สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
หมอก็คือปุถุชนครับ มีรัก โลภ โกรธ หลง
ทำเคสยากๆ เสร็จ ก็อยากบอกให้โลกรู้ มันเป็นความรู้สึกอารมณ์สำเร็จแล้วโว้ยย อยากจะตะโกนออกมาดังๆ
คลอดเด็กก็เช่นกัน มันเป็นช่วงเวลาตัดสินความเป็นความตาย ถ้าคลอดได้ก็ปลื้ม ถ่ายรูปดีใจ
แผลเหวอะหวะนี่อาจจะเกินไปหน่อย แต่ก็อาจจะบอกเพื่อน ๆ ในกลุ่มที่เป็นหมอด้วยกัน ว่าเจออะไรแปลกๆ แต่น่าจะเป็นกลุ่มปิด
ที่น่ากลัวกว่าคือคนที่เข้าไปดูแล้วเซฟรูปไปหากินรับบริจาค
ส่วนเรื่องตำหนิคนไข้นี่ ไม่ถูกต้องครับ อาจเป็นเพราะวุฒิภาวะไม่พอเลยลืมตัวมาด่าหน้ากระดานสาธารณะ แต่เท่าที่เห็นเจอแต่คนไข้ด่าหมอมากกว่าหมอด่าคนไข้นะ
ส่วนเรื่องที่มาบ่นน้อยใจ คิดถึงบ้าน เวิ่นเว้อ ก็ต้องเข้าใจว่าหมอที่เค้าไปสามจังหวัดชายแดน ส่วนใหญ่อยู่ไกลบ้านกันหลายร้อบโล บางคนมาจากต่างภาค ยิ่งมาเจอกับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ไม่มีคนรู้จัก ก็คงเหงา เครียดและกดดันเป็นธรรมดา เลยมีระบายออกมาทางเฟซบ้าง
โลกปัจจุบันเทคโนโลยีมันก้าวไกล หมอวันนี้ก็คือเด็กเมื่อวานที่เล่นและโตมากับ socialnetwork เหมือนกัน
เวลามีปัญหาสังคมชอบบอกว่าหมอก็เป็นแค่อาชีพๆนึง เป็นคนธรรมดา ด่าได้ ตำหนิได้ ไม่ใช่เทวดา
แต่พอหมอเล่นเฟซบุ๊คแบบคนธรรมดา สังคมบอกต้องมีจรรยาบรรณ มีกรอบ มีระเบียบ
ผมพยายามบอกน้องๆแพทย์ ว่า facebook ก็เหมือนสนามในบ้านเรา ถึงทำอะไรในสนาม แต่คนข้างบ้านหรือใครผ่านไปผ่านมาก็อาจเห็น
ยิ่งปัจจุบันคนเดินผ่านหน้าบ้านเยอะ และชอบสอดส่อง ดังนั้นทำอะไรในสนามก็ระวังๆ หน่อย
หรือไม่ก็ทำกำแพงไว้สูงๆเช่นตั้งกลุ่มเฉพาะเลย จะได้ไม่ลำบากใจกันครับ
ทำเคสยากๆ เสร็จ ก็อยากบอกให้โลกรู้ มันเป็นความรู้สึกอารมณ์สำเร็จแล้วโว้ยย อยากจะตะโกนออกมาดังๆ
คลอดเด็กก็เช่นกัน มันเป็นช่วงเวลาตัดสินความเป็นความตาย ถ้าคลอดได้ก็ปลื้ม ถ่ายรูปดีใจ
แผลเหวอะหวะนี่อาจจะเกินไปหน่อย แต่ก็อาจจะบอกเพื่อน ๆ ในกลุ่มที่เป็นหมอด้วยกัน ว่าเจออะไรแปลกๆ แต่น่าจะเป็นกลุ่มปิด
ที่น่ากลัวกว่าคือคนที่เข้าไปดูแล้วเซฟรูปไปหากินรับบริจาค
ส่วนเรื่องตำหนิคนไข้นี่ ไม่ถูกต้องครับ อาจเป็นเพราะวุฒิภาวะไม่พอเลยลืมตัวมาด่าหน้ากระดานสาธารณะ แต่เท่าที่เห็นเจอแต่คนไข้ด่าหมอมากกว่าหมอด่าคนไข้นะ
