พอดียังไม่ได้สมัครสมาชิกเลยขอยืมuser ของน้องสาวมาใช้ ผมอายุ 51 เชื้อสายไทย-จีน ภรรยาอายุ 47 เป็นคนไทย ก่อนแต่งเรารู้จักกัน ปีกว่าๆ ภรรยาเป็นแม่ม่าย แฟนเก่าเธอฟุ้งเฟ้อ ชอบเที่ยว คบผู้หญิง ไม่มีงานทำเป็นชิ้นเป็นอัน เธอทำงานได้เท่าไรแฟนเก่าก็จะเอาเงินเดือนที่เธอได้ไปกิน-เที่ยวกับเพื่อนหมด บางวันให้เงินเธอติดตัวไปทำงานแค่ 50 บาท เวลาไม่พอใจเธอก็จะถูกแฟนลงไม้ลงมีอ สุดท้ายผู้ชายก็นอกใจไปมีคนใหม่เลยเลิกกัน ผมรู้จักเธอเพราะเรื่องงาน เธอหน้าตา-รูปร่างดี-แต่งตัวดี ได้คุยและรู้ประวัติเธอแล้วก็สงสาร เราโทรคุยกันอยู่ประมาณ 6 เดือน ไปทานข้าวด้วยกัน 3 ครั้ง ระหว่างคุยกันไม่มีอะไรเกินเลย เคยชวนเธอไปห้องพักเหมือนกันแต่เธอไม่ยอมไป และเคยตามไปส่งโรงแรมที่เธอพักเธอก็ไล่ผมกลับ พอดีพ่อผมเสีย ประเพณีคนจีนต้องรีบแต่งไม่งั้นต้องรออีก 3 ปี แฟนเก่าผมที่คบๆกันอยู่ก็ยังไม่อยากแต่ง อารมณ์ตอนนั้นอยากมีครอบครัวแล้ว ก็ลองโทรไปคุยกับภรรยาและขอเธอแต่งงาน เธอก็ตกลง ผมพาญาติผู้ใหญ่ไปสู่ขอเธอตามประเพณีโดยไม่เคยรู้จักพ่อ-แม่-น้องชายเธอมาก่อน ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับครอบครัวเธอเลย ญาติทั้ง 2 ฝ่ายไม่ขัดข้อง แม่ผมให้สินสอดเป็นเงิน 1 แสน+ทอง 10 บาท แต่ขอคืนหลังแต่ง ภรรยาผมไม่ขัดข้อง แต่ขอร้องว่าอย่าบอกให้พ่อแม่ของเธอรู้ เพราะกลัวจะรู้สึกไม่ดีกับครอบครัวผม งานแต่งงานเราถูกจัดขึ้นที่บ้านภรรยาภายใน 2 สัปดาห์ หลังจากวันสู่ขอ เป็นงานเล็กๆ เลี้ยงพระ เลี้ยงญาติผู้ใหญ่ และเพื่อนสนิททั้ง 2 ฝ่ายประมาณ 50 คน
ภรรยาผมเข้ากับแม่ และน้องๆของผมได้ดี ไม่มีปัญหาอะไร หลานๆก็ติดภรรยาผมมากเรียกว่าถ้าภรรยาผมไปนอนบ้านผมที่ต่างจังหวัด หลานชายต้องมาขอนอนกับภรรยาด้วยเสมอ แม่ผมก็สอนให้เธอจัดของเซ่นไหว้เจ้า จากที่ไม่เคยรู้เกี่ยวกับประเพณีจีนเลยก็เธอสามารถทำได้ หลังแต่งงานภรรยาผมได้งานใหม่เป็นบริษัทต่างชาติ เธอมีเงินเดือนมากกว่าผมประมาณ 1 หมื่นบาท ผมจะคอยให้คำปรึกษาแก่เธอให้เรื่องงานเวลาเธอมีปัญหา เราไม่ได้อยู่ด้วยกันทุกวัน ภรรยาจะอยู่กับพ่อ-แม่-น้องชาย พ่อเธออายุ 80 เคยล้มสะโพกหักรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนสะโพกใหม่ แต่เดินไปมาไหนไม่สะดวก ส่วนผมเช่าห้องอยู่ใกล้ที่ทำงานและจะมาค้างบ้านเธอคืนวันเสาร์ เอาเสื้อผ้า ถุงเท้า กางเกงในมาให้เธอซัก-รีดที่บ้าน และพาเธอไปนอนค้างห้องเช่าคืนวันอาทิตย์ และเธอจะมาหาผมตอนกลางสัปดาห์ อาทิตย์ละ 1 วัน ห้องที่ผมเช่าอยู่ภรรยาจะเก็บกวาดให้ทุกครั้งที่เธอมาและล้างห้องน้ำให้เดือนละ 1-2 ครั้ง
