กล่าวนำ
นิยายเรื่องนี้ผมเขียนเล่นๆ (พอดีว่าว่าง) ประกอบกับช่วงนี้แรงบรรดาลใจมังเยอะ แหะๆ /ก็ เนื้อเรื่องนำมาจากการ์ตูนหรือหนังหลายๆเรื่องที่ผมประทับใจเอามาผสมปนเปกันไป เช่น ดิจิม่อน ไมอิเมะ กัสเบล หรือแม้แต่เซล่ามูน 555 /เอามาผสมปนเปกันไปมาเกิดเป็นเรื่องใหม่ที่ผมตั่งชื่อว่า The Princess of Element Sixteen หรือชื่อไทยคือ ศึกเจ้าหญิงแห่งธาตุมนต์ตราทั้ง 16
อาจมีคำเขียนผิดไม่น้อยก็มากก็ขอให้อ่านให้เป็นถูกนะครับ ส่วนเนื้อเรื่องจะเป็นยังไงก็ติดตามอ่านได้นะคับ
อารมบท
บนโลกใบนี้ มีหลายสิ่งอย่าง ที่พวกคุณยังไม่รู้และไม่เคยพบเห็น จากความหัศจรรย์ ความคิด จินตนาการทุกสิ่งถือกำเนิดขึ้นและดับไปภายใต้กฎเกณฑ์ของมันเอง
สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อ โพนิกส์ เป็นพลังงานไร้มวลสารแปลรูปไปตามสภาพของเอกภพมีความคิดความรู้สึกและพลัง ทุกสิ่งบนโลกฉันสามารถสัมผัสและรับรู้ได้ แต่ฉันก็ยังคงอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของจักวาล สิ่งที่ฉันกำลังจะกล่าวต่อไปนี้ เป็นเรื่องของสาวงามทั้ง 16 คน
กลุ่มสาวงามผู้เลอโฉมที่ได้รับพลังแห่งจักวาลและดวงดาว แต่พลังที่ยิ่งใหญ่นี้มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่แสนสาหัดยิ่งนัก
หน้าที่ของพวกเธอคือเรียนรู้และใช้มันปกป้องโลกจากสิ่งชั้วร้ายใดๆก็แล้วแต่จนกว่าสิ่งชั้วร้ายเหล่านั้นจะหมดไป จากรุ่นสู้รุ่นพลังที่หลับไหลได้ถูกส่งให้แด่เจ้าของคนใหม่ที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมโดยที่พวกเธอเหล่านั้นยังไม่รู้ตัวจนกว่าจะถึงเวลาที่สมควรแก่การปลดปล่อยเหล่านักรบสาวก็ยังคงใช้ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไป....
จนถึงตอนนี้ ดูเหมือนมีพลังงานบางอย่าง กำลังเคลื่อนที่เข้ามาจากที่ที่ไกลแสนไกลสุดของจักวาล จนฉันสามารถสัมพัสได้ถึงความเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นเชกเช่นในอดีตที่เคยผ่านพ้นมาและฉันเองคงต้องเตรียมการรับมือกับภัยพิบัติที่กำลังไกล้เข้ามา
“ด้วยนามของข้า โพนิกส์ ขอร้องวิงวอนแด่พลังศักศิทธิ์ที่หลับไหลทั้ง 16 ดวงประทีบ หากได้ยินเสียงนี้ขอให้พวกท่านจงประจักรับรู้ไว้ว่า ถึงเวลาแล้วที่พวกท่านควรตื่นขึ้น ตามหาพวกพ้องและรวมกลุ่มเพื่อเตรียมสู้รบในศึกสงครามที่กำลังไกล้เข้ามานี้ด้วยเถิด.....!!”
ตอนที่ 1 "แสงสว่าง"
ไมล์~ๆ ”
“ใครกันนะ? อีกแล้วหรอ?”
“ไมล์…………!!!!!!