ส่วนเรื่องที่มาบ่นน้อยใจ คิดถึงบ้าน เวิ่นเว้อ ก็ต้องเข้าใจว่าหมอที่เค้าไปสามจังหวัดชายแดน ส่วนใหญ่อยู่ไกลบ้านกันหลายร้อบโล บางคนมาจากต่างภาค ยิ่งมาเจอกับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ไม่มีคนรู้จัก ก็คงเหงา เครียดและกดดันเป็นธรรมดา เลยมีระบายออกมาทางเฟซบ้าง
โลกปัจจุบันเทคโนโลยีมันก้าวไกล หมอวันนี้ก็คือเด็กเมื่อวานที่เล่นและโตมากับ socialnetwork เหมือนกัน
เวลามีปัญหาสังคมชอบบอกว่าหมอก็เป็นแค่อาชีพๆนึง เป็นคนธรรมดา ด่าได้ ตำหนิได้ ไม่ใช่เทวดา
แต่พอหมอเล่นเฟซบุ๊คแบบคนธรรมดา สังคมบอกต้องมีจรรยาบรรณ มีกรอบ มีระเบียบ
ผมพยายามบอกน้องๆแพทย์ ว่า facebook ก็เหมือนสนามในบ้านเรา ถึงทำอะไรในสนาม แต่คนข้างบ้านหรือใครผ่านไปผ่านมาก็อาจเห็น
ยิ่งปัจจุบันคนเดินผ่านหน้าบ้านเยอะ และชอบสอดส่อง ดังนั้นทำอะไรในสนามก็ระวังๆ หน่อย
หรือไม่ก็ทำกำแพงไว้สูงๆเช่นตั้งกลุ่มเฉพาะเลย จะได้ไม่ลำบากใจกันครับ
แสดงความคิดเห็น
ขอบเขตของแพทย์กับการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กในการสื่อสาร อยู่ตรงไหน
- ถ่ายรูปชูสองนิ้วในห้องผ่าตัด ที่มีคนไข้อยู่บนเตียง แต่ไม่เห็นหน้าคนไข้นะ (คาดว่าผ่าตัดเสร็จแล้ว) ลงเฟซบุค
- ถ่ายรูปตัวเองตอนทำคลอดเด็กออกจากท้องแม่มาแล้ว (กำลังอุ้มเด็กตัวแดงๆ) ลงเฟซบุคและไอจี
- ถ่ายรูปแผลเหวอะหวะ ซึ่งบอกว่าเป็นเคสที่น่าสนใจ ลงเฟซบุค
- อัพสเตตัสเฟซบุค ตำหนิคนไข้ที่ไม่มีความรู้ ด้วยถ้อยคำหยาบคาย (เช่น โง่ ควาย 9ล9)
- แพทย์บางคนที่ต้องไปทำงานสามจังหวัดชายแดนใต้ ก็มาบ่นในเฟซบุคว่าลำบาก กันดาร งั้นงี้ ด้วยถ้อยคำที่แสดงความหงุดหงิด ขึ้นกู
9ล9
ตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ถือว่าเป็นเรื่องปกติมั้ย ในแง่ของวิชาชีพ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ หรือวิชาชีพอื่นๆที่มีเรื่องของจรรยาบรรณและสิทธิส่วนบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้อง เค้ามีการสร้างกรอบ หรือระเบียบ อะไรในการควบคุมพฤติกรรมการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คในการเผยแพร่ข้อมูล หรือประสบการณ์ส่วนตัวบ้างรึป่าว