สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจกับ จขกท. และขอให้คุณแม่หายไวๆ นะครับ กรณี จขกท.คล้าย ๆ กับกรณีพ่อผม พ่อผมถูกรถชนเลือดออกในสมองเหมือนกันแต่เป็นด้านซ้ายที่เป็นส่วนสำคัญในการคุมควบการเคลื่อนไหวของร่างกาย ตอนที่ผมไปเจอแกนอนอยู่บนฟุตบาทดูไม่ออกเลย แต่ไปสแกนที่ รพ.รามาพบมีเลือดออก พ่อผมอายุ 67 หลังผ่ามีอาการคือ ต้องเจาะคอ ใส่ท่อ, เจาะหน้าท้องเพื่อรับอาหารทางตรง, ลืมตาได้ข้างซ้ายข้างเดียว, สมองไม่สามารถสั่งการได้ ต้องนอนที่ สถานพักฟื้น อยู่ 4 ปีเต็ม ถูกชน มีค. 48 เสีย มีค. ปี 52
ที่หนักอีกด้านคือการเดินเรื่องคดีกับคู่กรณีของผมคนชนหนี ช่วง 2 วันแรกยังไม่รู้ทะเบียนรถแต่ผ่านไป 3 วันมีคนเอาทะเบียนมาให้ ที่สำคัญคือพยานที่เห็นเหตุการณ์และจดทะเบียนมาให้ไปเป็นพยานที่สถานที่ ตร.และที่ศาลแพ่ง สุดท้ายผ่านไป 2 ศาลให้ผมชนะแต่คู่กรณีไม่เอาเงินมาวางที่ศาล ผมกับทนายต้องไปสืบทรัพย์และยื่นเรื่องที่กรมบังคับคดี จนสุดท้ายมาจบที่ชั้นประนอมที่ศาลอุธรณ์หลังพ่อผมเสีย สรุปสู้กันไป 4 ปีเต็มๆ ตลอด4 ปีคู่กรณีไปเยี่ยมพ่อผมครั้งเดียวจากนั้นไม่เห็นเลย
จริงๆ มีรายละเอียดกว่านี้มากเช่น พ่อ/แม่ ไม่จดทะเบียน ผมกับน้องก็ไม่ได้รับรองบุตรต้องไปร้องกับศาลเยาวชนและครอบครัวเพื่อไปขอเป็นผู้อนุบาล ในวันสุดท้ายก่อนจะหมดอายุความ 1วัน ตลอด 4 ปีที่ผมเป็นผู้อนุบาลพ่อเป็นผู้เสียหายแทนพ่อ วันลาพักร้อนไม่เคยได้เที่ยวต้องไปขึ้นศาลตลอด ส่วนอาการของพ่อมีแต่ทรงกับทรุด เพราะการผ่าตัดล่าช้า ไปถึง รพ. 9 โมงเช้า ได้ผ่า บ่าย 2 เพราะต้องรอฟิลม์เอ็กซ์เรย์ ไหนต้องรบรากับประกันชั้น 3 ของคู่กรณีอีก
แม้ผมเองจะเหนื่อยกับปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตแค่ไหน แต่สิ่งที่ได้รับมาคือความรู้เกี่ยวกับสิ่งทีเกิด และที่สำคัญที่เราได้หันกลับมาดูแลคนข้างๆ ที่ยังอยู่คือคุณแม่ และอย่างน้อยก็ได้กตัญญูกับพ่อ ทำให้เราได้คิดว่าสิ่งที่แน่นอนคือความไม่แน่นอน เพียงเสี้ยววินาทีอาจะเปลี่ยนชีวิตคนไปทั้งชีวิต ทุกวันนี้ถ้าผมคิดถึงแม่ผมจะกดโทรหาทันที
ท้ายนี้หาก จขกท. มีอะไรสงสัยก็หลังไมค์ถามมาได้เลยครับยินดีให้คำปรึกษาเต็มที่ครับ
ที่หนักอีกด้านคือการเดินเรื่องคดีกับคู่กรณีของผมคนชนหนี ช่วง 2 วันแรกยังไม่รู้ทะเบียนรถแต่ผ่านไป 3 วันมีคนเอาทะเบียนมาให้ ที่สำคัญคือพยานที่เห็นเหตุการณ์และจดทะเบียนมาให้ไปเป็นพยานที่สถานที่ ตร.และที่ศาลแพ่ง สุดท้ายผ่านไป 2 ศาลให้ผมชนะแต่คู่กรณีไม่เอาเงินมาวางที่ศาล ผมกับทนายต้องไปสืบทรัพย์และยื่นเรื่องที่กรมบังคับคดี จนสุดท้ายมาจบที่ชั้นประนอมที่ศาลอุธรณ์หลังพ่อผมเสีย สรุปสู้กันไป 4 ปีเต็มๆ ตลอด4 ปีคู่กรณีไปเยี่ยมพ่อผมครั้งเดียวจากนั้นไม่เห็นเลย
