ก่อนอื่นขอบอกก่อนนะครับว่าล็อคอินนี้ผมยืมพี่แถวบ้านที่สนิทกันคนนึงมา เพราะถ้าใช้ล็อคอินของผมเป็นแบบถาวร ถ้าคนรู้จักมาเห็นชื่อจะรู้ทันทีว่าเป็นผม ใครที่เคยรู้จักกับพี่ล็อคอินคนนี้อย่าเพิ่งตะลึงนะครับว่าอยู่ๆทำไมกลายเป็นผู้ชาย
อีกอย่างนึง ถ้าใครคิดจะมาอ่านเรื่องราวความรักหวานซึ้งขอให้ผ่านไปได้เลยนะครับ ชีวิตจริงมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย โลกแห่งความจริงมันโหดร้ายกว่าเยอะ
เริ่มเรื่องเลยนะครับ ผมเป็นเด็กกม.ปลายคนนึงในรร.ชื่อดังย่านฝั่งธนฯ เป็นเกย์ครับ ไม่เคยมีแฟน เพื่อนๆส่วนใหญ่รู้ แต่คนนอกมักจะมองไม่ออก เรื่องเป็นเกย์มันเหมือนเป็นปมในใจผมอย่างนึง ทำให้ผมรู้สึกว่าเราต้องพยายามหาที่ยืนในสังคม ต้องทำให้คนอื่นยอมรับเราให้ได้ และผมพบว่าสิ่งที่จะทำให้สังคมยอมรับเราได้นั่นก็คือ "การศึกษา" พอขึ้นม.ปลายผมตั้งใจเรียนมาก เป็นหัวกะทิในรร.ตลอดจนในที่สุดผมก็สอบกสพท.ติดคณะทันตแพทยศาสตร์แห่งหนึ่งในกรุงเทพ นั่นคือสิ่งที่ผมและครอบครัวภูมิใจมากที่สุดในชีวิต
พอสอบติดมันเหมือนเป็นเวลาพักผ่อนหลังจากที่เหนื่อยกับการเรียนมาถึงสามปีเต็ม ช่วงนี้ผมเที่ยวแหลกลาน เพราะสามปีที่ผ่านมาได้เที่ยวน้อยมาก แทบจะปีละสามสี่ครั้ง ส่วนใหญ่ก็คือดูหนังเดินห้างกับเพื่อนๆ และในที่สุด ผมก็เจอกับคนๆนึง ชื่อย่อป. เราไปเจอกันตอนเล่นน้ำสงกรานต์(ขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดนะครับกลัวเพื่อนมาอ่านแล้วจะรู้)
พี่ป.ป็นคนที่หน้าตาและรูปร่างตรงสเปกผมมาก หน้าตี๋ขาว ตาเกือบๆจะตี่ ผมชอบตั้งแต่เห็นหน้าแล้ว แต่พอถามกลุ่มเพื่อนทุกคนบอกว่าเฉยๆ หลังจากนั้นมาผมก็คุยไลน์กับพี่เค้าเรื่อยๆ ครับ คุยจนพอรู้ว่าพี่เค้าเป้นเจ้าของธุรกิจที่พอมีชื่อเสียงอย่างหนึ่ง จบป.โทจากม.ชื่อดังใจกลางเมือง ขับเบนซ์ รวย ใช้ของแบรนด์เนม เที่ยวต่างประเทศบ่อย ซึ่งทั้งหมดคือเรื่องจริงครับ ผมลองเลื่อนๆ ดูในเฟซกับไอจีพี่เค้า เห็นตั้งแต่ตอนที่ธุรกิจเค้ายังไม่ค่อยมีชื่อเสียงทำให้ผมเชื่อว่าเค้ารวยจริง แต่ตอนนั้นผมไม่ได้คิดจะเอาเงินหรือทรัพย์สมบัติใดๆ ของเค้าเลยนะครับ แต่การที่เค้ารวยมันทำให้เรารู้สึกไว้วางใจเค้าในระดับหนึ่ง เหมือนมันเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกให้เครดิตเค้ามากขึ้น ผมไม่ได้ดูถูกคนจนนะครับ พ่อแม่ผมก็มาจากครอบครัวที่ยากจนทั้งคู่ แต่ก็ดิ้นรนเรียนจนจบปวช.และส่งผมเรียนด้วยอาชีพสุจริตมาได้จนจบม.ปลาย แต่อย่างที่บอก มันเหมือนเป็นจิตวิทยาที่ทำให้เรารู้สึกไว้วางใจเค้ามากขึ้นในระดับหนึ่ง
ผมเริ่มคุยกับเค้ามาตั้งแต่สงกรานต์ คุยกันตลอดเลยครับ อายุเราห่างกันมาก ตอนแรกที่พี่เค้าขอไลน์เค้าบอกว่าเผื่อหลานจะขอคำปรึกษาเรื่องเรียน แต่พอคุยๆ กันแล้วเราเริ่มรู้สึกว่าเราผูกพันธ์ยังไงไม่รู้ เริ่มคิดว่าพี่เค้าชอบเราหรือเปล่า แต่ตอนนั้นก็ยังไม่กล้าคิดไปไกลมากเพราะเราชอบคิดไปเองแล้วต้องมาเสียใจภายหลังหลายครั้งแล้ว(คนเป็นเเพศที่สามคงเข้าใจความรู้สึกนี้) จนสักพักเราเริ่มมั่นใจว่าเค้าชอบเรา คนก่อนๆ ที่เราคิดไปเองไม่เคยคุยกับเราแบบนี้ จนเราไปปรึกษากับเพื่อนตุ๊ดคนหนึ่ง นางจึงคอนเฟิร์มว่าน่าจะรักจริง เราก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อย ชีวิตวันนี้เป็นยังไงบ้าง เมื่อคืนฝันถึงอะไรบ้าง จนมาถึงวลีที่ถ้าย้อนกลับไปได้เราจะไม่พิมพ์ส่งไปเด็ดขาด เป็นวลีที่ทำให้เราเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้ วลีนั้นคือ..
