ไปเจอมาขณะอ่านข่าวไปเรื่อยๆค่ะ คิดว่าน่าสนใจดีเพราะเราสังเกตมานานแล้วว่า
โค้ชเจ้าภาพ หลุย ฟิลิเป้ สโคลารี่ เป็นทั้งที่รัก และที่เคารพของทีมเด็กแซมบ้าชุดนี้มากๆ
ยิ่งจากเกมล่าสุดกับชิลี เราเห็นเค้ากอดกัน ปลอบใจ ที่แกออกมาปกป้องหลังเกม
เราว่าดูอบอุ่นดีค่ะ ให้อารมณ์ป๋ามากๆเลย เข้าใจว่าลึกๆแล้วทุกคนคงกดดันน่าดู
แปลขำๆนะคะ ปล่อยมุขก็อย่าเอือมล่ะ เดี๋ยวมีลิงค์ให้อ่านของจริงตอนจบค่ะ
****************************************
หากให้อธิบายถึงความรู้สึกของการยิงจุดโทษในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย อันเดร (อะไรก็กรู) ปิร์โล เขียนไว้ว่า:
"ผมคือคนงานที่หามรุ่งหามค่ำเพื่ออยู่ให้ถึงวันเงินเดือนออก ผมคือนักธุรกิจหมื่นล้านสันดานเสีย ผมคืออาจารย์
ผมคือลูกศิษย์ ผมคือชาวอิตาเลียนพลัดถิ่นที่ไม่เคยห่างพวกเราไปไหนทั้งทัวร์นาเม้นท์ ผมคือเศรษฐินีที่เพียบพร้อม
ผมคือโสเภณีที่ยืนอยู่ตรงหัวมุมถนน ในวินาทีนั้น ผมคือพวกเขาทุกคน"
ลุยซ์ ฟิลิเป้ สโคลารี่ ชายร่างใหญ่จากเมืองบ้านนอกคอกนา Rio Grande do Sul (อ่านไม่ออกฮะ)
กำลังใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลานั้นสำหรับบราซิล ประเทศบ้านเกิดของคนกว่า 200ล้านชีวิตที่รวมเป็นชาติหนึ่งเดียว
นับตั้งแต่ถ้วยจูลส์ ริเม่ต์วาวระยับได้ถูกชูขึ้นเหนือหัวถึงสามครั้งสามคราด้วยฝีเท้าของนักเตะอย่างเปเล่ การินชา
และ แจร์ซินโญ การเล่นฟุตบอลกลายเป็นเส้นทางความฝัน และหัวข้อถกเถียงสำคัญคือพวกเขาจะชนะได้อย่างไร
เช่นเดียวกับว่า พวกเขาจะชนะหรือเปล่า
เรื่องที่ต้องถกกันถือว่าจบลงแล้ว ถ้าบราซิลจะชนะบอลโลกให้ได้ในบ้านเกิด พวกเขาจะไม่ปุบปับเบ่งบานขึ้นมาเป็น
ทีมของซอคเครทีส (โสคราติส) กับฟาลเคาแน่นอน พวกเขาคงต้องล้มลุกคลุกคลานถางทางด้วยตัวเองให้ถึงมาราคาน่า
สโคลารี่รู้สึกเอิอมอยู่เสมอกับพวกที่ชอบพูดซ้ำซากในความงดงามของทีมของ Tele Santana ปี1982 ประชันกับ
ทีมฮังการียุคปี 1954 และทีมดัตช์นำโดยโยฮันน์ ครัฟฟ์ ในฐานะทีมที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ล้มเหลวในการคว้าชัยในศึกฟุตบอลโลก
เขาเคยกล่าวไว้ก่อนที่จะสร้างทีมเมื่อเดือนธันวาคมว่า "ผมโดนวิจารณ์อย่างหนักที่คิดแบบนี้ แต่ถ้าคุณเล่นให้ทั้งสวยงาม
ทั้งชนะไม่ได้ คุณต้องเล่นบอลวิธีอื่น คุณต้องเล่นบอลแบบห่ามๆ มันต้องดีอยู่แล้วที่เล่นให้ออกมาสวยงามและชนะได้