จริงๆ มีรายละเอียดกว่านี้มากเช่น พ่อ/แม่ ไม่จดทะเบียน ผมกับน้องก็ไม่ได้รับรองบุตรต้องไปร้องกับศาลเยาวชนและครอบครัวเพื่อไปขอเป็นผู้อนุบาล ในวันสุดท้ายก่อนจะหมดอายุความ 1วัน ตลอด 4 ปีที่ผมเป็นผู้อนุบาลพ่อเป็นผู้เสียหายแทนพ่อ วันลาพักร้อนไม่เคยได้เที่ยวต้องไปขึ้นศาลตลอด ส่วนอาการของพ่อมีแต่ทรงกับทรุด เพราะการผ่าตัดล่าช้า ไปถึง รพ. 9 โมงเช้า ได้ผ่า บ่าย 2 เพราะต้องรอฟิลม์เอ็กซ์เรย์ ไหนต้องรบรากับประกันชั้น 3 ของคู่กรณีอีก
แม้ผมเองจะเหนื่อยกับปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตแค่ไหน แต่สิ่งที่ได้รับมาคือความรู้เกี่ยวกับสิ่งทีเกิด และที่สำคัญที่เราได้หันกลับมาดูแลคนข้างๆ ที่ยังอยู่คือคุณแม่ และอย่างน้อยก็ได้กตัญญูกับพ่อ ทำให้เราได้คิดว่าสิ่งที่แน่นอนคือความไม่แน่นอน เพียงเสี้ยววินาทีอาจะเปลี่ยนชีวิตคนไปทั้งชีวิต ทุกวันนี้ถ้าผมคิดถึงแม่ผมจะกดโทรหาทันที
ท้ายนี้หาก จขกท. มีอะไรสงสัยก็หลังไมค์ถามมาได้เลยครับยินดีให้คำปรึกษาเต็มที่ครับ
ความคิดเห็นที่ 59
เพื่อนฝากมาครับ
เจ้าหน้าที่พสวท.แจ้งว่า
"ขอความช่วยเหลือค่ะ ถ้าใครพอทราบว่าน้องที่ไปตั้งกระทู้เป็นใคร ช่วยส่งเบอร์ติดต่อให้ทาง พสวท. หน่อยนะคะ หรือขอให้ช่วยแจ้งให้เขาโทรเข้ามาที่สาขา พสวท. ก็ได้ค่ะ ที่ สสวท. และสาขา พสวท. เอง มีฝ่ายกฎหมายซึ่งน่าจะให้ความช่วยเหลือได้ค่ะ"
ตามนี้ครับ มีอะไรติดต่อหรือหลังไมค์หาผมได้ เดี๋ยวผมจะส่งต่อให้เพื่อนให้ครับ
เจ้าหน้าที่พสวท.แจ้งว่า
"ขอความช่วยเหลือค่ะ ถ้าใครพอทราบว่าน้องที่ไปตั้งกระทู้เป็นใคร ช่วยส่งเบอร์ติดต่อให้ทาง พสวท. หน่อยนะคะ หรือขอให้ช่วยแจ้งให้เขาโทรเข้ามาที่สาขา พสวท. ก็ได้ค่ะ ที่ สสวท. และสาขา พสวท. เอง มีฝ่ายกฎหมายซึ่งน่าจะให้ความช่วยเหลือได้ค่ะ"
ตามนี้ครับ มีอะไรติดต่อหรือหลังไมค์หาผมได้ เดี๋ยวผมจะส่งต่อให้เพื่อนให้ครับ
ความคิดเห็นที่ 10
น่าเสียดายครับที่เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ โคราช
ถ้าเรื่องเกิดขึ้นที่ กทม ผมจะช่วยดูให้เลยครับ (ไม่ได้พูดเอาโล่ห์)
เรื่องนี้แบ่งเป็น 2 กรณี คือ
1. ความรับผิดในทางอาญา ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส
2. ความรับผิดในทางแพ่ง
กรณีแรก คู่สมรส หรือ บุพการี หรือ บุตร มีอำนาจจัดการแทนได้เลย ไม่ว่าจะแจ้งความดำเนินคดีหรือ ฟ้องทางอาญาด้วยตนเองก็ตาม
กรณีที่ 2 บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ และ พ่อแม่ของแม่ (ตา ยาย ) และ คู่สมรส (พ่อ ) เป็นผู้เสียหายที่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายได้
