ในหลายปีที่ผ่านมาก็มีการโต้เถียงกันเรื่องภาวะโลกร้อนกัน ซึ่งทางนักวิทยาศาสตร์ก็ได้มีการประเมินว่า มนุษย์อย่างพวกเราไม่สามารถควบคุมบรรยากาศได้ โลกจึงร้อนมากขึ้น แต่ต่อมานักวิทยาศาสตร์ก็ได้มีการแย้งว่า มันเป็นเพียงแค่ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ ตอนนี้ก็มีการนำเรื่องนี้เข้าสู่การเมืองมากขึ้นจนมีทั้งโฆษณาชวนเชื่อและการวิจัยซ้อนกัน แต่ยังไงซะลองมาดู 10 อันดับกันดีกว่า
10.มีการปล่อยสารคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 1000 ตันทุกๆวินาทีเข้าไปในอากาศ
ในช่วงปี 2011 มีการคำนวณเอาไว้ว่า ได้มีการปล่อยสารคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 1000 ตันทุกๆวินาที รวมไปถึงการปล่อยก๊าซชนิดอื่นๆเข้าไปในอากาศด้วย ซึ่งมนุษย์ได้ปล่อยสารต่างๆกลบเกลื่อนชั้นบรรยากาศ จนไปทำลายแก๊สเรือนกระจก ที่เป็นตัวสำคัญในการรักษาอุณหภูมิของโลกเอาไว้ หากมันถูกทำลายลง ชีวิตก็คงดำเนินไม่ราบรื่นแน่ๆ
9.ช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงที่ร้อนที่สุด
ในช่วงทศวรรษระหว่าง 2000-2009 ถือเป็นช่วงที่มีการบันทึกว่า ร้อนตับแตกที่สุดเท่าที่เคยเจอมา ทางด้านงานวิจัยภาวะโลกร้อนของอเมริกาเองก็ได้รายงานว่า อุณหภูมิโดยเฉลี่ยของประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 2 องศาตลอด 50 ปีที่ผ่านมา เป็นอุณหภูมิที่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะต้องร้อนมากขึ้นอีกแน่ๆ
8.ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ระดับน้ำทะเลไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมาเลยในช่วง 2000 ปีที่ผ่านมา แต่พอมาถึงช่วงนี้กลับพบว่าน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นถึง 7 นิ้ว มาจากน้ำแข็งขั้วโลกได้ละลายจากภาวะโลกร้อน หากมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อไป ประเทศบางประเทศก็อาจจะจมลงไปก็เป็นได้
7.ระดับคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มสูงขึ้นมาตลอด 8 แสนปีที่ผ่านมา
ระดับคาร์บอนไดออกไซด์มีการปรับเพิ่มสูงมาตลอด 8 แสนปีมาแล้ว ที่ในช่วงแรกๆก็มีความสมดุลทางธรรมชาติในช่วงล้านปีที่ผ่านมา ตอนนี้มันมีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะว่ามนุษย์เริ่มมีการใช้เชื้อเพลิง พลังงานต่างๆมากขึ้น หมายความว่าต้นไม้ที่คอยปรับความสมดุลของบรรยากาศก็ลดน้อยลงตามไปด้วย
6.การละลายน้ำแข็ง
ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นเกิดมาจากการละลายน้ำแข็ง ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา น้ำแข็งได้มีการละลายมากขึ้นผิดปกติ ในแต่ละปีก็มีแหล่งน้ำเข้ามาใหม่ๆจากทะเล ซึ่งถือเป็นเรื่องอันตรายมาก ทำให้มหาสมุทรเปลี่ยนแปลงไปและยังส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ด้วย
5.จีนกับอเมริกาเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนมากที่สุด
ประเทศอเมริกากับจีนเป็น 2 ประเทศที่มีการปล่อยก๊าซนี้มากที่สุดในโลก ซึ่งจีนประเทศเดียวก็มีการปล่อยก๊าซมากที่สุดถึง 40 % มากกว่าประเทศอเมริกา ซึ่งหลายฝ่ายก็อยากให้ 2 ประเทศนี้หันมาเจรจากันเรื่องการรักษาสภาพแวดล้อม การลดโลกร้อน ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นเรื่องยากเพราะ 2 ประเทศนี้มีการแข่งขันทางเศรษฐกิจที่ดุเดือดเผ็ดมันและการสร้างแสนยานุภาพเพื่อแข่งกันเป็นมหาอำนาจ