ครอบครัวภรรยาผมอยู่ในกรุงเทพ มีฐานะปานกลาง พ่อตามีที่นาให้เช่า 100 ไร่ แม่ยายก็มีแต่ผมไม่ทราบจำนวนแน่นอน พ่อตารับบำนาญเดือนละ 2 หมื่น แม่ยายไม่มีรายได้ ภรรยาผมให้ที่บ้านเดือนละ 4 พัน น้องชายภรรยาโสดให้เดือนละหมื่น ก็เรียกได้ว่ามีอันจะกิน แต่ครอบครัวนี้ตระหนี่มากๆ และจะรักแต่ลูกชาย ภรรยาผมจะมีปัญหากับพ่อ-แม่เสมอ เธอมักจะโดนพ่อแม่หาเรื่องดุด่านินทาให้เสียใจตลอด วันธรรมดาก็จะมีแต่พ่อ-แม่เฝ้าบ้าน ส่วนวันหยุดภรรยาผมก็ต้องทำความสะอาดบ้าน ทำกับข้าว ล้างจาน เช็ดรถ อาบน้ำหมา และซักผ้าของเธอ และของผม ส่วนน้องชายก็ทำแค่งานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ผมเคยถามว่าทำไมไม่จ้างคน ภรรยาผมบอกว่าไม่มีใครทนพ่อ-แม่เธอได้ บางทีผมก็แกล้งเรียกเธอว่าลูกคนใช้มั่ง ลูกพ่อแม่ขอมาเลี้ยงมั่ง เธอก็ยิ้มๆ ไม่ว่าไร บ้านนี้อยู่แบบเผด็จการคือพ่อเป็นใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างจะอยู่ที่พ่อคนเดียว ไม่มียิ้ม ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีการนั่งกินข้าวด้วยกัน ต่างคนต่างกิน ทีวีก็ดูกันคนละเครื่องถึงแม้จะช่องเดียวกัน ซึ่งผิดกับบ้านผมที่พ่อ-แม่เลี้ยงมาแบบประชาธิปไตย เฮฮาปาร์ตี้กันตลอด
บ้านภรรยาผมห้องน้ำมีฝักบัวแต่ใช้ไม่ได้เพราะน้ำไม่แรงต้องรองน้ำใส่ถังตักอาบกัน ถ้าน้ำในถังหมดถึงจะเปิดปั้มรองน้ำใหม่ใส่เพื่อตักอาบ หรือบางครั้งรองน้ำทิ้งไว้แล้วก็ลืมปิดซึ่งจะพบเห็นเป็นประจำ บ้านเก่า40ปี ก็สกปรกรกรุงรัง ตัวบ้านก็จะมีกลิ่นอับๆเนื่องจากปิดประตูหน้าต่างตลอดเวลาเพราะกลัวฝุ่น กลัวฝน สายไฟ-ปลั๊กไฟ-ท่อน้ำ-ท่อประปา ก็ยังใช้เก่าๆ เดิมๆ มีปัญหาแตกมั่ง ชำรุดมั่งเป็นประจำ เวลาน้องชายซักผ้าน้ำที่ทิ้งออกจากเครื่องแม่ยายก็จะรองใส่กาละมังไว้ และนำมาซักเสื้อผ้าอีก (เขาบอกยังไม่สกปรก) ผมก็ไม่ทราบว่าเขาจะประหยัดกันไปไหน ซึ่งทั้งหมดนี้ผมมักจะบ่นกับภรรยาเป็นประจำ เธอก็ได้แต่พูดว่า แล้วจะให้เธอทำยังไง ยังไงพ่อ-แม่ก็ต้องยกบ้านหลังนี้ให้น้องชาย