โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
แม้ไม่เชื่อความคิดเรื่องลงทุนของ “เสี่ยปู่-สมพงษ์” แต่ “ธำรงชัย เอกอมรวงศ์” ยอมหยิบจุดเด่นบางข้อมาประยุกต์ใช้
ใครจะรู้!! เบื้องหลังความสำเร็จเรื่องลงทุนของ “หยง-ธำรงชัย เอกอมรวงศ์” บุรุษวัย 33 ปี ผู้ยึดอาชีพ Freedom trader และวิทยากรสอนเรื่องลงทุนหาเลี้ยงชีพ ส่วนหนึ่งจะมาจากการแอบค้านคำพูดเล็กๆของ “เสี่ยปู่-สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล” นักลงทุนรายใหญ่ เจ้าของพอร์ตหลายพันล้านบาท ที่เคยเอ่ยกลางวงข้าวว่า
“หากสัญญาณหุ้นตัวไหนดีจงอย่าช้าให้จัดหนักทันที”
“ใช่!! วันนั้นผมไม่เห็นด้วยกับความคิดของ “เสี่ยปู่” สักเท่าไร ตอนนั้นยึดคติที่ว่า หลักการลงทุนที่ดี ไม่ควรลงทุนกระจุกตัวอยู่ในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง” “เทรดเดอร์มืออาชีพ” ถ่ายทอดความคิดของเมื่อหลายปีก่อนให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week ฟัง
เชื่อหรือไม่.. หลังจากกลับจากกินข้าวกับเซียนหุ้นรายใหญ่ได้ไม่นาน เรานั่งทบทวนความคิดของ “เสี่ยปู่” อย่างตั้งใจอีกครั้ง คิดไปคิดมาเริ่มตกผลึกทางความคิดว่า เขา (เสี่ยปู่) มีดีกรีเป็นถึง “นักลงทุนชั้นเซียน” ที่มีความร่ำรวยเป็นตัวการันตีความเก่ง ฉะนั้นวันนี้เขาคงไม่ได้มีเงินจากการลงทุนมากมายเพียงเพราะ “โชคช่วย” อย่างเดียวแน่นอน แต่ทุกอย่างล้วนแล้วมาจากฝีมือ
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ผมจึงนำคำพูดของ “เสี่ยปู่” มาประยุกต์ใช้กับการลงทุน เพื่อให้เหมาะกับจริตของตนเอง โมเดลที่ว่าคือ “เลือกสินทรัพย์ที่ดีมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง” วิธีการ คือ เน้นกระจายความเสี่ยงด้วยการหันไปลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ เขาย้ำว่า เมื่อเป้าหมายการลงทุนของตัวเอง คือ “ต้องการรวย” ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องมีเงินในหุ้นที่ราคามีแนวโน้มปรับตัวขึ้นมากๆ หากหุ้นตัวนั้นวิ่งขึ้นสู่ระดับนิวไฮ ต้องไม่รีรอที่จะเติมเงินเพราะโอกาสจะทำนิวไฮในระดับใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก
“เล่นหุ้นบางครั้งต้องใช้ “ความโชคดี” มากกว่า “ฝีมือ” ชายวัย 33 ปี บอกความเชื่อของตัวเอง
“ธำรงชัย” ย้ำว่า ตั้งแต่ลงทุนด้วยศาสตาร์ที่ตนเองเป็นผู้คิดค้น พอร์ตลงทุนก็ค่อยๆขยับตัวขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากในปี 2556 มูลค่าการลงทุนปรับตัวขึ้นจาก 35 ล้านบาทในปี 2555 เป็น 120 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตประมาณ 300-400 เปอร์เซ็นต์
ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้น ตอนนั้นนักลงทุนหลายรายต่างพากันกอบโกยเงินจากตลาดหุ้น “หยง” ไม่ได้บอกว่า พอร์ตที่เพิ่มขึ้นเป็น “หลักร้อยล้านบาท” ได้มาจากสินทรัพย์ประเภทใดบ้าง
ปัจจุบันมูลค่าพอร์ตลงทุนยืนระดับ 125-130 ล้านบาท หลักๆจะลงทุนตลาดต่างประเทศ เน้นเล่น Index Future ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ เช่น ดัชนีฮั่งเส็ง (ฮ่องกง), ดัชนีเอสแอนด์พี (สหรัฐอเมริกา) และดัชนี-ซ์ (เยอรมัน) เป็นต้น ส่วนอีก 30 เปอร์เซ็นต์ จะลงทุนในหุ้นที่ซื้อขายอยู่ใน SET 50 Index Future สำหรับ 10 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือจะถือเป็นเงินสด เผื่อมีจังหวะดีๆ จะได้มีเงินเข้าไปเก็บ (ยิ้ม)
เขายอมรับตรงๆว่า วันนี้ “สตอรี่” ในตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนแปลงไปมากจากปี 2555 ฉะนั้นหากนักลงทุนจะหวังให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปสูงๆเหมือนในปี 2555 คงเป็นไปไม่ได้ อย่าลืมตอนนี้คนเล่นหุ้นตกอยู่ใน “อารมณ์อึมครึม” ไม่สามารถหาความแน่นอนของอารมณ์ได้
บางครั้งหุ้นมีสัญญาณซื้อ นักลงทุนคิดว่า ราคาหุ้นต้องวิ่งขึ้นไปหลายเท่าตัวเหมือนรอบก่อนๆ แต่สุดท้ายไม่วิ่งก็มีให้เห็นเยอะแยะไป สุดท้ายกลายเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานที่ดีออกตัวไปก่อนแทน เมื่อหุ้นไทยตกอยู่ในภาวะเช่นนี้ จึงไม่แปลกหากจะเห็น “ชายชื่อหยง” หันไปให้ความสำคัญกับตลาดต่างประเทศแทน
“หุ้นไทยดีนะแต่หุ้นนอกดีกว่า” “เซียนหยง” สถบ
เมื่อถามว่า วันนี้ชีวิตการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นอย่างไร เขาตอบว่า เมื่อก่อนมักนั่งสั่งซื้อขายอยู่ที่บ้าน แต่เมื่อบล.บัวหลวงชวนให้มานั่งซื้อขายที่โบรกเกอร์ ทำให้มีโอกาสเจอผู้ใหญ่เก่งๆหลายท่านคอยให้คำแนะนำเรื่องการลงทุน “ธำรงชัย” พูดเหมือนครั้งแรกที่ “บิสวีค” มีโอกาสได้สัมภาษณ์
ทุกวันนี้กลยุทธ์การลงทุนยังคงเช่นเดิม หากเป็น “หุ้นรายตัว” ส่วนใหญ่จะเน้นลงทุนในบริษัทที่มีกำไรสุทธิปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งตัวไหนมีการเติบโตของราคาหุ้นด้วยจะชอบมาก นอกจากนั้นยังชอบลงทุนในบริษัทที่มีแนวโน้มจะมีพันธมิตรที่ดีเข้ามาร่วมทำงาน สุดท้าย คือ จะชอบหุ้นที่โครงสร้างการเงินมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ปกติจะใช้เวลาอยู่กับสินทรัพย์นั้นๆประมาณ 1 ไตรมาส ที่ผ่านมามักประเมินมูลค่าของสินทรัพย์ต่างๆทุกเดือน หากสถานการณ์ของสินทรัพย์ตัวนั้นยังคงเหมือนเดิมจะยังอยู่ด้วยต่อไป แต่หากภายในเปลี่ยนแปลงอาจครอบครองไม่ถึง 3 เดือน ส่วนใหญ่จะพยายามไม่เปลี่ยนตัวเล่นบ่อยๆ เพราะเป้าหมายการลงทุนคือ