4.ปะการังเริ่มได้รับความเสียหายแล้ว
อุณหภูมิทะเลก็เริ่มสูงขึ้น หมายความว่าปะการังในทะเลก็เริ่มดำรงชีวิตได้อย่างยากลำบาก ปรับตัวได้ยาก ยิ่งมีระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นด้วยแล้วนั้น ก็ยิ่งทำให้ปะการังไม่สามารถรับแสงแดดได้มากนัก จึงทำให้ปะการังได้รับอันตรายไปทั่วโลก ซึ่งปะการังถือเป็นสิ่งสำคัญในการปรับระบบนิเวศภายในทะเลและสัตว์ทะเลให้ดำรงชีวิตอยู่ได้
3.จะมีพายุเข้ามาถาโถมมากขึ้น
พายุส่วนใหญ่ก็มักจะเข้ามาในแต่ละปี แต่ละประเทศ เพราะว่าพายุเกิดมาจากชั้นบรรยากาศที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นจากมหาสมุทรและมหาสมุทรเองก็เพิ่มดีกรีความร้อนแรงมากขึ้นทุกๆปี แล้วพายุก็ยิ่งมีความแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก และน่ากลัวยิ่งขึ้น ซึ่งระบบธรรมชาติก็มีอะไรที่มันซับซ้อนปวดหัวอยู่แล้ว แต่พอมาเจอเรื่องนี้แล้ว ก็ต้องหนักใจสำหรับมนุษย์อย่างพวกเราหน่อย
2.มนุษย์ได้เพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปในชั้นบรรยากาศตั้งแต่ปี 1700
อุตสาหกรรมได้เกิดใหม่ในช่วงปี 1700 ก็ขึ้นอยู่กับการดำรงชีวิตของมนุษย์ในยุคนั้นและยิ่งอุตสาหกรรมเติบโตทั้งด้านพลังงาน ด้านเทคโนโลยีด้วยแล้ว ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะเพิ่มคาร์บอนมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเดี๋ยวนี้ก็มีเทคโนโลยีที่ช่วยสิ่งแวดล้อมผุดขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆแล้ว และก็เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็พอเยียวยาภาวะโลกร้อนได้ไม่เลวทีเดียว
1.ระดับความร้อนทำให้สิ่งมีชีวิตเจ็บไข้ได้ป่วยและเสียชีวิตได้
ในช่วงที่ระดับอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นและยิ่งเป็นช่วงหน้าร้อนด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้สิ่งมีชีวิตต่างๆต่างพากันเจ็บไข้ได้ป่วยและตายอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของมนุษย์อย่างพวกเราก็ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อต้านทานกับอุณหภูมิที่ร้อนแรงเกินไปและแม้ว่าโลกจะร้อนมากขึ้น ก็ทำให้มนุษย์ได้ล้มหายตายจากไปหลายล้านคนแล้ว
ผู้เขียน Mr.lawrence10
(เรื่องน่ารู้) 10 อันดับความจริงที่น่ากลัวจากภาวะโลกร้อน
ในช่วงปี 2011 มีการคำนวณเอาไว้ว่า ได้มีการปล่อยสารคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 1000 ตันทุกๆวินาที รวมไปถึงการปล่อยก๊าซชนิดอื่นๆเข้าไปในอากาศด้วย ซึ่งมนุษย์ได้ปล่อยสารต่างๆกลบเกลื่อนชั้นบรรยากาศ จนไปทำลายแก๊สเรือนกระจก ที่เป็นตัวสำคัญในการรักษาอุณหภูมิของโลกเอาไว้ หากมันถูกทำลายลง ชีวิตก็คงดำเนินไม่ราบรื่นแน่ๆ
ในช่วงทศวรรษระหว่าง 2000-2009 ถือเป็นช่วงที่มีการบันทึกว่า ร้อนตับแตกที่สุดเท่าที่เคยเจอมา ทางด้านงานวิจัยภาวะโลกร้อนของอเมริกาเองก็ได้รายงานว่า อุณหภูมิโดยเฉลี่ยของประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 2 องศาตลอด 50 ปีที่ผ่านมา เป็นอุณหภูมิที่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะต้องร้อนมากขึ้นอีกแน่ๆ
ระดับน้ำทะเลไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมาเลยในช่วง 2000 ปีที่ผ่านมา แต่พอมาถึงช่วงนี้กลับพบว่าน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นถึง 7 นิ้ว มาจากน้ำแข็งขั้วโลกได้ละลายจากภาวะโลกร้อน หากมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อไป ประเทศบางประเทศก็อาจจะจมลงไปก็เป็นได้