“ห๊า!! O_O
นัยน์ตาสีเทาเบิกกว่าง เด็กสาวสดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก แสงจันทร์สาดส่องกระทบกับเตียงนอนในห้องเล็กๆ เธอรีบพยุงตัวเองขึ้นนั่งบนที่นอน สายตาที่ดูวิตกกังวลค่อยๆกลับมาคมกริบอีกครั่ง เธอลุกขึ้นจากเตียงแล้วมุ่งตรงมาปิดผ้าม่านโดยมีแสงจันทร์อ่อนๆคอยนำทาง สภาพห้องจัดแต่งไว้อย่างเรียบร้อยดูคุ้นตา เด็กสาวเดินกลับมานั่งที่เตียงพร้อมกับครุ่นคิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเสียงคล้ายเด็กผู้ชายที่ร้องเรียกเธอในความฝันเมื่อครู่ราวกับป็นเสียงที่ได้ยินจริงๆและดูเหมือนว่าเธอจะฝันแบบนี้บ่อยครั่งจนจำได้ดี
“อีกแล้วหรอเนี้ย....~”
เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนๆกับตัวเองแล้วค่อยๆทิ้งตัวลงนอนในห้องมืดๆอีกครั่งแลดูคล้ายคนหมดแรง ดวงตาสีเทาค่อยๆปิดลงสู้ความมืดสนิดอีกครั่ง~
-----------------ติ๊ดๆ! ติ๊ดๆ!!
ไมล์เอื้อมมือไปปิดเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเล็กๆข้างเตียง
เธอลุกขึ้นจากเตียงอย่างช้าๆเท้าทั่งสองข้างวางลงบนพรมบางๆข้างเตียง พร้อมเหล่ตามองไปที่นาฬิกาที่เธอเพิ่งเอือมมือไปปิด....(!)
“สายปานนี้แล้วหรอเนี้ย!!
ดวงตาสีเทาเบิกกว่างอีกครั่งหลังจากที่เธอหันไปมองนาฬิกา ไมล์รีบลุกขึ้นจากเตียงแล้ว วิ่งเข้าไปในห้องน้ำ เธอคว้าแปลงฟันจากนั้นรีบดึงตัวขยับไปเปิดฝักบัว น้ำอุ่นๆค่อยๆไหลออกกระทบกับใบหน้าใสๆของเธอ น้ำค่อยๆไหลซอกซอนไปทั่วทั่งร้างกาย เธอดึกผ้าเช็ดตัวที่แขวนไว้อยู่ก่อนหน้าแล้วพันรอบอกตัวเองแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความสดชื่น เธอรีบเปิดตู้เสื้อผ้าบานใหญ่ออกแล้วรีบหยิบชุดนักเรียนแขนยาวสีขาวและกางเกงขาสามส่วนสีครามทึบๆ เป็นชุดสำหรับใส่ฤดูหนาวออกมาจัดแต่งเตรียมตัว เธอมองตัวเองในกระจกพร้อมหยิบหวีขึ้นมาหวีผมสีดำเงาสลวยของตัวเองอย่างช้าๆแล้วมัดรวบเป็นหางม้าไว้ ด้วยริมฝีปากอมชมพูและใบหน้าที่เกลี้ยงเกลานัยตาสีเทาแววตาดูคมกริบเธอจึงไม่ต้องแต่งเติมอะไรมากนักนอกจากทาลิปมันและแป้งฝุ่นเบาๆ จากนั้นก็มองตัวเองในกระจกอีกครั่งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีส่วนไหนดูขัดหูขัดตาแล้ว
ท้าวเล็กๆรีบสาวอย่างเร่งรีบลงบันใดไม้เก่าๆ บนโตะติดกับประตูหน้าบ้านมีโน๊ทกระดาษแปะไว้บนกล้องข้าวที่ถูกจัดแต่งไว้อย่างเรียบร้อย ข้อความที่เห็นเป็นลายมือที่เธอคุ้นเคย ”เย็นนี้ พี่กลับช้าหน่อยนะ หาข้าวเย็นกินเองล่ะ 555 ”