ถ้าเธอทำอะไรมากก็คงถูกว่าเอาอีก เธอทำได้แค่กวาด-ถู ทำความสะอาดอาทิตย์ละครั้ง ห้องที่ผมนอนกับภรรยา เธอจะซักผ้าปู นำหมอนออกตากแดดเดือนละครั้ง และเปิดประตู-หน้าต่างห้องให้อากาศถ่ายเท กลิ่นในห้องนอนเลยจะจางกว่านอกห้อง แต่ตอนนอนเวลาเปิดแอร์ผมก็ยังได้กลิ่นอับๆ ทำให้รู้สึกนอนไม่ค่อยหลับอยู่ดี เรียกว่าอยู่บ้านเช่าผมสบายกว่า
เวลาอยู่บ้านเธอผมไม่มีอะไรทำก็นอนดูทีวี-อ่านหนังสือพิมพ์บ้าง เช็ค-ล้างรถของผมบ้างตอนแรกๆภรรยาก็ทำให้แต่ผมไม่ถูกใจ ส่วนรถของภรรยาผมให้เธอทำเอาเอง บ้านภรรยาจะใช้ฟองน้ำอันเดียวกันล้างชาม ล้างตั้งแต่แก้วน้ำจานชามยันครกกระทะซึ่งผมรับไม่ได้ ภรรยาเลยหาแก้วน้ำ-แก้วกาแฟส่วนตัวให้ผมใช้ต่างหากซึ่งผมจะล้างของผมเอง ไม่ให้ปนกับใคร เย็นวันเสาร์ข้างบ้านจะมีตลาดนัด วันศุกร์ภรรยาก็จะโทรถามว่าผมอยากกินอะไร แล้วเธอก็จะไปจ่ายกับข้าวเพื่อทำให้ผมกิน บางอย่างที่เธอทำไม่เป็นเธอก็จะดูใน youtube แล้วทำให้ผมกิน ก็อร่อยบ้าง พอกินได้บ้างตามประสาคนเพิ่งหัดทำกับข้าว
เรื่องเงินทองเราจะต่างคนต่างหา ต่างคนต่างใช้ เงินเดือนผมน้อยกว่าภรรยา แต่ภาระเยอะกว่า ต้องส่งสหกรณ์บ้าง ให้แม่ผมบ้าง ทีเหลือผมก็เลี้ยงข้าว-เลี้ยงเหล้า-เฮฮากับเพื่อน มีเหลือบ้างไม่เหลือบ้าง เดือนไหนเงินไม่พอภรรยาผมก็ให้เพิ่มบ้างแต่ไม่บ่อย หรือบางเดือนแม่ผมเข้าร.พ. แฟนผมก็จะให้ยืมเงินก่อนแล้วให้ผมผ่อนใช้จนกว่าจะหมด เวลาขับรถไปไหนด้วยกันไม่ว่ากรุงเทพหรือต่างจังหวัด ภรรยาจะขับรถให้เธอว่าผมใจร้อน และรถคันที่ผมขับภรรยาจะเติมน้ำมันให้โดยใช้เครดิตการ์ดของเธอ ภรรยาผมบางอย่างก็ติดนิสัยพ่อ-แม่เธอมาเช่น ชอบซื้อของถูก ของเซลล์ ของตามตลาดนัด ยิ่ง 1 แถม 1 เธอยิ่งชอบ เสื้อผ้าก็จะเป็นแบรนด์ตลาดนัด ผมเคยบอกให้เธอซื้อเสื้อ Lacosteใส่เธอก็ไม่เอาบอกว่าซื้อเสื้อที่เธอใส่ได้ตั้ง 5-6 ตัว มีรถขับแต่เธอเลือกตื่นแต่เช้าเพื่อนั่งรถเมล์ตอนเช้า - กลับรถไฟฟ้าตอนเย็น แล้วทิ้งรถไว้บ้านขับเฉพาะวันหยุดเวลาไปจ่ายของแมคโคร ซื้อของทีละมากๆมาเก็บไว้เพราะลดราคา ทำกับข้าวแบ่งฟรีซไว้ในช่องเย็นแล้วเอามาเวฟแทนที่จะทำกินวันต่อวัน ซื่งเหล่านี้ผมก็เคยบอกเคยคุยกับเธอแล้ว มีเงินก็ให้ใช้บ้างแต่เธอก็ยังทำเหมือนเดิม ทรัพย์สินก่อนแต่งงานผมมีทาวน์เฮ้าส์ 1 หลัง และรถที่ผมให้ภรรยาไว้ใช้ 1 คัน