แต่ถ้าเล่นสวยอย่างเดียวแล้วไม่ชนะก็อุบาทว์ตายสิ ใครที่อยากให้ผมทำแบบนั้นนี่งี่เง่าจริงบอกเลย"
ในบ่าย(หรือดึก)ของวันนี้ พวกเขาจะเจอกับโคลอมเบีย ทีมซึ่งถูกมองในแวดวงอเมริกาใต้เหมือนกับที่ยุโรปมองไอร์แลนด์
คือเป็นไม้ประดับที่ดีสำหรับปาร์ตี้หลังเกมแต่คงประหลาดถ้ามีหน้าอยู่ในทัวร์นาเม้นท์นานเกินไป (แรงง่า)
โคลอมเบียเดินทางสู่คาสเตเลาในฟอร์มที่ดูดีกว่าบราซิล บวกกับฮาเมส รอดริเกซแล้ว พวกเขาถือว่ามีศูนย์หน้าดีกว่า(เยอะ)
ในรอบ16ทีมพวกเขาขย้ำอูรุกวัย ทีมที่ทำให้แปดเปื้อนด้วยชื่อเสียของซัวเรสแต่ยังพอดีดีกรีแชมป์แห่งอเมริกาใต้อยู่บ้าง เละเป็นชิ้นๆ
พวกเขาทำมันได้ด้วยความมั่นใจในแบบที่บราซิลไม่มีในเกมที่พวกเขาเอาชนะชิลีที่ เบโล โอริซอนเต้
การที่นายทวารฮูลิโอ เซซาร์ ระเบิดน้ำตาก่อนการดวลจุดโทษ กับการที่เนมาร์จิตตกน้ำตาแตกขณะฟังเพลงชาติ
เมื่อนัดที่พวกเขาเจอกับเม็กซิโกที่ฟอร์ตาเลซา สร้างความประหลาดใจให้กับพวกบรรดาแชมป์เก่าที่วิพากษ์วิจารณ์
ทีมของสโคลารี่ได้ไม่เว้นแต่ละวัน
คาร์ลอส อัลแบร์โต ชายผู้ผงาดชูถ้วยจูลส์ ริเม่ต์ในปี1970 เริ่มจะห่อเหี่ยวใจ
"ทีมร้องไห้ตอนร้องเพลงชาติ ทีมร้องไห้เวลาเจ็บ ทีมร้องไห้ตอนยิงจุดโทษ พอเห๊อะะ! (ตบหน้าผาก)
เขาบอกว่ามันเป็นแรงกดดันจากการเล่นในบ้าน แต่มันก็ควรจะเตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนสิ
ทีมนี้ยังไม่พร้อม 100เปอร์เซ็น แน่นอน"
การคุมทีมเจ้าภาพในช่วงบอลโลกเป็นแรงกดดันที่ไม่เหมือนอะไรทั้งหมดทั้งมวล
อัลฟ์ แรมซีย์ กับ แอมเม่ ฌาร์เกต (Aimé Jacquet อ่านไม่ออกฮะ) ผู้นำอังกฤษและฝรั่งเศสสู่รางวัล
อันยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการลูกหนัง ผ่านมันมาได้ด้วยแรงชิงชังที่มีต่อข้อครหาแบบที่สโคลารี่ได้รับมาล้วนๆ
หมัดแรกที่ฌาร์เกตออกให้สื่อคือ กระบวนท่าโจมตีสุดดราม่าขื่นขมต่อ หนังสือพิมพ์กีฬา เลกี๊ป (L’Equipe แง้)
ในทางกลับกัน เฮลมุท เฌิน ดูเหมือนจะมีอารมณ์ดาวน์สุดๆอยู่เหมือนกันระหว่างทัวร์นาเม้นท์ปี 1974 ในขณะที่กัปตัน
ของเขา ฟรานซ์ เบคเค่นบาวร์ จับพวงมาลัยให้แทนอยากมีประสิทธิภาพ พาทีมเยอรมันตะวันตกพุ่งทะยานไปไกลในครั้งนั้น
Berti Vogts ส่วนหนึ่งของทีมที่คว้าชัยไปได้ที่มิวนิค ย้อนความไปว่า