เป็นข้อความจากพี่ชายที่แสนดีของเธอนั้นเอง ถึงแม้จะเป็นข้องความที่คุ้นเคยแต่กลับทำให้ใบหน้าที่กำลังเคร่งเครียดอมยิ้มขึ้นมา หลังจากที่ล๊อคประตูหน้าบ้านเรียบร้อยแล้ว เธอก็รีบหันตัวไปที่จักกรยานเก่าๆสีน้ำเงินของเธอ แล้วรีบก้าวขึ้นไปขี่และปั่นออกไปอย่างเร่งรีบมุ่งหน้าสู้แสงอาทิตย์สีส้มที่สาดส่องไปทั่วท้องฟ้าที่สดใสของฤดูหนาว เหมาะกับเป็นวันเปิดเรียนเทิมแรกของเด็กม.ปลายจริงๆ
---(เปิดเรียนวันแรกก็จะสายแล้วหรอเนี้ยเรา) — เธอคิดกับตัวเองพร้อมกับเม้มลิมฝีปากบางๆเข้าหากัน ระหว่างที่ปั่นจักยานมาตามทางนั้นเองก็พบกับเด็กผู้ชายที่ใส่ชุดดูคุ้นตาคล้ายกับชุดโรงเรียนเดียวกับเธอกำลังปั่นจักรยานอย่างใจเย็น ไมล์รีบปั่นจักรยานเข้าไปตีประกบแล้วก็พบกับเด็กหนุ่มผมเทา ผิวสีแทนและนัยตาดำสนิดแลเป็นประกาย เค้าคือ ไนท์ เด็กหนุ่มที่เป็นเพื่อนเรียนร่วมห้องเดียวกันกับเธอ
“นี้!นายนะ สายป่านนี้แล้วยังจะมัวใจเย็นอยู่ได้นะ” ไมล์พูดกับกับ ไนท์ ด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เพราะด้วยความที่เธอเองเป็นคนตรงต่อเวลา
“นี้เธอ ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นก็ได้ โรงเรียนมันไม่หนีไปไหนหรอกน่า” ไนท์ตอบกลับด้วยท่าทีเอื่อยเฉือย พร้อมกับยกมือขึ้นมาขยี้ตาเบาๆ แล้วมองไปที่ไมล์ แต่ใบหน้าคมหล่อเหลาก็ไม่ได้ทำให้ไมล์ใจอ่อนแต่อย่างใด
“(ก็จริงแหะ) นี้! อย่ามาพูดบ้าๆนะ วันนี้มันเปิดเรียนวันแรก ใครเค้าไปกันสายกันยะ” ไมล์เถียงกลับไนท์ด้วยน้ำเสียงฮ่วนๆ พร้อมสบัดหน้าหนีแล้วปั่นจักกรยานนำไปก่อน
"จะไปสายก็ตามใจนายล่ะกัน" เธอตะโกนกลับมาที่ไนท์
ณ ทางลาดชันก่อนจะถึงโรงเรียนเป็นทางผ่านของขบวนรถไฟ
"ติ๊งๆ ติ๊งๆ!!...’’’’
สัญญาณดั่งขึ้นเป็นจังหวะไฟสีแดงกระพริบเตือน ที่กั่นสีขาวสลับแดงค่อยๆเลือนลงมากันทางให้รถไฟที่กำลังจะเข้ามาในอีกไม่ช้า ในขณะเดียวกันนั้นเองไมล์ที่ปั่นจักกรยานมาด้วยความเร็ว เธอรีบกำเบรกแต่เธอกลับรู้สึกถึงความผิดปกติที่เบรกของจักรยาน
“แย่ล่ะซิ!” ไมล์มองไปที่แปลกที่ใช้การไม่ได้แล้ว พร้อมอุทายอย่างตกใจ ดวงตาสีเทาเบิกกว่างด้วยความตกใจลมพัดผิวหน้าอ่อนๆผมสีดำกระจายยุ่งเหยือง รถจักรยานก็ยังคงวิ่งลงมาด้วยความรวดเร็วอย่างไม่มีลดหย่อย
”แย่แน่ๆ! เด็กสาวพยายามใช้เท้าเบรกรถจักรยานที่วิ่งลงมาด้วยความเร็วและแล้วเธอก็เบรคไม่อยู่ จักรยานพุ่ง!เข้าชนกับที่กันทางรถไฟอย่างจัง ร้างของเด็กสาวที่บอบช้ำทะลอกกระเด็นขึ้นเหนือพื้นบนทางรถไฟร้างของเธอหล่นลงกระแทกเข้าอย่างจังกับขอบราง ในขณะที่เธอเหลือบมองนาทีสุดท้ายของชีวิต รถไฟกำลังพรุ่งตรงเข้ามาหาเธอ ความเจ็บปวดซาบซ้านไปทั่วร้างจนไม่สามารถที่จะขยับได้ส่วนใดของร้างกายได้ ผู้คนที่ผ่านมาต่างก็ตกตะลึ่งกับภาพที่เห็นทุกคนจ้องมองพร้อมกับตะโกนหวีดร้องอย่างตกใจ แต่เสียงทั้งหมดนั้นกลับไม่ได้แทรกซึมเข้าไปในประสาทสัพัสของไมล์เลยแม้แต่น้อย