“กินคำใหญ่ ไม่กินคำเล็ก”
“หยง” ยืนยันเหมือนเคยว่า ชีวิตการลงทุนมักมีแค่ 3 ช่วงเวลา ไล่มาตั้งแต่ 1.ช่วงเอาตัวรอด (Survival) หมายความว่า ทุกคนมักต้องลองผิดลองถูก เพื่อหาแนวทางการลงทุนของตนเองให้เจอ ตามสถิติมักใช้เวลา 4-5 ปี 2.ช่วงสร้างเนื้อสร้างตัว (Growth) ส่วนใหญ่จะใช้เวลา 10 ปี ช่วงสุดท้าย คือ ช่วงมั่งคั่ง (Wealth) ปกติจะใช้เวลาอย่างน้อย15 ปี
ถามว่า วันนี้ “เซียนหยง” อยู่ในช่วงไหน เขาสวนกลับทันที “Growth”
แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็น “เซียนเทคนิค” แต่ไม่นิยมซื้อขายแบบเดย์เทรด ส่วนใหญ่จะรอดูสถานการณ์ต่างๆก่อนว่า มีความชัดเจนหรือไม่ หากแน่ใจแล้วจึงค่อยลงมือซื้อขาย วิธีการคือ จะซื้อเก็บไว้ก่อนประมาณ 5-8 วัน เมื่อทุกอย่างได้รับการคอนเฟิร์มว่า กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นก็จะเริ่มปฎิบัติการณ์ซื้อต่อทันที แต่คงไม่ถือยาวเป็นเดือน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกราฟ
ย้อนประวัติการลงทุนของ “ธำรงชัย เอกอมรวงศ์” พบว่า เขาเดินทางกลับเมืองไทยทันที หลังจบการศึกษาด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ประเทศออสเตรเลีย เพื่อมานั่งทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ สุดท้ายทำได้ไม่นานก็มีผู้ใหญ่ชักชวนให้มาทำงานด้านวาณิชธนกิจในโบรกเกอร์แห่งหนึ่ง “จุดเริ่มต้น” ของการลงทุนเกิดขึ้นตอนนั้น
“หยง” ยอมรับว่า สัมผัสชีวิตลงทุนได้ไม่นาน “พอร์ตสะดุดติดลบ” แต่เมื่อมีโอกาสได้เรียนเรื่องเทคนิคกับ “โฉลก สัมพันธารักษ์ หรือที่ใครรู้จักกันในนาม “ลุงโฉลก” นักลงทุนที่โลดแล่นอยู่ในตลาดหุ้นมากกว่า 30 ปี ในฐานะเจ้าของเว็บไซต์ “โฉลกดอทคอม” ก็ทำให้ชีวิตการลงทุนของเราเปลี่ยนแปลงไป
“ผมเริ่มหันมาศึกษาการลงทุนในรูปแบบเทคนิคนาน 7 เดือน เมื่อความมั่นใจเริ่มมีมากขึ้นจึงตัดสินใจยื่นใบลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัทจดทะเบียนแห่งหนึ่ง เพื่อมาเริ่มต้นอาชีพเทรดเดอร์อย่างเต็มตัว ช่วงนั้นบอกกับตัวเองทุกวันว่า หากภายใน 3 ปี ไปไม่รอดในเรื่องลงทุนต้องเดินกลับมาทำงานประจำเหมือนเดิม”
ด้วยความมุ่งมั่นเป็นเลิศผสมกับคำแนะนำของเพื่อนๆ ทำให้ตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินเหินฟ้าไปประเทศฮ่องกง เพื่อเปิดบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับโบรกเกอร์ต่างประเทศ ช่วงนั้นมีโอกาสได้นำวิชาที่ร่ำเรียนเรื่องวิศวกรรมคอมพิวเตอร์มาใช้กับการลงทุน โดยได้ออกแบบโปรแกรมซื้อขายในแบบฉบับ ของตัวเอง
“อยากนอนหลับอย่างมีสุขทุกคืนก็ต้องทำแบบนี้ละ” “เซียนหยง” บอก
