชีวิตก็มาถึง คือการปีนผาน้ำตก โดยมีเพียงเชือกเส้นเดียวเท่านั้น ! (ย้ำว่าเชือก...เส้นเดียว) เชือกเพียงเส้นเดียวที่เราไม่เคยเห็นคุณค่า แต่วินาทีนี้เชือกเส้นเดียวกลับกลายเป็นความหวังของทั้งชีวิตในตอนนี้ที่มีอยู่ในมือ งานนี้เราต้องจับเชือกปีนขึ้นไปทีละคนๆ ถึงตอนนี้ ไม่มีใครช่วยใครได้ มีเพียงสองขากับหนึ่งดวงใจที่เชื่อมั่นของตัวเราเองเท่านั้นที่จะทำให้ผ่านไปได้…
หลังจากจัดหนักความโหดมาเต็มๆ ก็มาถึงจุดกางเต้นท์คืนนี้สักที
ภาพนี้ คือ บีฟอร์ แอนด์ อาฟเตอร์ นะฮับ...เหนื่อยแค่ไหน ดูจากหน้า อาฟเตอร์เท่านั้นนะฮะ
หลังจากอาบน้ำแสนเย็นฉ่ำ (เย็นม๊ากมากก) สาวๆ ก็มายืนสวยเป็นนางแบบกันค่ะ
ปาร์ตี้พักเหนื่อยกันหน่อย แจมด้วยหมาน้อยอีกตัวฮะ
เนื่องจากอากาศตอนกลางคืนค่อนข้างหนาว เสื้อยืดตัวเดียวเอาไม่อยู่นะค๊าาา
ก่อนที่เราจะไปนอนนับดาวกัน ได้มีโอกาสชมการแสดงของน้องๆ ชาวกะเหรี่ยงด้วย น่ารักมากเลยค่ะ (ไม่คิดเหมือนกันว่าสุพรรณบุรีจะมีชาวกะเหรี่ยงด้วย)
หลังจากก้าวผ่านบดทดสอบสุดโหดของเมื่อวานมาได้ แต่นั่นยังไม่ใช่ที่สุดแห่งชัยชนะ เพราะปลายทางสุดท้ายในครั้งนี้คือ การเดินขึ้นยอดเขาเทวดา เพื่อไปสัมผัสเมืองแห่งสวรรค์บนยอดเขา…ชมทะเลหมอกและรับแสงตะวันยามเช้า ที่นับเป็นไฮไลท์สุดๆ แห่งการผจญภัยในแดนสุพรรณฯ (งานนี้ยอมเหนื่อยอีกหน่อยจะเป็นไรไป)
เช้าวันถัดมาเราจึงเดินขึ้นเขาเทวดากันค่ะ (แอบกระซิบว่า ทางสูงชันสมชื่อยอดเขาเทวดาเลยนะ)
เราเริ่มออกเดินทางขึ้นสู่ยอดเขาเทวดาในเวลาราวๆ ตีห้า ถึงแม้ทางขึ้นยอดเขาเทวดานี้ไม่ได้เลี้ยวเลาะไปมาให้ยุ่งยากปวดหัวใจเหมือนที่เดินป่าเมื่อวาน แต่ความยากมันอยู่ตรงที่เป็นทางขึ้นชันกว่า และเป็นทางดินที่ลื่นแสนลื่น แถมยังพ่วงท้ายความลำบากด้วยรองเท้าลื่นๆ อีกต่างหาก
แต่ในที่สุดก็ถึงจนได้ จุดหมายแห่งความฝันที่อยากสัมผัสก็ชัดแจ้งขึ้นปรากฎต่อสายตา…ทะเลหมอกขาวโพลนดุจปุยนุ่น เหมือนสวรรค์ที่จะเห็นเทวดาจริงๆ…นี่เองสินะ ยอดเขานี้ถึงชื่อ ‘ยอดเขาเทวดา’
ในที่สุดพวกเราก็ได้เป็นผู้พิชิตยอดเขาเทวดากันยกทีม (งานนี้ผ่านมาได้เพราะผู้พิทักษ์ใจดีทุกท่านจริงๆ ค่ะ)