(อะไรกันนะ ทั่งที่เป็นวันเปิดเรียนวันแรกแท้ๆ แต่กลับ.....) น้ำตาเม็ดใสๆของเด็กสาวค่อยๆไหลออกอย่างช้าๆ (เป็นครั่งแรกที่ร้องไห้ต่อหน้าคนเยอะขนาดนี้นะเนี่ย คงเป็นเพราะนี้คงจะเป็นวันสุดท้ายของชีวิตแล้วสินะ น่าขำสิ้นดี) เธอคิดกับตัวเองก่อนที่เธอจะก้มหน้าหลับตามองความมืดยอมรับชตากรรมที่เกิดขึ้นโดยไม่คิดหลีกหนีหรือขอร้องให้ใครช้วย..........~
โปรดติดตามตอนต่อไป
ปล.เป็นเรื่องที่แต่งมาสักพักแล้วแต่ไม่มีเวลาเอามาลงสักที เพื่อนๆคนไหนมีความเห็นหรือติชมแล้วควรแต่งตอนที่2ต่อไหมก็แนะนำเข้ามาได้นะครับ ขอบคุณคับ
ศึกศาสตราเจ้าหญิง16ธาตุ The Princess of Element Sixteen
นิยายเรื่องนี้ผมเขียนเล่นๆ (พอดีว่าว่าง) ประกอบกับช่วงนี้แรงบรรดาลใจมังเยอะ แหะๆ /ก็ เนื้อเรื่องนำมาจากการ์ตูนหรือหนังหลายๆเรื่องที่ผมประทับใจเอามาผสมปนเปกันไป เช่น ดิจิม่อน ไมอิเมะ กัสเบล หรือแม้แต่เซล่ามูน 555 /เอามาผสมปนเปกันไปมาเกิดเป็นเรื่องใหม่ที่ผมตั่งชื่อว่า The Princess of Element Sixteen หรือชื่อไทยคือ ศึกเจ้าหญิงแห่งธาตุมนต์ตราทั้ง 16
อาจมีคำเขียนผิดไม่น้อยก็มากก็ขอให้อ่านให้เป็นถูกนะครับ ส่วนเนื้อเรื่องจะเป็นยังไงก็ติดตามอ่านได้นะคับ
อารมบท
บนโลกใบนี้ มีหลายสิ่งอย่าง ที่พวกคุณยังไม่รู้และไม่เคยพบเห็น จากความหัศจรรย์ ความคิด จินตนาการทุกสิ่งถือกำเนิดขึ้นและดับไปภายใต้กฎเกณฑ์ของมันเอง
สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อ โพนิกส์ เป็นพลังงานไร้มวลสารแปลรูปไปตามสภาพของเอกภพมีความคิดความรู้สึกและพลัง ทุกสิ่งบนโลกฉันสามารถสัมผัสและรับรู้ได้ แต่ฉันก็ยังคงอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของจักวาล สิ่งที่ฉันกำลังจะกล่าวต่อไปนี้ เป็นเรื่องของสาวงามทั้ง 16 คน
กลุ่มสาวงามผู้เลอโฉมที่ได้รับพลังแห่งจักวาลและดวงดาว แต่พลังที่ยิ่งใหญ่นี้มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่แสนสาหัดยิ่งนัก
หน้าที่ของพวกเธอคือเรียนรู้และใช้มันปกป้องโลกจากสิ่งชั้วร้ายใดๆก็แล้วแต่จนกว่าสิ่งชั้วร้ายเหล่านั้นจะหมดไป จากรุ่นสู้รุ่นพลังที่หลับไหลได้ถูกส่งให้แด่เจ้าของคนใหม่ที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมโดยที่พวกเธอเหล่านั้นยังไม่รู้ตัวจนกว่าจะถึงเวลาที่สมควรแก่การปลดปล่อยเหล่านักรบสาวก็ยังคงใช้ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไป....