"อยากดูmaleficentจัง"
นั่นคือประโยคที่เราพลาดมากๆ พอเราบอกไปอย่างนั้น พี่เค้าก็เลยตอบกลับมาว่าไปดูกันไหม พรุ่งนี้เลยเดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง ตอนนี้เราอึ้งมาก คือไม่เคยเจอฟีลนี้ คือเรางงว่าจะยังไง แฟนก็ไม่เคยมี นี่ชวนเที่ยวกับเราคนเดียวหรือจะให้เราชวนกลุ่มเพื่อนเราไปด้วยหรืออะไรยังไง ตอนนั้นคืองงจริงๆ จะพิมพ์ตอบประมาณว่าชวนไปคนเดียวหรือให้ชวนเพื่อนไปด้วยก็กลัวหน้าแตก แบบกลัวถ้าเค้าไม่ได้คิดแบบที่เราคิด เค้าจะหาว่าเรามโนไหมไรงี้ ถ้าไปสองคนก็กลัวอีกว่าเค้าจะทำอะไรเราไหม สังคมสมัยนี้น่ากลัวจะตายมิจฉาชีพเต็มเมือง แต่ด้วยความที่ว่าเรารู้สึกเชื่อใจและให้เครดิตพี่เค้าค่อนข้างมากจากที่บอกไปแล้ว ประกอบกับคำพูดของเพื่อนตุ๊ดที่บอกว่า "ถ้าพลาดไปแล้วอย่ามาเสียใจทีหลังนะ" มันบอกว่ากลางพารากอนเค้าไม่โปะยาสลบมิงหรอก ทำให้เราตัดสินใจได้ในที่สุด
สุดท้ายเราก็ไปกับพี่เค้าแค่สองคน ไปดูกันที่พารากอน พี่เค้าถามว่าบ้านอยู่ไหนจะไปรับ แต่เราเห็นว่าบ้านเราอยู่ไกล อยู่แถบชานเมืองแน่ะ เราเลยบอกว่าเดี๋ยวเราไปบีทีเอสเอง เจอกันที่พารากอนเลย ตอนนั้นคือเราตื่นเต้นมากๆ ไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ จะทำตัวยังไงทำไม่ถูก แต่งตัวตอนออกจากบ้านก็เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลยจริงๆ พอถึงพารากอนเรานัดกับพี่เค้าที่บีทีเอสเพราะเราเคยไปแถวสยามแค่สองครั้ง คือไปสอบที่จุฬาแล้วก็ไปเที่ยวกับเพื่อน เรากลัวจะหลงเลยให้พี่เค้ามาหาที่บีทีเอส ตอนนั้นอายนะแบบรู้สึกบ้านนอกว่ะ แต่ก็คิดแล้วว่าถ้าโทรหาพี่เค้าตอนหลงทางคงอายกว่านี้
หลังจากนั้น เราก็ไปดูหนังกัน พี่เค้าก็เลี้ยงทั้งตั๋วและป็อปคอร์น เราก็เกรงใจจะจ่ายเอง แต่พี่เค้าบอกไม่เป็นไรเราก็กลัวว่าจะน่าเกลียดหรือเปล่าไม่รู้ถ้าเค้าจะเลี้ยงแล้วเรายังจะจ่ายเงินให้ได้ สุดท้ายพี่เค้าก็เลี้ยง พอดูเสร็จไปกินข้าว พี่เค้าก็เลี้ยงอีกตามเคย เรารู้สึกเริ่มอึดอัดเหมือนกันนะ คือพี่เค้าดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเรามากอ้ะ อายุก็ห่างกันเยอะอยู่ เป็นสิบปีเลย เราก็บอกว่าเกรงใจพี่อ้ะพี่เลี้ยงอย่างเดียวเลย พี่เค้าก็บอกไม่เป็นไร พี่หาเงินเองได้แล้วพี่เลี้ยงเอง เราเก็บเงินไว้เถอะ ไว้เราเรียนจบเราทำงานแล้วค่อยผลัดกันเลี้ยงเค้ากลับบ้างก็ได้ ตรงนี้เป็นอีกจุดนึงที่เรารู้สึกไว้ใจเค้ามากขึ้น รู้สึกว่าเค้าไม่ได้หวังอะไรจากตัวเรามากขึ้น