ระดับคาร์บอนไดออกไซด์มีการปรับเพิ่มสูงมาตลอด 8 แสนปีมาแล้ว ที่ในช่วงแรกๆก็มีความสมดุลทางธรรมชาติในช่วงล้านปีที่ผ่านมา ตอนนี้มันมีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะว่ามนุษย์เริ่มมีการใช้เชื้อเพลิง พลังงานต่างๆมากขึ้น หมายความว่าต้นไม้ที่คอยปรับความสมดุลของบรรยากาศก็ลดน้อยลงตามไปด้วย
ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นเกิดมาจากการละลายน้ำแข็ง ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา น้ำแข็งได้มีการละลายมากขึ้นผิดปกติ ในแต่ละปีก็มีแหล่งน้ำเข้ามาใหม่ๆจากทะเล ซึ่งถือเป็นเรื่องอันตรายมาก ทำให้มหาสมุทรเปลี่ยนแปลงไปและยังส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ด้วย
ประเทศอเมริกากับจีนเป็น 2 ประเทศที่มีการปล่อยก๊าซนี้มากที่สุดในโลก ซึ่งจีนประเทศเดียวก็มีการปล่อยก๊าซมากที่สุดถึง 40 % มากกว่าประเทศอเมริกา ซึ่งหลายฝ่ายก็อยากให้ 2 ประเทศนี้หันมาเจรจากันเรื่องการรักษาสภาพแวดล้อม การลดโลกร้อน ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นเรื่องยากเพราะ 2 ประเทศนี้มีการแข่งขันทางเศรษฐกิจที่ดุเดือดเผ็ดมันและการสร้างแสนยานุภาพเพื่อแข่งกันเป็นมหาอำนาจ
อุณหภูมิทะเลก็เริ่มสูงขึ้น หมายความว่าปะการังในทะเลก็เริ่มดำรงชีวิตได้อย่างยากลำบาก ปรับตัวได้ยาก ยิ่งมีระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นด้วยแล้วนั้น ก็ยิ่งทำให้ปะการังไม่สามารถรับแสงแดดได้มากนัก จึงทำให้ปะการังได้รับอันตรายไปทั่วโลก ซึ่งปะการังถือเป็นสิ่งสำคัญในการปรับระบบนิเวศภายในทะเลและสัตว์ทะเลให้ดำรงชีวิตอยู่ได้
พายุส่วนใหญ่ก็มักจะเข้ามาในแต่ละปี แต่ละประเทศ เพราะว่าพายุเกิดมาจากชั้นบรรยากาศที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นจากมหาสมุทรและมหาสมุทรเองก็เพิ่มดีกรีความร้อนแรงมากขึ้นทุกๆปี แล้วพายุก็ยิ่งมีความแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก และน่ากลัวยิ่งขึ้น ซึ่งระบบธรรมชาติก็มีอะไรที่มันซับซ้อนปวดหัวอยู่แล้ว แต่พอมาเจอเรื่องนี้แล้ว ก็ต้องหนักใจสำหรับมนุษย์อย่างพวกเราหน่อย
อุตสาหกรรมได้เกิดใหม่ในช่วงปี 1700 ก็ขึ้นอยู่กับการดำรงชีวิตของมนุษย์ในยุคนั้นและยิ่งอุตสาหกรรมเติบโตทั้งด้านพลังงาน ด้านเทคโนโลยีด้วยแล้ว ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะเพิ่มคาร์บอนมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเดี๋ยวนี้ก็มีเทคโนโลยีที่ช่วยสิ่งแวดล้อมผุดขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆแล้ว และก็เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็พอเยียวยาภาวะโลกร้อนได้ไม่เลวทีเดียว
ในช่วงที่ระดับอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นและยิ่งเป็นช่วงหน้าร้อนด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้สิ่งมีชีวิตต่างๆต่างพากันเจ็บไข้ได้ป่วยและตายอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของมนุษย์อย่างพวกเราก็ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อต้านทานกับอุณหภูมิที่ร้อนแรงเกินไปและแม้ว่าโลกจะร้อนมากขึ้น ก็ทำให้มนุษย์ได้ล้มหายตายจากไปหลายล้านคนแล้ว
ผู้เขียน Mr.lawrence10