หลังจากขึ้นได้ชมทะเลหมอกไปแล้ว ก็ขอพามาชมบรรยากาศทุ่งนาแสนสดชื่นที่ด้านล่างกันบ้างค่ะ
ขออภัยหากรูปรองเท้าไม่เหมาะสมนะคะ แต่อยากให้เห็นว่าไม่ควรนำลาคอสมาเดินป่า มิเช่นนั้นจะเป็นสภาพนี้
เช้าวันสุดท้าย เราไปนั่งดูพี่ๆ โรยตัวบนน้ำตกกันค่ะ
เจอข้าวโพดกลางป่าด้วย ใครแอบทิ้งไว้นะ ขอหม่ำซะเลยยย
ก่อนบอกลา ขอถ่ายรูปที่ระลึกกันหน่อยยย
หมดเวลาสนุกแล้วสิ หมดเวลาสนุกแล้วสิ...นั่งรถตู้กลับบ้านกันนะๆ
งานนี้คุ้มค่าเหนื่อยจริงๆ ค่ะ ใครจะเชื่อว่ามาสุพรรณฯ แค่นี้จะมองเห็นทะเลหมอกได้
ช่างเป็นการหนีกรุงที่ใกล้กรุง แต่รู้สึกได้ว่าเต็มอิ่มและสุขใจ
บางทีการที่เราอยู่นิ่งๆ กับที่อาจทำให้เราไม่รู้ว่าพลังในตัวเรายังมีเหลือเฟือรอให้เราใช้แค่ไหน
ลองออกมาหนีกรุงแบบนี้ด้วยตัวเองสักครั้ง แล้วเราจะรู้ว่า…โลกนี้ยังมีความสวยงามอีกมากรอให้เราค้นหาไปพร้อมๆ กับพลังในตัวของเรา
(สุดท้ายนี้ขอขอบคุณรูปสวยๆ ที่ตาลไม่ได้ถ่ายด้วยค่ะ ^^)
...อย่าลืมออกไปเดินทางหาความสุขด้วยกันนะคะ
แล้วพบกับ Beary Design by Tarn ได้ใหม่ครั้งหน้า กับความสนุกเต็มอิ่มเช่นเคยค่ะ
[SR] บุกป่า ฝ่าดง...พุเตย - ยอดเขาเทวดา จ.สุพรรณบุรี
ก่อนอื่นขอเกริ่นถึงความมันส์กันซะหน่อยนะค๊า ว่าจุดหมายปลายทางของเราในครั้งนี้อยู่ที่ จ.สุพรรณบุรี พื้นที่ใกล้ๆ เมืองกรุง แต่กลับรู้สึกเหมือนว่าได้หนีกรุงไปเที่ยวไกลๆ เลยล่ะ...
พิกัดที่เราตั้งกันไว้อยู่ที่ อุทยานแห่งชาติพุเตยค่ะ ขอบอกว่าไม่ใช่อุทยานแห่งชาติธรรมดาๆ นะ เพราะที่นี่คือดินแดนแห่งขุนเขา ผืนป่าหนึ่งเดียวที่สมบูรณ์ที่สุดของเมืองสุพรรณ และยังเป็นเป็นชายป่าผืนสุดท้ายของป่าห้วยขาแข้งอีกด้วย
ส่วนความน่าสนใจนั้นก็ช่างถูกอกถูกใจเหล่านักเดินป่า นักผจญภัยจริงๆ เพราะด้วยธรรมชาติอันสมบูรณ์ ความเงียบสงบของบรรยากาศ และยังมีความหลากหลายทางธรรมทั้งป่าเขา น้ำตก แถมด้วยความงดงามงามของดวงอาทิตย์ยามเช้า ทะเลหมอก ความหนาวเย็น รวมทั้งวิถีชีวิตของชาวกระเหรี่ยงที่นาสนใจอีก
แค่เกริ่นมาขนาดนี้ก็น่าตื่นเต้นแล้วใช่มั้ยคะ ? อย่ารอช้า รีบตามไปลุยด้วยกันเลยดีกว่า !