พอตอนกลับพี่เค้าจะไปส่ง เราก็เกรงใจบอกกลับเองก็ได้ พอพี่เค้าถามบ้านเราอยู่ไหนเราก็บอกที่อยู่บ้านเราไปว่าอยู่แถวนี้ๆๆ(ไกลอยู่) เค้าก็บอกนิดเดียวเองเดี๋ยวไปส่ง เราก็ไม่กล้าปฏิเสธอ้ะ เราก็ให้พี่เค้าไปส่ง เค้าบอกเดี๋ยวแวะคอนโดเค้าแปปนึงนะ เราก็โอเค คือเกรงใจเค้าอยู่แล้วอ้ะ เค้าก็ชวนขึ้นไปดูคอนโดเค้า พูดแซวๆว่าถ้าตอนเราเปิดเทอมมาอยู่คอนโดเค้าก็ได้นะ มันใกล้บีทีเอสไง แล้วปกติเค้าก็ไม่ได้อยู่คอนโดอยู่แล้วอยู่บ้านกับพ่อแม่เค้า
พอตอนขึ้นคอนโดเนี้ยแหละ บอกตามตรงว่าใจนึงก็กลัวว่าจะมีอะไรไหม อีกใจก็รู้สึกแบบอยากได้อยากโดนอ้ะ มันเกร็งๆ อธิบายไม่ถูกจริงๆ คือเราไม่เคยมีแฟน ไม่เคยมีฟีลนี้มาก่อนเลย มันกล้าๆกลัวๆยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก แล้วสุดท้ายเราก็พลาด เรามีอะไรกับเค้าในคอนโดเค้านั่นแหละ เรารู้สึกเจ็บมากๆ
(เราสมยอมนะไม่ได้โดนข่มขืน ขอไม่ลงรายละเอียดนะ เพราะตรงนี้ไม่ใช่ประเด็นที่อยากจะเล่า)
หลังจากนั้นเรารู้สึกไม่ดีเลย คือเรารู้สึกผิดนะ เราถูกเลี้ยงมาแบบอยู่ในทางเดินที่ดีตลอด ครอบครัวเราอบอุ่น เราไม่เคยทำอะไรแบบนี้ เวลามีเพื่อนทำอะไรแบบนี้เรามักจะคิดตลอดว่าพวกนี้ทำอะไรทำไมไม่คิดกันบ้างเลย รู้สึกผิดมากๆ รู้สึกผิดต่อพ่อแม่มากๆ เราคิดว่าถ้าพ่อแม่รู้ต้องเสียใจแน่ ไม่ใช่ที่เราเป็นเกย์แต่ท่านต้องเสียใจที่เราทำตัวแบบนี้
หลังจากนั้นพี่เค้าก็มาส่งที่บ้าน เราก็ขอบคุณ ลงจากรถเข้าบ้าน ตอนนั้นเย็นแล้วพ่อแม่เราก็อยู่บ้าน แม่ก็ถามใครมาส่งอ้ะลูก เราก็บอกพี่ป. แม่เราก็ไม่รู้จักหรอกก็ถามรุ่นพี่หรอลูก เราก็บอกใช่ หลังจากนั้นเรารู้สึกเปลี่ยนไปมากๆอ้ะ เรารู้สึกไม่อยากคุยกับพี่เค้า ไม่อยากส่งเฟซส่องไอจีเค้าแบบเมื่อก่อน อยากย้อนเวลากลับไปจะไม่ทำความรู้จักหรืออะไรกับพี่เค้าอีกเลย เราคุยกับพี่เค้าแบบถามคำตอบคำ จนพี่เค้าถามเราก็เล่าตามความจริงว่ารู้สึกยังไง แล้วก็บล็อคไลน์บล็อคเฟซอะไรทุกอย่างของเค้า แต่ไอโฟนมันดันบล็อคเบอร์ไม่ได้ พี่เค้าโทรมาเราไม่กล้ารับเลย จนวันนึงเรารับและเคลียร์ทุกอย่างกับเค้า เค้าก็เข้าใจ เราก็อันบล็อคทุกอย่างแต่ก็ไม่ได้คุยกันอีก
เราคิดถึงดุจดาวในเรื่องฮอร์โมนแล้วคิดย้อนกลับมาที่ตัวเราเลย นี่ขนาดเราเป็นผู้ชายยังรู้สึกแบบนี้แล้วผญที่เจอแบบเราล่ะจะรู้สึกแบบไหน ความรู้สึกของเรามันไม่ใช่แบบว่า เสียไปแล้วนะอะไรแบบนี้ แต่เรารู้สึกเจ็บใจ ไม่น่าปล่อยตัวปล่อยใจเลย เริ่มคิดถึงเรื่องโรคติดต่อ ถึงจะใช้ถุงยางอนามัยแต่ถ้าถุงรั่วมันก็ติดต่อได้ใช่ไหม แล้วไอถุงนั้นมันรั่วรึเปล่า เราก็ไม่รู้ดูไม่เป็น
คือเราเครียดมาก ตอนนี้เราสอบติดแล้ว ในขณะที่เพื่อนๆ กำลังเครียดเพราะรอแอดมิชชั่น เราที่ติดแล้วน่าจะสบายใจ นอนรอเปิดเทอมที่บ้าน แต่เพราะความ