“เซียนเทคนิค” เริ่มลงทุนอย่างจริงจังในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า The Chicago Board of Trade (CBOT) ด้วยทุนตั้งต้น 850,000 บาท ผ่านมา 2 เดือน พอร์ตพุ่งเป็น 2 ล้านบาท สุดท้ายโดนวิกฤติปี 2551 เล่นงานยับจนทำให้พอร์ตลงทุนลดลงเหลือ 1 ล้านบาท ภายใน 4 สัปดาห์ ก่อนจะหดเหลือ 500,000 บาท หลังจากผ่านไป 6 สัปดาห์
“ความไม่เข้าใจในหลักการบริหารเงินที่ถูกต้อง” คือ ต้นเหตุแห่งความล้มเหลว แต่สุดท้ายเราก็ลุกขึ้นสู้อีกครั้งจนสามารถกอบกู้เงิน 1 ล้านบาทคืนกลับมาได้ โดยใช้เวลาแค่ 11 เดือน กว่าจะพลิกพอร์ตได้เหนื่อยจริงๆ การลงทุนมันไม่หมูนะ เขาสถบ หลังจากเจ็บตัวครานั้น ก็เริ่มแสวงหาการลงทุนในแบบที่เหมาะกับตัวเองไปเรื่อยๆ
ตั้งแต่ลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์ตลาดต่างประเทศ เราได้กำไรกลับมาค่อนข้างมาก อธิบายๆง่าย เข้าไปลงทุนแค่ 1 ไม้ แต่ได้กำไรกลับมา 1.2 ล้านเหรียญ โดยใช้เวลาการลงทุนเพียง 2 เดือน เมื่อประสบความสำเร็จในตลาดต่างประเทศจึงเริ่มหันมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อในปี 2555
“ผมไม่ใช่คนเก่ง แม้วันนี้จะประสบความสำเร็จจากการลงทุนเร็วมาก หากคุณอยากเป็นแบบผมบ้างต้องออกไปลงทุนในตลาดที่ดูแล้วสามารถทำกำไรได้จำนวนมากๆ เปรียบเหมือนการออกไปตกปลาในบ่อใหม่ๆที่มีปลามากๆ”
เปิดสูตร "รวยร้อยล้าน" "ธำรงชัย เอกอมรวงศ์"
แม้ไม่เชื่อความคิดเรื่องลงทุนของ “เสี่ยปู่-สมพงษ์” แต่ “ธำรงชัย เอกอมรวงศ์” ยอมหยิบจุดเด่นบางข้อมาประยุกต์ใช้
ใครจะรู้!! เบื้องหลังความสำเร็จเรื่องลงทุนของ “หยง-ธำรงชัย เอกอมรวงศ์” บุรุษวัย 33 ปี ผู้ยึดอาชีพ Freedom trader และวิทยากรสอนเรื่องลงทุนหาเลี้ยงชีพ ส่วนหนึ่งจะมาจากการแอบค้านคำพูดเล็กๆของ “เสี่ยปู่-สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล” นักลงทุนรายใหญ่ เจ้าของพอร์ตหลายพันล้านบาท ที่เคยเอ่ยกลางวงข้าวว่า
“หากสัญญาณหุ้นตัวไหนดีจงอย่าช้าให้จัดหนักทันที”
“ใช่!! วันนั้นผมไม่เห็นด้วยกับความคิดของ “เสี่ยปู่” สักเท่าไร ตอนนั้นยึดคติที่ว่า หลักการลงทุนที่ดี ไม่ควรลงทุนกระจุกตัวอยู่ในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง” “เทรดเดอร์มืออาชีพ” ถ่ายทอดความคิดของเมื่อหลายปีก่อนให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week ฟัง
เชื่อหรือไม่.. หลังจากกลับจากกินข้าวกับเซียนหุ้นรายใหญ่ได้ไม่นาน เรานั่งทบทวนความคิดของ “เสี่ยปู่” อย่างตั้งใจอีกครั้ง คิดไปคิดมาเริ่มตกผลึกทางความคิดว่า เขา (เสี่ยปู่) มีดีกรีเป็นถึง “นักลงทุนชั้นเซียน” ที่มีความร่ำรวยเป็นตัวการันตีความเก่ง ฉะนั้นวันนี้เขาคงไม่ได้มีเงินจากการลงทุนมากมายเพียงเพราะ “โชคช่วย” อย่างเดียวแน่นอน แต่ทุกอย่างล้วนแล้วมาจากฝีมือ