เรื่องนี้อย่านิ่งนอนใจครับ
แนะนำถ้า ตร.ดำเนินการช้า ผมแนะนำให้ฟ้องอาญาเองเลย
แล้วในทางแพ่งค่อยว่ากันอีกที
ประเด็นเรื่องทางฝั่งโน้นพูดจาไม่ดี อันนี้อยู่ที่ สันขวาน ครับ
อย่าไปสนใจ มันอยากพูดอะไรก็เรื่องของมัน เราดำเนินการตามกฎหมายได้เลย
อ้อ.... อย่าไปหวังพึ่ง ตร.มากนักนะ (บอกแค่นี้แหละ)
ถ้ามีเพื่อนเป็นทนาย และ อยู่ใกล้พื้นที่นั้น บอกเพื่อนให้ดำเนินการเลยครับ อย่าช้า
ถ้าเรื่องเกิดขึ้นที่ กทม ผมจะช่วยดูให้เลยครับ (ไม่ได้พูดเอาโล่ห์)
เรื่องนี้แบ่งเป็น 2 กรณี คือ
1. ความรับผิดในทางอาญา ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส
2. ความรับผิดในทางแพ่ง
กรณีแรก คู่สมรส หรือ บุพการี หรือ บุตร มีอำนาจจัดการแทนได้เลย ไม่ว่าจะแจ้งความดำเนินคดีหรือ ฟ้องทางอาญาด้วยตนเองก็ตาม
กรณีที่ 2 บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ และ พ่อแม่ของแม่ (ตา ยาย ) และ คู่สมรส (พ่อ ) เป็นผู้เสียหายที่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายได้
เรื่องนี้อย่านิ่งนอนใจครับ
แนะนำถ้า ตร.ดำเนินการช้า ผมแนะนำให้ฟ้องอาญาเองเลย
แล้วในทางแพ่งค่อยว่ากันอีกที
ประเด็นเรื่องทางฝั่งโน้นพูดจาไม่ดี อันนี้อยู่ที่ สันขวาน ครับ
อย่าไปสนใจ มันอยากพูดอะไรก็เรื่องของมัน เราดำเนินการตามกฎหมายได้เลย
อ้อ.... อย่าไปหวังพึ่ง ตร.มากนักนะ (บอกแค่นี้แหละ)
ถ้ามีเพื่อนเป็นทนาย และ อยู่ใกล้พื้นที่นั้น บอกเพื่อนให้ดำเนินการเลยครับ อย่าช้า
ความคิดเห็นที่ 45
ผมไม่แน่ใจว่า การที่แม่คุณฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จะขึ้นอยู่กับ กำลังใจหรือเปล่านะครับ
การที่แม่ได้อยู่ใกล้ลูก มันเป็นพลังจากใจสื่อถึงใจ ท่านเลยมีกำลังใจ ฟื้นตัวได้เร็ว
แต่ผมก้ไม่แน่ใจว่า หากท่านอยู่ห่างคุณแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น
ผมเข้าใจครับว่า การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตคุณมาก แต่สำหรับผมแล้ว แม่มีความสำคัญยิ่งกว่า
ขอแนะนำนะครับว่า ให้ลองปรึกษาอาจารย์ที่มหาลัย ว่า drop ระยะสั้นได้มั้ย แล้วค่อยมาเรียนชดเชยทีหลังได้มั้ย
ยิ่งแม่คุณฟื้นตัวได้เร็ว ดังนั้น อาจจะใช้เวลาประมาณ ไม่เกิน 6 เดือน คือ ให้แน่ใจว่า ท่านปลอดภัยแล้ว
แล้วคุณค่อยกลับไปเรียนต่อก็ยังไม่สายนะครับ
ขอเน้นนะครับว่า กำลังใจของพ่อแม่ ที่ดีเยี่ยมที่สุด ก็คือ การได้อยู่ใกล้ลูก นะครับ
..........การเรียน เรียนเมื่อไหร่ก็ได้ แต่แม่ มีแค่คนเดียว นะครับ
หากไม่มีท่านแล้ว ความสำเร็จทั้งปวง จะมีความหมายอะไร............