"พวกเราหลายคนเต็มใจจะแพ็คของกลับบ้านกันหมดแล้ว นั่นแหละคือแรงกดดันมหาศาลที่พวกเราได้รับ"
หลายครั้งหลายคราในบราซิล ที่ซึ่งล้มเหลวในการคว้าชัยในทัวร์นาเม้นท์ปี 1950 ที่มาราคาน่า ได้รับคำจำกัดความ
ไว้โดยนักเขียนบทละคร เนลสัน โรดริเกซ ว่า "ฮิโรชิม่าในบ้านเรา"
สี่สิบสี่ปีผ่านไป บาร์โบซ่า นายทวารผู้รักษาประตูในเกมที่เจอกับอุรุกวัย ไม่ได้รับอนุญาติให้พบกับทัพนักเตะปี 1994
ห่อนที่เขาจะบินไปอเมริกาเพราะทุกคนเชื่อว่าเขาเป็นตัวมหาซวย ภาพที่โรนัลโด้น้ำตาแตกในช่วงเช้าของศึกนัดสุดท้าย
เมื่อปี 1998 ที่ฝรั่งเศส ยังถูกจดจำกันได้ติดตา
"ทุกอย่างที่พวกเราทำจะทำให้บ้านเกิดของเราหดหู่สุดๆไม่ก็มีความสุขสุดๆ" เฟรด ผู้ซึ่งตีนบอดสุดๆในทัวร์นาเม้นท์นี้กล่าว
"ป๋าฟิลช่วยให้พวกเราทำใจกับความกลัวในจิตใจพวกเราได้ว่าผู้คนต้องล้มตายหากเราไม่ชนะ"
ข่าวที่ว่านักเตะทีมชาติบราซิลนัดพบจิตแพทย์ทุกวันอังคารยิ่งทำให้คนเลิกคิ้วจนเถิกหน้าผากหนักขึ้นกว่าเก่า มันอาจจะ
เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจเมื่อดูจากท่าทางสุดโหดโคตรแมนของเขา แต่ป๋าฟิลว่าจ้างนักจิตวิทยามาทำงานกับเค้าตลอด
เป็นเวลานานมากแล้ว เรจิน่า บรันเดา ผู้ซึ่งทำงานที่มหาวิทยาลัยเซาเปาโล ร่วมงานกับสโคลารี่มาตั้งแต่ยุคปี 1990แล้ว
สหพันธ์ฟุตบอลของบราซิล (CBF) มักจะดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพแม้ว่าจะประหลาดแค่ไหนก็ตามเพื่อซับพอร์ท
ทุกความต้องการของทีมเซเลเซา ในปี1962 เมื่อทีมเดินทางถึงค่ายฝึกซ้อมที่ Vina del Mar ชายฝั่งแปซิฟิกของชิลี
มีจดหมายอย่างเป็นทางการส่งไปถึงซ่องในพื้นที่เพื่อจัดสิทธิการใช้บริการพิเศษให้กับทีม นักกีฬาจะได้ไม่เบื่อตลอดทั้ง
ทัวร์นาเม้นท์ แปดปีต่อมา CBF ได้ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญพิเศษจากนาซ่ามาเพื่อดูแลความฟิตของทีมนักเตะอีกด้วย
แต่การดำเนินงานของบรันเดามันธรรมดากว่านั้น โดยขึ้นอยู่กับแบบทดสอบที่จัดทำขึ้นเพื่อให้ลูกๆนักเตะของสโคลารี่
ให้คะแนนตามความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อหัวข้อต่างๆ เธอเคยทำแบบเดียวกันกับทีมชาติโปรตุเกส ซึ่งสโคลารี่เคยคุม
จนถึงรอบชิงในเกมยูโรเมื่อปี 2004
เธอพบว่านักเตะโปรตุเกสนั้นมีความรู้สึกเป็นกลางมากกว่า โดยเฉพาะเรื่องการได้ใบเหลืองหรือการได้ประตูเสียประตู