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ผมจึงนำคำพูดของ “เสี่ยปู่” มาประยุกต์ใช้กับการลงทุน เพื่อให้เหมาะกับจริตของตนเอง โมเดลที่ว่าคือ “เลือกสินทรัพย์ที่ดีมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง” วิธีการ คือ เน้นกระจายความเสี่ยงด้วยการหันไปลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ เขาย้ำว่า เมื่อเป้าหมายการลงทุนของตัวเอง คือ “ต้องการรวย” ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องมีเงินในหุ้นที่ราคามีแนวโน้มปรับตัวขึ้นมากๆ หากหุ้นตัวนั้นวิ่งขึ้นสู่ระดับนิวไฮ ต้องไม่รีรอที่จะเติมเงินเพราะโอกาสจะทำนิวไฮในระดับใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก
“เล่นหุ้นบางครั้งต้องใช้ “ความโชคดี” มากกว่า “ฝีมือ” ชายวัย 33 ปี บอกความเชื่อของตัวเอง
“ธำรงชัย” ย้ำว่า ตั้งแต่ลงทุนด้วยศาสตาร์ที่ตนเองเป็นผู้คิดค้น พอร์ตลงทุนก็ค่อยๆขยับตัวขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากในปี 2556 มูลค่าการลงทุนปรับตัวขึ้นจาก 35 ล้านบาทในปี 2555 เป็น 120 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตประมาณ 300-400 เปอร์เซ็นต์
ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้น ตอนนั้นนักลงทุนหลายรายต่างพากันกอบโกยเงินจากตลาดหุ้น “หยง” ไม่ได้บอกว่า พอร์ตที่เพิ่มขึ้นเป็น “หลักร้อยล้านบาท” ได้มาจากสินทรัพย์ประเภทใดบ้าง
ปัจจุบันมูลค่าพอร์ตลงทุนยืนระดับ 125-130 ล้านบาท หลักๆจะลงทุนตลาดต่างประเทศ เน้นเล่น Index Future ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ เช่น ดัชนีฮั่งเส็ง (ฮ่องกง), ดัชนีเอสแอนด์พี (สหรัฐอเมริกา) และดัชนี-ซ์ (เยอรมัน) เป็นต้น ส่วนอีก 30 เปอร์เซ็นต์ จะลงทุนในหุ้นที่ซื้อขายอยู่ใน SET 50 Index Future สำหรับ 10 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือจะถือเป็นเงินสด เผื่อมีจังหวะดีๆ จะได้มีเงินเข้าไปเก็บ (ยิ้ม)
เขายอมรับตรงๆว่า วันนี้ “สตอรี่” ในตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนแปลงไปมากจากปี 2555 ฉะนั้นหากนักลงทุนจะหวังให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปสูงๆเหมือนในปี 2555 คงเป็นไปไม่ได้ อย่าลืมตอนนี้คนเล่นหุ้นตกอยู่ใน “อารมณ์อึมครึม” ไม่สามารถหาความแน่นอนของอารมณ์ได้
บางครั้งหุ้นมีสัญญาณซื้อ นักลงทุนคิดว่า ราคาหุ้นต้องวิ่งขึ้นไปหลายเท่าตัวเหมือนรอบก่อนๆ แต่สุดท้ายไม่วิ่งก็มีให้เห็นเยอะแยะไป สุดท้ายกลายเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานที่ดีออกตัวไปก่อนแทน เมื่อหุ้นไทยตกอยู่ในภาวะเช่นนี้ จึงไม่แปลกหากจะเห็น “ชายชื่อหยง” หันไปให้ความสำคัญกับตลาดต่างประเทศแทน