จนถึงตอนนี้ ดูเหมือนมีพลังงานบางอย่าง กำลังเคลื่อนที่เข้ามาจากที่ที่ไกลแสนไกลสุดของจักวาล จนฉันสามารถสัมพัสได้ถึงความเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นเชกเช่นในอดีตที่เคยผ่านพ้นมาและฉันเองคงต้องเตรียมการรับมือกับภัยพิบัติที่กำลังไกล้เข้ามา
“ด้วยนามของข้า โพนิกส์ ขอร้องวิงวอนแด่พลังศักศิทธิ์ที่หลับไหลทั้ง 16 ดวงประทีบ หากได้ยินเสียงนี้ขอให้พวกท่านจงประจักรับรู้ไว้ว่า ถึงเวลาแล้วที่พวกท่านควรตื่นขึ้น ตามหาพวกพ้องและรวมกลุ่มเพื่อเตรียมสู้รบในศึกสงครามที่กำลังไกล้เข้ามานี้ด้วยเถิด.....!!”
ตอนที่ 1 "แสงสว่าง"
ไมล์~ๆ ”
“ใครกันนะ? อีกแล้วหรอ?”
“ไมล์…………!!!!!!
“ห๊า!! O_O
นัยน์ตาสีเทาเบิกกว่าง เด็กสาวสดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก แสงจันทร์สาดส่องกระทบกับเตียงนอนในห้องเล็กๆ เธอรีบพยุงตัวเองขึ้นนั่งบนที่นอน สายตาที่ดูวิตกกังวลค่อยๆกลับมาคมกริบอีกครั่ง เธอลุกขึ้นจากเตียงแล้วมุ่งตรงมาปิดผ้าม่านโดยมีแสงจันทร์อ่อนๆคอยนำทาง สภาพห้องจัดแต่งไว้อย่างเรียบร้อยดูคุ้นตา เด็กสาวเดินกลับมานั่งที่เตียงพร้อมกับครุ่นคิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเสียงคล้ายเด็กผู้ชายที่ร้องเรียกเธอในความฝันเมื่อครู่ราวกับป็นเสียงที่ได้ยินจริงๆและดูเหมือนว่าเธอจะฝันแบบนี้บ่อยครั่งจนจำได้ดี
“อีกแล้วหรอเนี้ย....~”
เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนๆกับตัวเองแล้วค่อยๆทิ้งตัวลงนอนในห้องมืดๆอีกครั่งแลดูคล้ายคนหมดแรง ดวงตาสีเทาค่อยๆปิดลงสู้ความมืดสนิดอีกครั่ง~
-----------------ติ๊ดๆ! ติ๊ดๆ!!
ไมล์เอื้อมมือไปปิดเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเล็กๆข้างเตียง
เธอลุกขึ้นจากเตียงอย่างช้าๆเท้าทั่งสองข้างวางลงบนพรมบางๆข้างเตียง พร้อมเหล่ตามองไปที่นาฬิกาที่เธอเพิ่งเอือมมือไปปิด....(!)
“สายปานนี้แล้วหรอเนี้ย!!