ของเราทำให้ต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ เราเข้าใจเลยว่ากฎหมายพรากผู้เยาว์ที่ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า17 มีเพศสัมพันธ์มีเพื่ออะไร เพราะเด็กวัยเรา(บางคน) ยังควบคุมตัวเองไม่ได้ ยังไม่มีวุฒิภาวะพอที่จะต้านทานอารมณ์อันแรงกล้าในจุดนั้นๆ ได้ ถ้าพลาดแล้วมันย้อนเวลากลับไปตอนนั้นไม่ได้ ขนาดเราเป็นผู้ชายยังรู้สึกแบบนี้ แล้วพวกผู้หญิงที่ต้องเสียตัวในวัยนี้จะรู้สึกแย่กว่าเราขนาดไหน ตอนนี้เราคิดว่าเรื่องโรคติดต่อคงไม่น่าจะมีอะไร ไว้มีโอกาสจะลองไปตรวจเลือดดู ไว้พร้อมรับคำตำหนิจาหมอก่อนนะครับ
อยากให้เรื่องนี้เป็นอุทธาหรณ์เผื่อน้องๆหรือเพื่อนๆวัยนี้เข้ามาอ่าน จะได้รู้จักควบคุมอารมณ์ ยับยั้งช่างใจและควบคุมสติตัวเองให้ได้ จะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลังแบบนี้ ไอเรื่องทุกอย่างที่เรียนมาในวิชาสุขศึกษาอ้ะมันไม่ได้เข้ามาอยู่ในสมองเลยตอนนั้น และสุดท้ายอยากฝากให้พ่อแม่ ผู้ปกครองที่มีลูก อยากให้ช่วยสอนเรื่องเซกซ์อย่างเปิดเผย อย่าปิดบังให้ลูกของคุณโลกสวยจนพลาดท่าได้ง่ายๆ นี่ขนาดเรามีเพื่อนมีสังคมที่Darkบ้างแล้วนะ เห็นเพื่อนวัยเดียวกันท้องมามากแล้ว เรายังพลาดเลย แล้วคนที่ไร้เดียงสากว่าเราจะพลาดได้ง่ายกว่าเราขนาดไหน
เรื่องนี้เราบอกไม่กี่คน บอกแค่เพื่อนตุ๊ดคนสนิทที่ปรึกษาทุกเรื่องกับพี่แถวบ้านที่สนิทกันเจ้าของล็อคอินนี้ แต่อยากให้เป็นอุทธาหรณ์ ถ้าคนที่อ่านเรื่องนี้จะมีสักคนที่อ่านแล้วเอาตัวรอดจากสถานการณ์แบบของเราได้เราคงยินดีมาก
เพิ่มเติม : ขอโทษด้วยนะครับที่ตอบไม่ดี ตอนแรกคิดนานแล้วว่าจะตอบดีไหม ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด แต่ผมไม่ใช่คนใจบุญที่จะให้คนอื่นมาด่าเฉยๆครับ
คนที่เห็นใจมี ขอบคุณครับ
คนที่จับผิดว่าเป็นนิยาย มี เข้าใจครับ
คนที่ตำหนิอย่างสุภาพ มี รับฟังครับ
แต่บางคนด่าเราในสิ่งที่เราไม่ได้เป็น ขออนุญาตตอบโต้บ้างนะครับ
เล่าไว้เป็นอุทธาหรณ์ ผู้ชายก็เสียตัวได้ [18+]
อีกอย่างนึง ถ้าใครคิดจะมาอ่านเรื่องราวความรักหวานซึ้งขอให้ผ่านไปได้เลยนะครับ ชีวิตจริงมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย โลกแห่งความจริงมันโหดร้ายกว่าเยอะ
เริ่มเรื่องเลยนะครับ ผมเป็นเด็กกม.ปลายคนนึงในรร.ชื่อดังย่านฝั่งธนฯ เป็นเกย์ครับ ไม่เคยมีแฟน เพื่อนๆส่วนใหญ่รู้ แต่คนนอกมักจะมองไม่ออก เรื่องเป็นเกย์มันเหมือนเป็นปมในใจผมอย่างนึง ทำให้ผมรู้สึกว่าเราต้องพยายามหาที่ยืนในสังคม ต้องทำให้คนอื่นยอมรับเราให้ได้ และผมพบว่าสิ่งที่จะทำให้สังคมยอมรับเราได้นั่นก็คือ "การศึกษา" พอขึ้นม.ปลายผมตั้งใจเรียนมาก เป็นหัวกะทิในรร.ตลอดจนในที่สุดผมก็สอบกสพท.ติดคณะทันตแพทยศาสตร์แห่งหนึ่งในกรุงเทพ นั่นคือสิ่งที่ผมและครอบครัวภูมิใจมากที่สุดในชีวิต