การที่แม่ได้อยู่ใกล้ลูก มันเป็นพลังจากใจสื่อถึงใจ ท่านเลยมีกำลังใจ ฟื้นตัวได้เร็ว
แต่ผมก้ไม่แน่ใจว่า หากท่านอยู่ห่างคุณแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น
ผมเข้าใจครับว่า การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตคุณมาก แต่สำหรับผมแล้ว แม่มีความสำคัญยิ่งกว่า
ขอแนะนำนะครับว่า ให้ลองปรึกษาอาจารย์ที่มหาลัย ว่า drop ระยะสั้นได้มั้ย แล้วค่อยมาเรียนชดเชยทีหลังได้มั้ย
ยิ่งแม่คุณฟื้นตัวได้เร็ว ดังนั้น อาจจะใช้เวลาประมาณ ไม่เกิน 6 เดือน คือ ให้แน่ใจว่า ท่านปลอดภัยแล้ว
แล้วคุณค่อยกลับไปเรียนต่อก็ยังไม่สายนะครับ
ขอเน้นนะครับว่า กำลังใจของพ่อแม่ ที่ดีเยี่ยมที่สุด ก็คือ การได้อยู่ใกล้ลูก นะครับ
..........การเรียน เรียนเมื่อไหร่ก็ได้ แต่แม่ มีแค่คนเดียว นะครับ
หากไม่มีท่านแล้ว ความสำเร็จทั้งปวง จะมีความหมายอะไร............
แสดงความคิดเห็น
แม่ผมโดนรถชนเลือดออกในสมอง ในขณะที่ผมเรียนอยู่ต่างประเทศ
เริ่มต้นเมื่อวันอาทิตย์ ผมก้อนั่งเล่นคอมที่หอพักที่อยู่ที่ประเทศอังกฤษ ผมก้อเล่นเฟสบุคตามประสานะครับ เเล้วบังเอิญผมก้อเห็นสเตตัสของน้องสาวที่เชคอินที่โรงพยาบาลเเห่งหนึ่งที่จังหวัดนครราชสีมา ผมรู้สึกเริ่มใจไม่ดีครับ ผมเลยโทรหาน้องสาวว่า ใครเป็นอะไร คำตอบที่ได้คือ เเม่โดนรถชนตอนเเรกก้อไม่ได้รุ้สึกอะไรมาก คิดว่ารถชนอะไรนิดๆหน่อยๆ เเต่น้องบอกว่าเเม่สเเกนสมองอยู่ เมื่อนั้นเเหละครับ สิ่งต่างๆๆที่ไม่คิดก้อพรั่งพรูมาในสมองเลยครับ มันงงๆๆ เหมือนฝัน เเล้วความคิดต่างๆๆก้อเกิดขึ้น เเม่เป็นอะไรมากมั้ย เเม่จะจำได้หรือป่าว เพราะการที่เเสกนสมองเนี่ยะ มันคงไม่ชนธรรมดาๆๆ เเล้วพอผมวางสายเสร็จปุ้บ น้ำตาผมก็ไหล ไหลเเบบน้ำตก ไหลเเบบไม่ขาดสาย ไหลเเบบไม่รุ้น้ำตามันมาจากไหนนักหนา เเล้วสักพักผมก้อนึกขึ้นได้ เฮ้ย ผมมีเพื่อนเป็นหมออยู่โรงบาลนั้นนี่หว่า ผมทำอะไรไม่ถูก ผมโทรไป หาเพื่อน บอกเพื่อนว่า "เมิง เเม่กูชื่อ...... โดนรถชนตอนนี้เเสกนสมองอยู่ เมิงช่วยไปดูอาการเเม่กูหน่อยได้ไหมครับว่า เเม่กูเป็นอะไรมากไหม" เพื่อนผมก้อบอกว่า "เออ รอเเปปนึง หมออีกคนไปอาบน้ำอยู่ เด๋ยวรอมันมากูจะไปสืบอาการให้"