ดวงตาสีเทาเบิกกว่างอีกครั่งหลังจากที่เธอหันไปมองนาฬิกา ไมล์รีบลุกขึ้นจากเตียงแล้ว วิ่งเข้าไปในห้องน้ำ เธอคว้าแปลงฟันจากนั้นรีบดึงตัวขยับไปเปิดฝักบัว น้ำอุ่นๆค่อยๆไหลออกกระทบกับใบหน้าใสๆของเธอ น้ำค่อยๆไหลซอกซอนไปทั่วทั่งร้างกาย เธอดึกผ้าเช็ดตัวที่แขวนไว้อยู่ก่อนหน้าแล้วพันรอบอกตัวเองแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความสดชื่น เธอรีบเปิดตู้เสื้อผ้าบานใหญ่ออกแล้วรีบหยิบชุดนักเรียนแขนยาวสีขาวและกางเกงขาสามส่วนสีครามทึบๆ เป็นชุดสำหรับใส่ฤดูหนาวออกมาจัดแต่งเตรียมตัว เธอมองตัวเองในกระจกพร้อมหยิบหวีขึ้นมาหวีผมสีดำเงาสลวยของตัวเองอย่างช้าๆแล้วมัดรวบเป็นหางม้าไว้ ด้วยริมฝีปากอมชมพูและใบหน้าที่เกลี้ยงเกลานัยตาสีเทาแววตาดูคมกริบเธอจึงไม่ต้องแต่งเติมอะไรมากนักนอกจากทาลิปมันและแป้งฝุ่นเบาๆ จากนั้นก็มองตัวเองในกระจกอีกครั่งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีส่วนไหนดูขัดหูขัดตาแล้ว
ท้าวเล็กๆรีบสาวอย่างเร่งรีบลงบันใดไม้เก่าๆ บนโตะติดกับประตูหน้าบ้านมีโน๊ทกระดาษแปะไว้บนกล้องข้าวที่ถูกจัดแต่งไว้อย่างเรียบร้อย ข้อความที่เห็นเป็นลายมือที่เธอคุ้นเคย ”เย็นนี้ พี่กลับช้าหน่อยนะ หาข้าวเย็นกินเองล่ะ 555 ”
เป็นข้อความจากพี่ชายที่แสนดีของเธอนั้นเอง ถึงแม้จะเป็นข้องความที่คุ้นเคยแต่กลับทำให้ใบหน้าที่กำลังเคร่งเครียดอมยิ้มขึ้นมา หลังจากที่ล๊อคประตูหน้าบ้านเรียบร้อยแล้ว เธอก็รีบหันตัวไปที่จักกรยานเก่าๆสีน้ำเงินของเธอ แล้วรีบก้าวขึ้นไปขี่และปั่นออกไปอย่างเร่งรีบมุ่งหน้าสู้แสงอาทิตย์สีส้มที่สาดส่องไปทั่วท้องฟ้าที่สดใสของฤดูหนาว เหมาะกับเป็นวันเปิดเรียนเทิมแรกของเด็กม.ปลายจริงๆ
---(เปิดเรียนวันแรกก็จะสายแล้วหรอเนี้ยเรา) — เธอคิดกับตัวเองพร้อมกับเม้มลิมฝีปากบางๆเข้าหากัน ระหว่างที่ปั่นจักยานมาตามทางนั้นเองก็พบกับเด็กผู้ชายที่ใส่ชุดดูคุ้นตาคล้ายกับชุดโรงเรียนเดียวกับเธอกำลังปั่นจักรยานอย่างใจเย็น ไมล์รีบปั่นจักรยานเข้าไปตีประกบแล้วก็พบกับเด็กหนุ่มผมเทา ผิวสีแทนและนัยตาดำสนิดแลเป็นประกาย เค้าคือ ไนท์ เด็กหนุ่มที่เป็นเพื่อนเรียนร่วมห้องเดียวกันกับเธอ
“นี้!นายนะ สายป่านนี้แล้วยังจะมัวใจเย็นอยู่ได้นะ” ไมล์พูดกับกับ ไนท์ ด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เพราะด้วยความที่เธอเองเป็นคนตรงต่อเวลา
“นี้เธอ ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นก็ได้ โรงเรียนมันไม่หนีไปไหนหรอกน่า” ไนท์ตอบกลับด้วยท่าทีเอื่อยเฉือย พร้อมกับยกมือขึ้นมาขยี้ตาเบาๆ แล้วมองไปที่ไมล์ แต่ใบหน้าคมหล่อเหลาก็ไม่ได้ทำให้ไมล์ใจอ่อนแต่อย่างใด
“(ก็จริงแหะ) นี้! อย่ามาพูดบ้าๆนะ วันนี้มันเปิดเรียนวันแรก ใครเค้าไปกันสายกันยะ” ไมล์เถียงกลับไนท์ด้วยน้ำเสียงฮ่วนๆ พร้อมสบัดหน้าหนีแล้วปั่นจักกรยานนำไปก่อน
"จะไปสายก็ตามใจนายล่ะกัน" เธอตะโกนกลับมาที่ไนท์
ณ ทางลาดชันก่อนจะถึงโรงเรียนเป็นทางผ่านของขบวนรถไฟ
"ติ๊งๆ ติ๊งๆ!!...’’’’