“หุ้นไทยดีนะแต่หุ้นนอกดีกว่า” “เซียนหยง” สถบ
เมื่อถามว่า วันนี้ชีวิตการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นอย่างไร เขาตอบว่า เมื่อก่อนมักนั่งสั่งซื้อขายอยู่ที่บ้าน แต่เมื่อบล.บัวหลวงชวนให้มานั่งซื้อขายที่โบรกเกอร์ ทำให้มีโอกาสเจอผู้ใหญ่เก่งๆหลายท่านคอยให้คำแนะนำเรื่องการลงทุน “ธำรงชัย” พูดเหมือนครั้งแรกที่ “บิสวีค” มีโอกาสได้สัมภาษณ์
ทุกวันนี้กลยุทธ์การลงทุนยังคงเช่นเดิม หากเป็น “หุ้นรายตัว” ส่วนใหญ่จะเน้นลงทุนในบริษัทที่มีกำไรสุทธิปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งตัวไหนมีการเติบโตของราคาหุ้นด้วยจะชอบมาก นอกจากนั้นยังชอบลงทุนในบริษัทที่มีแนวโน้มจะมีพันธมิตรที่ดีเข้ามาร่วมทำงาน สุดท้าย คือ จะชอบหุ้นที่โครงสร้างการเงินมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ปกติจะใช้เวลาอยู่กับสินทรัพย์นั้นๆประมาณ 1 ไตรมาส ที่ผ่านมามักประเมินมูลค่าของสินทรัพย์ต่างๆทุกเดือน หากสถานการณ์ของสินทรัพย์ตัวนั้นยังคงเหมือนเดิมจะยังอยู่ด้วยต่อไป แต่หากภายในเปลี่ยนแปลงอาจครอบครองไม่ถึง 3 เดือน ส่วนใหญ่จะพยายามไม่เปลี่ยนตัวเล่นบ่อยๆ เพราะเป้าหมายการลงทุนคือ
“กินคำใหญ่ ไม่กินคำเล็ก”
“หยง” ยืนยันเหมือนเคยว่า ชีวิตการลงทุนมักมีแค่ 3 ช่วงเวลา ไล่มาตั้งแต่ 1.ช่วงเอาตัวรอด (Survival) หมายความว่า ทุกคนมักต้องลองผิดลองถูก เพื่อหาแนวทางการลงทุนของตนเองให้เจอ ตามสถิติมักใช้เวลา 4-5 ปี 2.ช่วงสร้างเนื้อสร้างตัว (Growth) ส่วนใหญ่จะใช้เวลา 10 ปี ช่วงสุดท้าย คือ ช่วงมั่งคั่ง (Wealth) ปกติจะใช้เวลาอย่างน้อย15 ปี
ถามว่า วันนี้ “เซียนหยง” อยู่ในช่วงไหน เขาสวนกลับทันที “Growth”
แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็น “เซียนเทคนิค” แต่ไม่นิยมซื้อขายแบบเดย์เทรด ส่วนใหญ่จะรอดูสถานการณ์ต่างๆก่อนว่า มีความชัดเจนหรือไม่ หากแน่ใจแล้วจึงค่อยลงมือซื้อขาย วิธีการคือ จะซื้อเก็บไว้ก่อนประมาณ 5-8 วัน เมื่อทุกอย่างได้รับการคอนเฟิร์มว่า กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นก็จะเริ่มปฎิบัติการณ์ซื้อต่อทันที แต่คงไม่ถือยาวเป็นเดือน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกราฟ
ย้อนประวัติการลงทุนของ “ธำรงชัย เอกอมรวงศ์” พบว่า เขาเดินทางกลับเมืองไทยทันที หลังจบการศึกษาด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ประเทศออสเตรเลีย เพื่อมานั่งทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ สุดท้ายทำได้ไม่นานก็มีผู้ใหญ่ชักชวนให้มาทำงานด้านวาณิชธนกิจในโบรกเกอร์แห่งหนึ่ง “จุดเริ่มต้น” ของการลงทุนเกิดขึ้นตอนนั้น