พอสอบติดมันเหมือนเป็นเวลาพักผ่อนหลังจากที่เหนื่อยกับการเรียนมาถึงสามปีเต็ม ช่วงนี้ผมเที่ยวแหลกลาน เพราะสามปีที่ผ่านมาได้เที่ยวน้อยมาก แทบจะปีละสามสี่ครั้ง ส่วนใหญ่ก็คือดูหนังเดินห้างกับเพื่อนๆ และในที่สุด ผมก็เจอกับคนๆนึง ชื่อย่อป. เราไปเจอกันตอนเล่นน้ำสงกรานต์(ขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดนะครับกลัวเพื่อนมาอ่านแล้วจะรู้)
พี่ป.ป็นคนที่หน้าตาและรูปร่างตรงสเปกผมมาก หน้าตี๋ขาว ตาเกือบๆจะตี่ ผมชอบตั้งแต่เห็นหน้าแล้ว แต่พอถามกลุ่มเพื่อนทุกคนบอกว่าเฉยๆ หลังจากนั้นมาผมก็คุยไลน์กับพี่เค้าเรื่อยๆ ครับ คุยจนพอรู้ว่าพี่เค้าเป้นเจ้าของธุรกิจที่พอมีชื่อเสียงอย่างหนึ่ง จบป.โทจากม.ชื่อดังใจกลางเมือง ขับเบนซ์ รวย ใช้ของแบรนด์เนม เที่ยวต่างประเทศบ่อย ซึ่งทั้งหมดคือเรื่องจริงครับ ผมลองเลื่อนๆ ดูในเฟซกับไอจีพี่เค้า เห็นตั้งแต่ตอนที่ธุรกิจเค้ายังไม่ค่อยมีชื่อเสียงทำให้ผมเชื่อว่าเค้ารวยจริง แต่ตอนนั้นผมไม่ได้คิดจะเอาเงินหรือทรัพย์สมบัติใดๆ ของเค้าเลยนะครับ แต่การที่เค้ารวยมันทำให้เรารู้สึกไว้วางใจเค้าในระดับหนึ่ง เหมือนมันเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกให้เครดิตเค้ามากขึ้น ผมไม่ได้ดูถูกคนจนนะครับ พ่อแม่ผมก็มาจากครอบครัวที่ยากจนทั้งคู่ แต่ก็ดิ้นรนเรียนจนจบปวช.และส่งผมเรียนด้วยอาชีพสุจริตมาได้จนจบม.ปลาย แต่อย่างที่บอก มันเหมือนเป็นจิตวิทยาที่ทำให้เรารู้สึกไว้วางใจเค้ามากขึ้นในระดับหนึ่ง
ผมเริ่มคุยกับเค้ามาตั้งแต่สงกรานต์ คุยกันตลอดเลยครับ อายุเราห่างกันมาก ตอนแรกที่พี่เค้าขอไลน์เค้าบอกว่าเผื่อหลานจะขอคำปรึกษาเรื่องเรียน แต่พอคุยๆ กันแล้วเราเริ่มรู้สึกว่าเราผูกพันธ์ยังไงไม่รู้ เริ่มคิดว่าพี่เค้าชอบเราหรือเปล่า แต่ตอนนั้นก็ยังไม่กล้าคิดไปไกลมากเพราะเราชอบคิดไปเองแล้วต้องมาเสียใจภายหลังหลายครั้งแล้ว(คนเป็นเเพศที่สามคงเข้าใจความรู้สึกนี้) จนสักพักเราเริ่มมั่นใจว่าเค้าชอบเรา คนก่อนๆ ที่เราคิดไปเองไม่เคยคุยกับเราแบบนี้ จนเราไปปรึกษากับเพื่อนตุ๊ดคนหนึ่ง นางจึงคอนเฟิร์มว่าน่าจะรักจริง เราก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อย ชีวิตวันนี้เป็นยังไงบ้าง เมื่อคืนฝันถึงอะไรบ้าง จนมาถึงวลีที่ถ้าย้อนกลับไปได้เราจะไม่พิมพ์ส่งไปเด็ดขาด เป็นวลีที่ทำให้เราเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้ วลีนั้นคือ..