การเดินทางครั้งนี้ พลพรรคของเราต้องขึ้นรถขับเคลื่อนสี่ล้อจากพื้นที่ทำการอุทยานแห่งชาติพุเตยต่อไปอีกเป็นเวลาเกือบชั่วโมง
เส้นทางสายนี้คือถนนป่าจริงๆ ค่ะ ไม่ใช่ถนนราดยาง ไม่ใช่ถนนคอนกรีตอย่างที่เราเคยเจอ แต่เป็นถนนดินล้วนๆ หนทางจึงไม่ได้เรียบหรู และก็อย่าคิดว่าจะแอบงีบหลับได้ลงนะจ๊ะ เพราะว่างานนี้ไม่ว่าใครก็หลับกันไม่ลงเลยสักคน (ฮา)
หากนึกภาพไม่ออกว่าการอยู่บนท้ายกระบะกับเส้นทางขึ้นเขาด้วยถนนดินแบบนี้เป็นยังไง ขอแนะนำว่าให้ลองเปิดเพลงจังหวะร็อคแบบสุดเหวี่ยงฟังดู มันใช่อารมณ์นั้นเลยค่ะ ไม่ต้องกินยาหัวส่ายเพราะเราจะได้ส่ายกันไปมาจนมึนแน่ละงานนี้
หลังจากโยกเยกบนท้ายรถในจังหวะร็อคสไตล์ดิบเถื่อนมาสักพักก็มาถึงที่หมาย…เส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ
ก่อนที่เราจะเดินเข้าไปสู่พื้นที่น้ำตกตะเพินคี่ สาวๆ ก็ขอถ่ายรูปสวยกันนิดนึง เพราะว่าหลังจากนี้เราคงเจองานโหดจนหมดสวยแน่ๆ
เมื่อแชะภาพกันอิ่มใจแล้ว เราก็พร้อมแล้วที่จะผจญภัยในดินแดนจูราสสิคพาร์คแห่งเมืองสุพรรณฯ …ลุยย !
ก่อนไปเจอน้ำตกตะเพินคี่ เราต้องเดินผ่านป่าไผ่ล้วนๆ (หากันเจอมั้ยว่าเราอยู่ตรงไหน พยายามแต่งตัวให้กลมกลืนธรรมชาติที่สุด คงหาเราไม่เจอใช่ป่าว 555)
เดินมาได้พักใหญ่ หนทางก็เป็นเนินลาดชันมากขึ้น ลัดเลาะตามแนวป่า มุดบ้าง ลอดบ้าง และแล้วเราก็ผ่านป่าไผ่อันวกวนมาได้ ถึงน้ำตกตะเพินคี่แล้ว เย้ๆ แต่หนทางข้างหน้าหลังจากนี้นี่สิที่มันจะไม่ธรรมดา !
ความโหดหฤหรรษ์ของเส้นหนทางยังไม่หมดเท่านี้ เพราะจากจุดๆ นี้กว่าจะผ่านน้ำตกตะเพินคี่กลางไปได้เราต้องเดินลัดเลาะปีนขึ้นทางน้ำตกกันล้วนๆ
หากจะพึ่งพาสองขาของตัวเองในตอนนี้เห็นทีจะไม่รอด เลยต้องหาที่พึ่งพิงซะหน่อย โชคดีได้พี่สาวที่แสนดีคนนี้แหละ ^^
ไม่ว่ามองไปทางไหน ธรรมชาติที่นี่ก็ดูสดชื่นไปหมดเลย (เห็นแล้วหายเหนื่อยค่ะ)
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ขอแวะเติมพลังกันก่อนนะ
ข้าวเหนียวหมูห่อใบตองตอนหิวนี่มันสุดยอดเลยค่าาาา
ในที่สุดการผจญภัยที่คิดว่ายากสุดในชีวิตก็มาถึง คือการปีนผาน้ำตก โดยมีเพียงเชือกเส้นเดียวเท่านั้น ! (ย้ำว่าเชือก...เส้นเดียว) เชือกเพียงเส้นเดียวที่เราไม่เคยเห็นคุณค่า แต่วินาทีนี้เชือกเส้นเดียวกลับกลายเป็นความหวังของทั้งชีวิตในตอนนี้ที่มีอยู่ในมือ งานนี้เราต้องจับเชือกปีนขึ้นไปทีละคนๆ ถึงตอนนี้ ไม่มีใครช่วยใครได้ มีเพียงสองขากับหนึ่งดวงใจที่เชื่อมั่นของตัวเราเองเท่านั้นที่จะทำให้ผ่านไปได้…
หลังจากจัดหนักความโหดมาเต็มๆ ก็มาถึงจุดกางเต้นท์คืนนี้สักที
ภาพนี้ คือ บีฟอร์ แอนด์ อาฟเตอร์ นะฮับ...เหนื่อยแค่ไหน ดูจากหน้า อาฟเตอร์เท่านั้นนะฮะ