ทีมบราซิลนั้นจิตใจอ่อนไหวกว่ามาก ห่วงกว่ามากว่าคนอื่นจะคิดถึงพวกเขาแบบไหน ซึ่งเมื่อเอามาใช้ในศึกฟุตบอลโลก
ที่จัดขึ้นในบ้านเกิดตัวเอง เป็นนิสัยที่ทำให้เสียเปรียบเป็นอย่างมาก
"พวกเขาเคร่งเครียดกว่าผู้เล่นทีมชาติอื่นๆ ทั้งในแง่ดีและเสีย" เธอสรุปให้สโคลารี่พร้อมผลการทดสอบก่อนที่เขาจะเลือก
23 คนสุดท้ายในทีม
สโคลารี่ช่วยเรื่องขวัญและกำลังใจด้วยตัวเองเช่นกัน ก่อนรอบสุดท้ายในศึก Confederations Cup ปีที่แล้วที่บราซิลพบกับสเปน
สมาชิกทุกคนในทีมเซเลเซาตื่นขึ้นมาพบจดหมายสอดอยู่ใต้บานประตูห้องพักที่โรงแรมของพวกเขา
ด้านในคือจดหมายที่เขียนคำคมจากมาร์ติน ลูเธอร์ คิง และที่เจ๋งกว่านั้น วอลต์ ดิสนีย์
เมื่อพวกเขารวมตัวกันที่ห้องแต่งตัวที่มาราคาน่าในวันนั้น เหล่าชายหนุ่มผู้เป็นตัวแทนของชาติ
ที่ได้รับชัยชนะในฟุตบอลโลกมากกว่าใครในโลกได้พบกับโน้ตบนกระดานที่สโคลารี่เขียนฝากไว้:
"ไม่มีสิ่งใดอันตรายมากไปกว่าชัยชนะของวันวาน"
มันคือความจริงสำหรับตอนนั้น และจริงยิ่งกว่าสำหรับตอนนี้
ที่มา:
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.independent.co.uk/sport/football/worldcup/brazil-vs-colombia-world-cup-2014-preview-how-big-phil-is-helping-his-flock-cope-with-the-pressure-9582811.html
บทความก่อนเกม: บราซิล VS โคล้มเบีย ความกดดันกับความเชื่อมั่นของป๋าฟิล
โค้ชเจ้าภาพ หลุย ฟิลิเป้ สโคลารี่ เป็นทั้งที่รัก และที่เคารพของทีมเด็กแซมบ้าชุดนี้มากๆ
ยิ่งจากเกมล่าสุดกับชิลี เราเห็นเค้ากอดกัน ปลอบใจ ที่แกออกมาปกป้องหลังเกม
เราว่าดูอบอุ่นดีค่ะ ให้อารมณ์ป๋ามากๆเลย เข้าใจว่าลึกๆแล้วทุกคนคงกดดันน่าดู
แปลขำๆนะคะ ปล่อยมุขก็อย่าเอือมล่ะ เดี๋ยวมีลิงค์ให้อ่านของจริงตอนจบค่ะ
****************************************
หากให้อธิบายถึงความรู้สึกของการยิงจุดโทษในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย อันเดร (อะไรก็กรู) ปิร์โล เขียนไว้ว่า:
"ผมคือคนงานที่หามรุ่งหามค่ำเพื่ออยู่ให้ถึงวันเงินเดือนออก ผมคือนักธุรกิจหมื่นล้านสันดานเสีย ผมคืออาจารย์
ผมคือลูกศิษย์ ผมคือชาวอิตาเลียนพลัดถิ่นที่ไม่เคยห่างพวกเราไปไหนทั้งทัวร์นาเม้นท์ ผมคือเศรษฐินีที่เพียบพร้อม
ผมคือโสเภณีที่ยืนอยู่ตรงหัวมุมถนน ในวินาทีนั้น ผมคือพวกเขาทุกคน"
ลุยซ์ ฟิลิเป้ สโคลารี่ ชายร่างใหญ่จากเมืองบ้านนอกคอกนา Rio Grande do Sul (อ่านไม่ออกฮะ)
กำลังใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลานั้นสำหรับบราซิล ประเทศบ้านเกิดของคนกว่า 200ล้านชีวิตที่รวมเป็นชาติหนึ่งเดียว
นับตั้งแต่ถ้วยจูลส์ ริเม่ต์วาวระยับได้ถูกชูขึ้นเหนือหัวถึงสามครั้งสามคราด้วยฝีเท้าของนักเตะอย่างเปเล่ การินชา
และ แจร์ซินโญ การเล่นฟุตบอลกลายเป็นเส้นทางความฝัน และหัวข้อถกเถียงสำคัญคือพวกเขาจะชนะได้อย่างไร
เช่นเดียวกับว่า พวกเขาจะชนะหรือเปล่า
เรื่องที่ต้องถกกันถือว่าจบลงแล้ว ถ้าบราซิลจะชนะบอลโลกให้ได้ในบ้านเกิด พวกเขาจะไม่ปุบปับเบ่งบานขึ้นมาเป็น
ทีมของซอคเครทีส (โสคราติส) กับฟาลเคาแน่นอน พวกเขาคงต้องล้มลุกคลุกคลานถางทางด้วยตัวเองให้ถึงมาราคาน่า
สโคลารี่รู้สึกเอิอมอยู่เสมอกับพวกที่ชอบพูดซ้ำซากในความงดงามของทีมของ Tele Santana ปี1982 ประชันกับ
ทีมฮังการียุคปี 1954 และทีมดัตช์นำโดยโยฮันน์ ครัฟฟ์ ในฐานะทีมที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ล้มเหลวในการคว้าชัยในศึกฟุตบอลโลก
เขาเคยกล่าวไว้ก่อนที่จะสร้างทีมเมื่อเดือนธันวาคมว่า "ผมโดนวิจารณ์อย่างหนักที่คิดแบบนี้ แต่ถ้าคุณเล่นให้ทั้งสวยงาม
ทั้งชนะไม่ได้ คุณต้องเล่นบอลวิธีอื่น คุณต้องเล่นบอลแบบห่ามๆ มันต้องดีอยู่แล้วที่เล่นให้ออกมาสวยงามและชนะได้
แต่ถ้าเล่นสวยอย่างเดียวแล้วไม่ชนะก็อุบาทว์ตายสิ ใครที่อยากให้ผมทำแบบนั้นนี่งี่เง่าจริงบอกเลย"
ในบ่าย(หรือดึก)ของวันนี้ พวกเขาจะเจอกับโคลอมเบีย ทีมซึ่งถูกมองในแวดวงอเมริกาใต้เหมือนกับที่ยุโรปมองไอร์แลนด์
คือเป็นไม้ประดับที่ดีสำหรับปาร์ตี้หลังเกมแต่คงประหลาดถ้ามีหน้าอยู่ในทัวร์นาเม้นท์นานเกินไป (แรงง่า)
โคลอมเบียเดินทางสู่คาสเตเลาในฟอร์มที่ดูดีกว่าบราซิล บวกกับฮาเมส รอดริเกซแล้ว พวกเขาถือว่ามีศูนย์หน้าดีกว่า(เยอะ)
ในรอบ16ทีมพวกเขาขย้ำอูรุกวัย ทีมที่ทำให้แปดเปื้อนด้วยชื่อเสียของซัวเรสแต่ยังพอดีดีกรีแชมป์แห่งอเมริกาใต้อยู่บ้าง เละเป็นชิ้นๆ
พวกเขาทำมันได้ด้วยความมั่นใจในแบบที่บราซิลไม่มีในเกมที่พวกเขาเอาชนะชิลีที่ เบโล โอริซอนเต้
การที่นายทวารฮูลิโอ เซซาร์ ระเบิดน้ำตาก่อนการดวลจุดโทษ กับการที่เนมาร์จิตตกน้ำตาแตกขณะฟังเพลงชาติ
เมื่อนัดที่พวกเขาเจอกับเม็กซิโกที่ฟอร์ตาเลซา สร้างความประหลาดใจให้กับพวกบรรดาแชมป์เก่าที่วิพากษ์วิจารณ์
ทีมของสโคลารี่ได้ไม่เว้นแต่ละวัน