"อยากดูmaleficentจัง"
นั่นคือประโยคที่เราพลาดมากๆ พอเราบอกไปอย่างนั้น พี่เค้าก็เลยตอบกลับมาว่าไปดูกันไหม พรุ่งนี้เลยเดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง ตอนนี้เราอึ้งมาก คือไม่เคยเจอฟีลนี้ คือเรางงว่าจะยังไง แฟนก็ไม่เคยมี นี่ชวนเที่ยวกับเราคนเดียวหรือจะให้เราชวนกลุ่มเพื่อนเราไปด้วยหรืออะไรยังไง ตอนนั้นคืองงจริงๆ จะพิมพ์ตอบประมาณว่าชวนไปคนเดียวหรือให้ชวนเพื่อนไปด้วยก็กลัวหน้าแตก แบบกลัวถ้าเค้าไม่ได้คิดแบบที่เราคิด เค้าจะหาว่าเรามโนไหมไรงี้ ถ้าไปสองคนก็กลัวอีกว่าเค้าจะทำอะไรเราไหม สังคมสมัยนี้น่ากลัวจะตายมิจฉาชีพเต็มเมือง แต่ด้วยความที่ว่าเรารู้สึกเชื่อใจและให้เครดิตพี่เค้าค่อนข้างมากจากที่บอกไปแล้ว ประกอบกับคำพูดของเพื่อนตุ๊ดที่บอกว่า "ถ้าพลาดไปแล้วอย่ามาเสียใจทีหลังนะ" มันบอกว่ากลางพารากอนเค้าไม่โปะยาสลบมิงหรอก ทำให้เราตัดสินใจได้ในที่สุด
สุดท้ายเราก็ไปกับพี่เค้าแค่สองคน ไปดูกันที่พารากอน พี่เค้าถามว่าบ้านอยู่ไหนจะไปรับ แต่เราเห็นว่าบ้านเราอยู่ไกล อยู่แถบชานเมืองแน่ะ เราเลยบอกว่าเดี๋ยวเราไปบีทีเอสเอง เจอกันที่พารากอนเลย ตอนนั้นคือเราตื่นเต้นมากๆ ไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ จะทำตัวยังไงทำไม่ถูก แต่งตัวตอนออกจากบ้านก็เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลยจริงๆ พอถึงพารากอนเรานัดกับพี่เค้าที่บีทีเอสเพราะเราเคยไปแถวสยามแค่สองครั้ง คือไปสอบที่จุฬาแล้วก็ไปเที่ยวกับเพื่อน เรากลัวจะหลงเลยให้พี่เค้ามาหาที่บีทีเอส ตอนนั้นอายนะแบบรู้สึกบ้านนอกว่ะ แต่ก็คิดแล้วว่าถ้าโทรหาพี่เค้าตอนหลงทางคงอายกว่านี้
หลังจากนั้น เราก็ไปดูหนังกัน พี่เค้าก็เลี้ยงทั้งตั๋วและป็อปคอร์น เราก็เกรงใจจะจ่ายเอง แต่พี่เค้าบอกไม่เป็นไรเราก็กลัวว่าจะน่าเกลียดหรือเปล่าไม่รู้ถ้าเค้าจะเลี้ยงแล้วเรายังจะจ่ายเงินให้ได้ สุดท้ายพี่เค้าก็เลี้ยง พอดูเสร็จไปกินข้าว พี่เค้าก็เลี้ยงอีกตามเคย เรารู้สึกเริ่มอึดอัดเหมือนกันนะ คือพี่เค้าดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเรามากอ้ะ อายุก็ห่างกันเยอะอยู่ เป็นสิบปีเลย เราก็บอกว่าเกรงใจพี่อ้ะพี่เลี้ยงอย่างเดียวเลย พี่เค้าก็บอกไม่เป็นไร พี่หาเงินเองได้แล้วพี่เลี้ยงเอง เราเก็บเงินไว้เถอะ ไว้เราเรียนจบเราทำงานแล้วค่อยผลัดกันเลี้ยงเค้ากลับบ้างก็ได้ ตรงนี้เป็นอีกจุดนึงที่เรารู้สึกไว้ใจเค้ามากขึ้น รู้สึกว่าเค้าไม่ได้หวังอะไรจากตัวเรามากขึ้น