เเล้วเพื่อนผมก้อส่งรูปสเเกนสมอง มาให้ผมพร้อมกับลักษณะอาการที่คนทั่วไป รวมถึงผมด้วยไม่สามารถอ่านรุ้เรื่อง เเต่พอที่จะสัมผัสได้ว่ามันรุนเเรงมาก เพื่อนผมบอกผมเลยครับว่า "เมิง ทำใจไว้ก้อดีนะ เขาเตรียมห้องผ่าตัดสมองเพื่อเอาก้อนเลือดขนาดใหญ่ที่คั่งอยู่" คำถามของผมที่พรั่งพรูออกมาเลยคือ เเม่จะจำได้ไหม เเม่จะเดินได้ไหม เเม่จะเป็นยังไง บลาๆๆๆๆๆ เเล้วผมก้อยิ่งร้องไห้ ร้องเเบบไร้เหตุผล
จากนั้น ผมก้อคุยกับเพื่อนสนิทอีกคนที่เรียนมาด้วยกันเมื่อตอน ป ตรี ว่า "เมิง เม่กู......" เเล้วผมก้อร้องไห้ ตอนเเรกนะครับ ผมยังจะรอดูอาการเเม่หลังผ่าตัดว่า จะดีขึ้นหรือเลวลง เเต่คำพูดนึ่งที่เพื่อนผมบอกผมว่า "เมิง กลับไทยเหอะ เเม่เมิงคงอยากเจอเมิง ไม่ว่าเเม่จะดีขึ้นหรือเลวลง ควรจะกลับ" ผมเชื่อเพื่อนครับ ผมจองตั๋วเครื่องบินกลับเลยครับในวันรุ่งขึ้น เเต่เนื่องจากผมต้องทำเลบกับอาจารย์ที่ปรึกษาครับ ผมเลยส่งเมลไปถามที่ปรึกษาครับว่า ผมต้องกลับไทยด่วน ขอลาสองอาทิตย์
เเล้วจากนั้นผมก้อร้องไห้บ้างง เฉยๆๆบ้าง เเล้วเเต่อารมณ์น่ะครับ ตอนนั้นผมมีเงินเก็บอยู่ประมาณ ครึ่งล้าน ผมต้องบอกก่อนว่าครอบครัวผมยากจนครับ เเค่เรียน ป ตรี ผมยังไม่มีปัญญาเรียน ตอน ม หก ผมสอบติดหมอครับที่สถาบันเเห่งนึ่ง เเละสอบติดทุน พสวท ครับ เรียนฟรี ตั้งเเต่ ป ตรี จนถึง ป เอก ตอนนั้นผมสับสนมากครับว่า ถ้าผมเรียนหมอ ยังไงสะผมต้องมีเงินค่าเทอม เงินค่าหอ ค่าใช้จ่ายต่างๆนาๆ เเต่ถ้าผมเรียนวิทย์ ด้วยทุน พสวท มันฟรีหมดครับ ได้เงินค่าใช้จ่ายรายเดือน ด้วยความที่ผมไม่อยากให้เเม่ต้องออกไปทำมาหากินนอกบ้าน ผมเลยเลือกทุน ครับ ทั้งๆๆที่ ผมเองก้ออยากเป็นหมอมาตั้งเเต่เด็ก เเต่ก้อช่างมันเถอะครับ ผมเรียนจบ ปตรี เกียรตินิยม อันดับ 1 ผมไม่ได้อวดนะครับ เเต่ผมต้องการจะบอกว่า เงินเก็บผม ครึ่งล้านที่ผมมี มันอาจจะไม่มากมายเเต่ว่า ผมก้อถือว่ามันมากเลยนะครับสำหรับผม ผมบอกเลยนะครับว่า ผมยอมเเลกชีวิตเเม่ทั้งหมดเงินเก็บที่ผมมี มันเป็นความรู้สึกที่เลวร้ายที่สุด ตั้งเเต่ผมเกิดมาเลยครับ ผมต้องบอกไว้ตรงนี้เลยครับว่า ใครที่ไม่เคยเจอเหตุการณ์ ที่จะเสียคนที่เรารักไปเนี่ยะ มันเลวร้ายมากเลยนะครับ มีอะไรเท่าไร่ อยากจะเเลกกับชีวิตคนนที่เรารักที่สุดเลยครับ