“หยง” ยอมรับว่า สัมผัสชีวิตลงทุนได้ไม่นาน “พอร์ตสะดุดติดลบ” แต่เมื่อมีโอกาสได้เรียนเรื่องเทคนิคกับ “โฉลก สัมพันธารักษ์ หรือที่ใครรู้จักกันในนาม “ลุงโฉลก” นักลงทุนที่โลดแล่นอยู่ในตลาดหุ้นมากกว่า 30 ปี ในฐานะเจ้าของเว็บไซต์ “โฉลกดอทคอม” ก็ทำให้ชีวิตการลงทุนของเราเปลี่ยนแปลงไป
“ผมเริ่มหันมาศึกษาการลงทุนในรูปแบบเทคนิคนาน 7 เดือน เมื่อความมั่นใจเริ่มมีมากขึ้นจึงตัดสินใจยื่นใบลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัทจดทะเบียนแห่งหนึ่ง เพื่อมาเริ่มต้นอาชีพเทรดเดอร์อย่างเต็มตัว ช่วงนั้นบอกกับตัวเองทุกวันว่า หากภายใน 3 ปี ไปไม่รอดในเรื่องลงทุนต้องเดินกลับมาทำงานประจำเหมือนเดิม”
ด้วยความมุ่งมั่นเป็นเลิศผสมกับคำแนะนำของเพื่อนๆ ทำให้ตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินเหินฟ้าไปประเทศฮ่องกง เพื่อเปิดบัญชีสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับโบรกเกอร์ต่างประเทศ ช่วงนั้นมีโอกาสได้นำวิชาที่ร่ำเรียนเรื่องวิศวกรรมคอมพิวเตอร์มาใช้กับการลงทุน โดยได้ออกแบบโปรแกรมซื้อขายในแบบฉบับ ของตัวเอง
“อยากนอนหลับอย่างมีสุขทุกคืนก็ต้องทำแบบนี้ละ” “เซียนหยง” บอก
“เซียนเทคนิค” เริ่มลงทุนอย่างจริงจังในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า The Chicago Board of Trade (CBOT) ด้วยทุนตั้งต้น 850,000 บาท ผ่านมา 2 เดือน พอร์ตพุ่งเป็น 2 ล้านบาท สุดท้ายโดนวิกฤติปี 2551 เล่นงานยับจนทำให้พอร์ตลงทุนลดลงเหลือ 1 ล้านบาท ภายใน 4 สัปดาห์ ก่อนจะหดเหลือ 500,000 บาท หลังจากผ่านไป 6 สัปดาห์
“ความไม่เข้าใจในหลักการบริหารเงินที่ถูกต้อง” คือ ต้นเหตุแห่งความล้มเหลว แต่สุดท้ายเราก็ลุกขึ้นสู้อีกครั้งจนสามารถกอบกู้เงิน 1 ล้านบาทคืนกลับมาได้ โดยใช้เวลาแค่ 11 เดือน กว่าจะพลิกพอร์ตได้เหนื่อยจริงๆ การลงทุนมันไม่หมูนะ เขาสถบ หลังจากเจ็บตัวครานั้น ก็เริ่มแสวงหาการลงทุนในแบบที่เหมาะกับตัวเองไปเรื่อยๆ
ตั้งแต่ลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์ตลาดต่างประเทศ เราได้กำไรกลับมาค่อนข้างมาก อธิบายๆง่าย เข้าไปลงทุนแค่ 1 ไม้ แต่ได้กำไรกลับมา 1.2 ล้านเหรียญ โดยใช้เวลาการลงทุนเพียง 2 เดือน เมื่อประสบความสำเร็จในตลาดต่างประเทศจึงเริ่มหันมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อในปี 2555
“ผมไม่ใช่คนเก่ง แม้วันนี้จะประสบความสำเร็จจากการลงทุนเร็วมาก หากคุณอยากเป็นแบบผมบ้างต้องออกไปลงทุนในตลาดที่ดูแล้วสามารถทำกำไรได้จำนวนมากๆ เปรียบเหมือนการออกไปตกปลาในบ่อใหม่ๆที่มีปลามากๆ”