พอตอนกลับพี่เค้าจะไปส่ง เราก็เกรงใจบอกกลับเองก็ได้ พอพี่เค้าถามบ้านเราอยู่ไหนเราก็บอกที่อยู่บ้านเราไปว่าอยู่แถวนี้ๆๆ(ไกลอยู่) เค้าก็บอกนิดเดียวเองเดี๋ยวไปส่ง เราก็ไม่กล้าปฏิเสธอ้ะ เราก็ให้พี่เค้าไปส่ง เค้าบอกเดี๋ยวแวะคอนโดเค้าแปปนึงนะ เราก็โอเค คือเกรงใจเค้าอยู่แล้วอ้ะ เค้าก็ชวนขึ้นไปดูคอนโดเค้า พูดแซวๆว่าถ้าตอนเราเปิดเทอมมาอยู่คอนโดเค้าก็ได้นะ มันใกล้บีทีเอสไง แล้วปกติเค้าก็ไม่ได้อยู่คอนโดอยู่แล้วอยู่บ้านกับพ่อแม่เค้า
พอตอนขึ้นคอนโดเนี้ยแหละ บอกตามตรงว่าใจนึงก็กลัวว่าจะมีอะไรไหม อีกใจก็รู้สึกแบบอยากได้อยากโดนอ้ะ มันเกร็งๆ อธิบายไม่ถูกจริงๆ คือเราไม่เคยมีแฟน ไม่เคยมีฟีลนี้มาก่อนเลย มันกล้าๆกลัวๆยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก แล้วสุดท้ายเราก็พลาด เรามีอะไรกับเค้าในคอนโดเค้านั่นแหละ เรารู้สึกเจ็บมากๆ
(เราสมยอมนะไม่ได้โดนข่มขืน ขอไม่ลงรายละเอียดนะ เพราะตรงนี้ไม่ใช่ประเด็นที่อยากจะเล่า)
หลังจากนั้นเรารู้สึกไม่ดีเลย คือเรารู้สึกผิดนะ เราถูกเลี้ยงมาแบบอยู่ในทางเดินที่ดีตลอด ครอบครัวเราอบอุ่น เราไม่เคยทำอะไรแบบนี้ เวลามีเพื่อนทำอะไรแบบนี้เรามักจะคิดตลอดว่าพวกนี้ทำอะไรทำไมไม่คิดกันบ้างเลย รู้สึกผิดมากๆ รู้สึกผิดต่อพ่อแม่มากๆ เราคิดว่าถ้าพ่อแม่รู้ต้องเสียใจแน่ ไม่ใช่ที่เราเป็นเกย์แต่ท่านต้องเสียใจที่เราทำตัวแบบนี้
หลังจากนั้นพี่เค้าก็มาส่งที่บ้าน เราก็ขอบคุณ ลงจากรถเข้าบ้าน ตอนนั้นเย็นแล้วพ่อแม่เราก็อยู่บ้าน แม่ก็ถามใครมาส่งอ้ะลูก เราก็บอกพี่ป. แม่เราก็ไม่รู้จักหรอกก็ถามรุ่นพี่หรอลูก เราก็บอกใช่ หลังจากนั้นเรารู้สึกเปลี่ยนไปมากๆอ้ะ เรารู้สึกไม่อยากคุยกับพี่เค้า ไม่อยากส่งเฟซส่องไอจีเค้าแบบเมื่อก่อน อยากย้อนเวลากลับไปจะไม่ทำความรู้จักหรืออะไรกับพี่เค้าอีกเลย เราคุยกับพี่เค้าแบบถามคำตอบคำ จนพี่เค้าถามเราก็เล่าตามความจริงว่ารู้สึกยังไง แล้วก็บล็อคไลน์บล็อคเฟซอะไรทุกอย่างของเค้า แต่ไอโฟนมันดันบล็อคเบอร์ไม่ได้ พี่เค้าโทรมาเราไม่กล้ารับเลย จนวันนึงเรารับและเคลียร์ทุกอย่างกับเค้า เค้าก็เข้าใจ เราก็อันบล็อคทุกอย่างแต่ก็ไม่ได้คุยกันอีก