คาร์ลอส อัลแบร์โต ชายผู้ผงาดชูถ้วยจูลส์ ริเม่ต์ในปี1970 เริ่มจะห่อเหี่ยวใจ
"ทีมร้องไห้ตอนร้องเพลงชาติ ทีมร้องไห้เวลาเจ็บ ทีมร้องไห้ตอนยิงจุดโทษ พอเห๊อะะ! (ตบหน้าผาก)
เขาบอกว่ามันเป็นแรงกดดันจากการเล่นในบ้าน แต่มันก็ควรจะเตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนสิ
ทีมนี้ยังไม่พร้อม 100เปอร์เซ็น แน่นอน"
การคุมทีมเจ้าภาพในช่วงบอลโลกเป็นแรงกดดันที่ไม่เหมือนอะไรทั้งหมดทั้งมวล
อัลฟ์ แรมซีย์ กับ แอมเม่ ฌาร์เกต (Aimé Jacquet อ่านไม่ออกฮะ) ผู้นำอังกฤษและฝรั่งเศสสู่รางวัล
อันยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการลูกหนัง ผ่านมันมาได้ด้วยแรงชิงชังที่มีต่อข้อครหาแบบที่สโคลารี่ได้รับมาล้วนๆ
หมัดแรกที่ฌาร์เกตออกให้สื่อคือ กระบวนท่าโจมตีสุดดราม่าขื่นขมต่อ หนังสือพิมพ์กีฬา เลกี๊ป (L’Equipe แง้)
ในทางกลับกัน เฮลมุท เฌิน ดูเหมือนจะมีอารมณ์ดาวน์สุดๆอยู่เหมือนกันระหว่างทัวร์นาเม้นท์ปี 1974 ในขณะที่กัปตัน
ของเขา ฟรานซ์ เบคเค่นบาวร์ จับพวงมาลัยให้แทนอยากมีประสิทธิภาพ พาทีมเยอรมันตะวันตกพุ่งทะยานไปไกลในครั้งนั้น
Berti Vogts ส่วนหนึ่งของทีมที่คว้าชัยไปได้ที่มิวนิค ย้อนความไปว่า
"พวกเราหลายคนเต็มใจจะแพ็คของกลับบ้านกันหมดแล้ว นั่นแหละคือแรงกดดันมหาศาลที่พวกเราได้รับ"
หลายครั้งหลายคราในบราซิล ที่ซึ่งล้มเหลวในการคว้าชัยในทัวร์นาเม้นท์ปี 1950 ที่มาราคาน่า ได้รับคำจำกัดความ
ไว้โดยนักเขียนบทละคร เนลสัน โรดริเกซ ว่า "ฮิโรชิม่าในบ้านเรา"
สี่สิบสี่ปีผ่านไป บาร์โบซ่า นายทวารผู้รักษาประตูในเกมที่เจอกับอุรุกวัย ไม่ได้รับอนุญาติให้พบกับทัพนักเตะปี 1994
ห่อนที่เขาจะบินไปอเมริกาเพราะทุกคนเชื่อว่าเขาเป็นตัวมหาซวย ภาพที่โรนัลโด้น้ำตาแตกในช่วงเช้าของศึกนัดสุดท้าย
เมื่อปี 1998 ที่ฝรั่งเศส ยังถูกจดจำกันได้ติดตา
"ทุกอย่างที่พวกเราทำจะทำให้บ้านเกิดของเราหดหู่สุดๆไม่ก็มีความสุขสุดๆ" เฟรด ผู้ซึ่งตีนบอดสุดๆในทัวร์นาเม้นท์นี้กล่าว
"ป๋าฟิลช่วยให้พวกเราทำใจกับความกลัวในจิตใจพวกเราได้ว่าผู้คนต้องล้มตายหากเราไม่ชนะ"
ข่าวที่ว่านักเตะทีมชาติบราซิลนัดพบจิตแพทย์ทุกวันอังคารยิ่งทำให้คนเลิกคิ้วจนเถิกหน้าผากหนักขึ้นกว่าเก่า มันอาจจะ
เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจเมื่อดูจากท่าทางสุดโหดโคตรแมนของเขา แต่ป๋าฟิลว่าจ้างนักจิตวิทยามาทำงานกับเค้าตลอด