สัญญาณดั่งขึ้นเป็นจังหวะไฟสีแดงกระพริบเตือน ที่กั่นสีขาวสลับแดงค่อยๆเลือนลงมากันทางให้รถไฟที่กำลังจะเข้ามาในอีกไม่ช้า ในขณะเดียวกันนั้นเองไมล์ที่ปั่นจักกรยานมาด้วยความเร็ว เธอรีบกำเบรกแต่เธอกลับรู้สึกถึงความผิดปกติที่เบรกของจักรยาน
“แย่ล่ะซิ!” ไมล์มองไปที่แปลกที่ใช้การไม่ได้แล้ว พร้อมอุทายอย่างตกใจ ดวงตาสีเทาเบิกกว่างด้วยความตกใจลมพัดผิวหน้าอ่อนๆผมสีดำกระจายยุ่งเหยือง รถจักรยานก็ยังคงวิ่งลงมาด้วยความรวดเร็วอย่างไม่มีลดหย่อย
”แย่แน่ๆ! เด็กสาวพยายามใช้เท้าเบรกรถจักรยานที่วิ่งลงมาด้วยความเร็วและแล้วเธอก็เบรคไม่อยู่ จักรยานพุ่ง!เข้าชนกับที่กันทางรถไฟอย่างจัง ร้างของเด็กสาวที่บอบช้ำทะลอกกระเด็นขึ้นเหนือพื้นบนทางรถไฟร้างของเธอหล่นลงกระแทกเข้าอย่างจังกับขอบราง ในขณะที่เธอเหลือบมองนาทีสุดท้ายของชีวิต รถไฟกำลังพรุ่งตรงเข้ามาหาเธอ ความเจ็บปวดซาบซ้านไปทั่วร้างจนไม่สามารถที่จะขยับได้ส่วนใดของร้างกายได้ ผู้คนที่ผ่านมาต่างก็ตกตะลึ่งกับภาพที่เห็นทุกคนจ้องมองพร้อมกับตะโกนหวีดร้องอย่างตกใจ แต่เสียงทั้งหมดนั้นกลับไม่ได้แทรกซึมเข้าไปในประสาทสัพัสของไมล์เลยแม้แต่น้อย
(อะไรกันนะ ทั่งที่เป็นวันเปิดเรียนวันแรกแท้ๆ แต่กลับ.....) น้ำตาเม็ดใสๆของเด็กสาวค่อยๆไหลออกอย่างช้าๆ (เป็นครั่งแรกที่ร้องไห้ต่อหน้าคนเยอะขนาดนี้นะเนี่ย คงเป็นเพราะนี้คงจะเป็นวันสุดท้ายของชีวิตแล้วสินะ น่าขำสิ้นดี) เธอคิดกับตัวเองก่อนที่เธอจะก้มหน้าหลับตามองความมืดยอมรับชตากรรมที่เกิดขึ้นโดยไม่คิดหลีกหนีหรือขอร้องให้ใครช้วย..........~
โปรดติดตามตอนต่อไป
ปล.เป็นเรื่องที่แต่งมาสักพักแล้วแต่ไม่มีเวลาเอามาลงสักที เพื่อนๆคนไหนมีความเห็นหรือติชมแล้วควรแต่งตอนที่2ต่อไหมก็แนะนำเข้ามาได้นะครับ ขอบคุณคับ