พอกลับมาถึงบ้าน ก้อไปหาเเม่ครับ เเม่อยู่ห้อง ICU สภาพเเม่ มันหนักมากครับ มีสายระโยงระยางเต็มไปหมด มันเเย่มาก ที่เราจะต้องห้ามร้องไห้ ต่อหน้าคนที่เรารักที่สุด เเต่เเม่เข้มเเข็งมากครับ เเม่สามารถลืมตาได้ เเม่น้ำตาไหลครับ ผมเเบบเเทบจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่ครับ เเม่รับรุ้ว่าผมมา เเม่กำมือผมเเน่นมากเลยครับ มันเป้นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเลยครับ มันดียิ่งกว่าที่ผมมีเงินเก็บครึ่งล้านอีกครับ
คำถามที่ผมจะถามครับคือ คู่กรณีของเเม่ผม ก่อนหน้าที่ผมจะมาถึงเมืองไทย คู่กรณีของเเม่ดูเหมือนจะดีครับ เเต่หารู้ไม่ครับ ทุกอย่างมันเป็นเเผน เค้าสืบข้อมูลของครอบครัวผมทุกอย่างครับเเต่ทางเราไม่รุ้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย เขาโทรมาถามข้อมูลผมผ่านเพื่อนของเเม่ครับ ผมพยายามติดต่อเพื่อนผมที่จบนิติศาสตร์ เพื่อหาข้อมูลว่าทำยังไงได้บ้าง เเต่ทุกอย่างมันไม่เหมือนที่คิดครับ ผมนัดเขามาคุยที่สถานีตำรวจครับ เขาพูดได้เลว มาครับ
ผมจะลิสต์คำพูดที่คู่กรณี พูดกับผมตอนวันที่ผมไปนัดเจอครับ
1. ไม่ขับรถชนตาย นี่ก้อบุญเท่าไร่เเล้ว
2. ไม่ช่วยครับ ใครถูกใครผิดก้อยังไม่รู้เลย จะช่วยได้ยังไง
(ในความเป็นจริงมันควรมีการช่วยเหลือเบื้องต้นก่อนไหมครับ ไม่ว่าจะยังไง คือเอาความจริงผมดูเเลเเม่ได้ครับ)
3. ทนายฝั่งนู้นครับ เขาบอกผมว่า อยากได้เงิน ฟ้องเอา
4. เขาบอกอีกครับ เวลาหายเเล้ว ไปเยี่ยม เเวะให้เงิน ร้อย สองร้อย
โอ้ววววว ไม่นะครับ คนผ่าตัดสมองเจียนตาย จะให้เงินร้อยสองร้อย ผมบอกไปเลยครับต่อหน้าตำรวจว่า ไปบริจาคเถอะครับ อย่ามาให้ผมเลย
ผมคิดว่า 4 ข้อนี้คงจะบอกได้นะครับว่า คู่กรณีของเเม่ผม เลวมากเเค่ไหน สามัญสำนึกคนเเทบจะไม่มีเลยครับ ผมเลยอยากจะถามครับว่า ผมจะทำอย่างไรต่อไปดี ควรฟ้องทนาย เเต่ตัวผมก้อจะไม่อยุ๋ ผมอยู่บ้านนอก ตำรวจบ้านนอก ก้ออย่างที่พูดเเหละครับ นะ อย่าให้พูดเลยครับ จ้างทนายมันต้องใช้เงิน เงินน่ะมีครับ เเต่ผมคิดว่าหรือทางเราจะเอาเวลาทั้งหมดไปดูเเลเเม่ดีครับ ผมคิดไม่ออกเลย เพื่อนผมอยากจะให้ผมฟ้องครับ เเต่ผมก้อไม่อยากสาวความยาว เอาไงดีครับ ช่วยคิดหน่อยครับ