หลังจากอาบน้ำแสนเย็นฉ่ำ (เย็นม๊ากมากก) สาวๆ ก็มายืนสวยเป็นนางแบบกันค่ะ
ปาร์ตี้พักเหนื่อยกันหน่อย แจมด้วยหมาน้อยอีกตัวฮะ
เนื่องจากอากาศตอนกลางคืนค่อนข้างหนาว เสื้อยืดตัวเดียวเอาไม่อยู่นะค๊าาา
ก่อนที่เราจะไปนอนนับดาวกัน ได้มีโอกาสชมการแสดงของน้องๆ ชาวกะเหรี่ยงด้วย น่ารักมากเลยค่ะ (ไม่คิดเหมือนกันว่าสุพรรณบุรีจะมีชาวกะเหรี่ยงด้วย)
หลังจากก้าวผ่านบดทดสอบสุดโหดของเมื่อวานมาได้ แต่นั่นยังไม่ใช่ที่สุดแห่งชัยชนะ เพราะปลายทางสุดท้ายในครั้งนี้คือ การเดินขึ้นยอดเขาเทวดา เพื่อไปสัมผัสเมืองแห่งสวรรค์บนยอดเขา…ชมทะเลหมอกและรับแสงตะวันยามเช้า ที่นับเป็นไฮไลท์สุดๆ แห่งการผจญภัยในแดนสุพรรณฯ (งานนี้ยอมเหนื่อยอีกหน่อยจะเป็นไรไป)
เช้าวันถัดมาเราจึงเดินขึ้นเขาเทวดากันค่ะ (แอบกระซิบว่า ทางสูงชันสมชื่อยอดเขาเทวดาเลยนะ)
เราเริ่มออกเดินทางขึ้นสู่ยอดเขาเทวดาในเวลาราวๆ ตีห้า ถึงแม้ทางขึ้นยอดเขาเทวดานี้ไม่ได้เลี้ยวเลาะไปมาให้ยุ่งยากปวดหัวใจเหมือนที่เดินป่าเมื่อวาน แต่ความยากมันอยู่ตรงที่เป็นทางขึ้นชันกว่า และเป็นทางดินที่ลื่นแสนลื่น แถมยังพ่วงท้ายความลำบากด้วยรองเท้าลื่นๆ อีกต่างหาก
แต่ในที่สุดก็ถึงจนได้ จุดหมายแห่งความฝันที่อยากสัมผัสก็ชัดแจ้งขึ้นปรากฎต่อสายตา…ทะเลหมอกขาวโพลนดุจปุยนุ่น เหมือนสวรรค์ที่จะเห็นเทวดาจริงๆ…นี่เองสินะ ยอดเขานี้ถึงชื่อ ‘ยอดเขาเทวดา’
ในที่สุดพวกเราก็ได้เป็นผู้พิชิตยอดเขาเทวดากันยกทีม (งานนี้ผ่านมาได้เพราะผู้พิทักษ์ใจดีทุกท่านจริงๆ ค่ะ)
หลังจากขึ้นได้ชมทะเลหมอกไปแล้ว ก็ขอพามาชมบรรยากาศทุ่งนาแสนสดชื่นที่ด้านล่างกันบ้างค่ะ
ขออภัยหากรูปรองเท้าไม่เหมาะสมนะคะ แต่อยากให้เห็นว่าไม่ควรนำลาคอสมาเดินป่า มิเช่นนั้นจะเป็นสภาพนี้
เช้าวันสุดท้าย เราไปนั่งดูพี่ๆ โรยตัวบนน้ำตกกันค่ะ
เจอข้าวโพดกลางป่าด้วย ใครแอบทิ้งไว้นะ ขอหม่ำซะเลยยย
ก่อนบอกลา ขอถ่ายรูปที่ระลึกกันหน่อยยย
หมดเวลาสนุกแล้วสิ หมดเวลาสนุกแล้วสิ...นั่งรถตู้กลับบ้านกันนะๆ
งานนี้คุ้มค่าเหนื่อยจริงๆ ค่ะ ใครจะเชื่อว่ามาสุพรรณฯ แค่นี้จะมองเห็นทะเลหมอกได้
ช่างเป็นการหนีกรุงที่ใกล้กรุง แต่รู้สึกได้ว่าเต็มอิ่มและสุขใจ
บางทีการที่เราอยู่นิ่งๆ กับที่อาจทำให้เราไม่รู้ว่าพลังในตัวเรายังมีเหลือเฟือรอให้เราใช้แค่ไหน
ลองออกมาหนีกรุงแบบนี้ด้วยตัวเองสักครั้ง แล้วเราจะรู้ว่า…โลกนี้ยังมีความสวยงามอีกมากรอให้เราค้นหาไปพร้อมๆ กับพลังในตัวของเรา
(สุดท้ายนี้ขอขอบคุณรูปสวยๆ ที่ตาลไม่ได้ถ่ายด้วยค่ะ ^^)
...อย่าลืมออกไปเดินทางหาความสุขด้วยกันนะคะ
แล้วพบกับ Beary Design by Tarn ได้ใหม่ครั้งหน้า กับความสนุกเต็มอิ่มเช่นเคยค่ะ