เราคิดถึงดุจดาวในเรื่องฮอร์โมนแล้วคิดย้อนกลับมาที่ตัวเราเลย นี่ขนาดเราเป็นผู้ชายยังรู้สึกแบบนี้แล้วผญที่เจอแบบเราล่ะจะรู้สึกแบบไหน ความรู้สึกของเรามันไม่ใช่แบบว่า เสียไปแล้วนะอะไรแบบนี้ แต่เรารู้สึกเจ็บใจ ไม่น่าปล่อยตัวปล่อยใจเลย เริ่มคิดถึงเรื่องโรคติดต่อ ถึงจะใช้ถุงยางอนามัยแต่ถ้าถุงรั่วมันก็ติดต่อได้ใช่ไหม แล้วไอถุงนั้นมันรั่วรึเปล่า เราก็ไม่รู้ดูไม่เป็น
คือเราเครียดมาก ตอนนี้เราสอบติดแล้ว ในขณะที่เพื่อนๆ กำลังเครียดเพราะรอแอดมิชชั่น เราที่ติดแล้วน่าจะสบายใจ นอนรอเปิดเทอมที่บ้าน แต่เพราะความของเราทำให้ต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ เราเข้าใจเลยว่ากฎหมายพรากผู้เยาว์ที่ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า17 มีเพศสัมพันธ์มีเพื่ออะไร เพราะเด็กวัยเรา(บางคน) ยังควบคุมตัวเองไม่ได้ ยังไม่มีวุฒิภาวะพอที่จะต้านทานอารมณ์อันแรงกล้าในจุดนั้นๆ ได้ ถ้าพลาดแล้วมันย้อนเวลากลับไปตอนนั้นไม่ได้ ขนาดเราเป็นผู้ชายยังรู้สึกแบบนี้ แล้วพวกผู้หญิงที่ต้องเสียตัวในวัยนี้จะรู้สึกแย่กว่าเราขนาดไหน ตอนนี้เราคิดว่าเรื่องโรคติดต่อคงไม่น่าจะมีอะไร ไว้มีโอกาสจะลองไปตรวจเลือดดู ไว้พร้อมรับคำตำหนิจาหมอก่อนนะครับ
อยากให้เรื่องนี้เป็นอุทธาหรณ์เผื่อน้องๆหรือเพื่อนๆวัยนี้เข้ามาอ่าน จะได้รู้จักควบคุมอารมณ์ ยับยั้งช่างใจและควบคุมสติตัวเองให้ได้ จะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลังแบบนี้ ไอเรื่องทุกอย่างที่เรียนมาในวิชาสุขศึกษาอ้ะมันไม่ได้เข้ามาอยู่ในสมองเลยตอนนั้น และสุดท้ายอยากฝากให้พ่อแม่ ผู้ปกครองที่มีลูก อยากให้ช่วยสอนเรื่องเซกซ์อย่างเปิดเผย อย่าปิดบังให้ลูกของคุณโลกสวยจนพลาดท่าได้ง่ายๆ นี่ขนาดเรามีเพื่อนมีสังคมที่Darkบ้างแล้วนะ เห็นเพื่อนวัยเดียวกันท้องมามากแล้ว เรายังพลาดเลย แล้วคนที่ไร้เดียงสากว่าเราจะพลาดได้ง่ายกว่าเราขนาดไหน
เรื่องนี้เราบอกไม่กี่คน บอกแค่เพื่อนตุ๊ดคนสนิทที่ปรึกษาทุกเรื่องกับพี่แถวบ้านที่สนิทกันเจ้าของล็อคอินนี้ แต่อยากให้เป็นอุทธาหรณ์ ถ้าคนที่อ่านเรื่องนี้จะมีสักคนที่อ่านแล้วเอาตัวรอดจากสถานการณ์แบบของเราได้เราคงยินดีมาก
เพิ่มเติม : ขอโทษด้วยนะครับที่ตอบไม่ดี ตอนแรกคิดนานแล้วว่าจะตอบดีไหม ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด แต่ผมไม่ใช่คนใจบุญที่จะให้คนอื่นมาด่าเฉยๆครับ
คนที่เห็นใจมี ขอบคุณครับ
คนที่จับผิดว่าเป็นนิยาย มี เข้าใจครับ
คนที่ตำหนิอย่างสุภาพ มี รับฟังครับ
แต่บางคนด่าเราในสิ่งที่เราไม่ได้เป็น ขออนุญาตตอบโต้บ้างนะครับ