เป็นเวลานานมากแล้ว เรจิน่า บรันเดา ผู้ซึ่งทำงานที่มหาวิทยาลัยเซาเปาโล ร่วมงานกับสโคลารี่มาตั้งแต่ยุคปี 1990แล้ว
สหพันธ์ฟุตบอลของบราซิล (CBF) มักจะดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพแม้ว่าจะประหลาดแค่ไหนก็ตามเพื่อซับพอร์ท
ทุกความต้องการของทีมเซเลเซา ในปี1962 เมื่อทีมเดินทางถึงค่ายฝึกซ้อมที่ Vina del Mar ชายฝั่งแปซิฟิกของชิลี
มีจดหมายอย่างเป็นทางการส่งไปถึงซ่องในพื้นที่เพื่อจัดสิทธิการใช้บริการพิเศษให้กับทีม นักกีฬาจะได้ไม่เบื่อตลอดทั้ง
ทัวร์นาเม้นท์ แปดปีต่อมา CBF ได้ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญพิเศษจากนาซ่ามาเพื่อดูแลความฟิตของทีมนักเตะอีกด้วย
แต่การดำเนินงานของบรันเดามันธรรมดากว่านั้น โดยขึ้นอยู่กับแบบทดสอบที่จัดทำขึ้นเพื่อให้ลูกๆนักเตะของสโคลารี่
ให้คะแนนตามความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อหัวข้อต่างๆ เธอเคยทำแบบเดียวกันกับทีมชาติโปรตุเกส ซึ่งสโคลารี่เคยคุม
จนถึงรอบชิงในเกมยูโรเมื่อปี 2004
เธอพบว่านักเตะโปรตุเกสนั้นมีความรู้สึกเป็นกลางมากกว่า โดยเฉพาะเรื่องการได้ใบเหลืองหรือการได้ประตูเสียประตู
ทีมบราซิลนั้นจิตใจอ่อนไหวกว่ามาก ห่วงกว่ามากว่าคนอื่นจะคิดถึงพวกเขาแบบไหน ซึ่งเมื่อเอามาใช้ในศึกฟุตบอลโลก
ที่จัดขึ้นในบ้านเกิดตัวเอง เป็นนิสัยที่ทำให้เสียเปรียบเป็นอย่างมาก
"พวกเขาเคร่งเครียดกว่าผู้เล่นทีมชาติอื่นๆ ทั้งในแง่ดีและเสีย" เธอสรุปให้สโคลารี่พร้อมผลการทดสอบก่อนที่เขาจะเลือก
23 คนสุดท้ายในทีม
สโคลารี่ช่วยเรื่องขวัญและกำลังใจด้วยตัวเองเช่นกัน ก่อนรอบสุดท้ายในศึก Confederations Cup ปีที่แล้วที่บราซิลพบกับสเปน
สมาชิกทุกคนในทีมเซเลเซาตื่นขึ้นมาพบจดหมายสอดอยู่ใต้บานประตูห้องพักที่โรงแรมของพวกเขา
ด้านในคือจดหมายที่เขียนคำคมจากมาร์ติน ลูเธอร์ คิง และที่เจ๋งกว่านั้น วอลต์ ดิสนีย์
เมื่อพวกเขารวมตัวกันที่ห้องแต่งตัวที่มาราคาน่าในวันนั้น เหล่าชายหนุ่มผู้เป็นตัวแทนของชาติ
ที่ได้รับชัยชนะในฟุตบอลโลกมากกว่าใครในโลกได้พบกับโน้ตบนกระดานที่สโคลารี่เขียนฝากไว้:
"ไม่มีสิ่งใดอันตรายมากไปกว่าชัยชนะของวันวาน"
มันคือความจริงสำหรับตอนนั้น และจริงยิ่งกว่าสำหรับตอนนี้
ที่มา:
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้