แต่เธอไม่มีอะไร หลังแต่งงานเราซื้อทาวน์เฮ้าส์เพิ่มอีกหลังเป็นชื่อผม (ปล่อยเช่าทั้ง 2 หลัง) รถที่ผมขับ 1 คันเป็นชื่อเธอ ทองแท่ง+รูปพรรณรวมกันประมาณ 100 บาท เงินสดที่มีผมก็สอนให้ภรรยาผมลงทุนโดยการเปิดพอร์ทเล่นหุ้น ตอนนี้หุ้นที่เป็นชื่อเธอน่าจะหลักล้านต้นๆ ส่วนเงินในสหกรณ์ที่เป็นชื่อผมนอกจากที่ผมส่งรายเดือนแล้วก็มีเงินของภรรยาผมฝากเพิ่มส่วนหนึ่งรวมๆน่าจะเกือบๆล้าน แต่ก็นะธรรมชาติของผู้หญิงเล่นหุ้นมักไม่ชอบความเสี่ยง หุ้นบางตัวผมเห็นว่าน่าจะทำกำไรดี ภรรยาผมก็ไม่กล้าซื้อ บางตัวขาดทุนนิดหน่อยก็ไม่กล้าที่จะขายไปถือตัวอื่นที่น่าจะทำกำไรได้ดีกว่า ผมเลยตัดสินใจกู้เงินสหกรณ์ที่ตัวเองมีอยู่ออกมาเปิดพอร์ทเล่นหุ้นในชื่อของผมโดยตอนแรกไม่บอกให้ภรรยารู้เพราะถ้าบอกก่อนเธอต้องไม่ยอม เพิ่งมาบอกตอนหลังๆซึ่งเธอก็ไม่ว่าอะไรเพราะเป็นหนี้สินที่ผมรับผิดชอบเอง และผมจะได้เล่นเองตามแบบที่ผมอยากเล่น
ผมแต่งงานกับเธอมา 11 ปีไม่มีลูก เราเคยไปปรึกษาหมอเมื่อ 5-6 ปีก่อน แต่ผมรู้สึกกดดันกับวิธีทางวิทยาศาสตร์เราเลยหยุดการรักษา
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมก็พยายามอยู่บ้านเธอด้วยความอดทนคิดว่าอยู่แค่อาทิตย์นึงไม่ถึง 24 ช.ม. แต่ด้วย life style ของครอบครัวที่ต่างกันมากๆมันทำให้ผมรู้สึกว่าทำไมผมต้องมาทนอยู่กับสิ่งที่เราไม่ชอบ ต้องมาอดทนกับสิ่งที่เรารับไม่ได้ ผมก็พยายามที่จะปรับตัวให้เข้ากับครอบครัวของเธอแล้ว จากที่อยู่บ้านไม่เคยต้องทำอะไรเลย เพราะมีน้องสาว มีแม่บ้านทำให้ตลอด ผมมาอยู่บ้านเธอผมก็ล้างรถเอง ล้างแก้วน้ำ-แก้วกาแฟส่วนตัวเอง ช่วยภรรยาเก็บผ้าที่เธอตากไว้ ช่วยเธอยกตะกร้าจาน-ชามที่เธอล้างเสร็จ ผมก็ปรับตัวสุดๆแล้ว คุยกับภรรยาเธอก็บอกให้ไปอยู่ทาวเฮ้าส์ 2 หลังที่ซื้อไว้ ซึ่งก็ไกลจากที่ทำงานของเรา 2 คนมาก เธอก็ว่างั้นซื้อบ้าน - คอนโด ซึ่งด้วยอายูและเงินเดือนขนาดผม คงผ่อนไม่ไหวแน่ และไม่อยากให้เธอซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวต้องละทิ้งพ่อ-แม่เพื่อมาอยู่กับผม
ผมเคยคุยเล่นๆกับเธอ ถามเธอว่าถ้าเราเลิกกันผมจะได้อะไร เธอบอกว่า เธอให้รถคันเก่ากับเงินใหสหกรณ์ที่เป็นชื่อผม ส่วนนอกนั้นเธอไม่ให้และก็ไม่หย่าด้วยและถ้าผมนอกใจมีผู้หญิงอื่นเธอก็จะฟ้องร้องเอาผิดกับผู้หญิงคนนั้น
แต่ผมรู้สึกไม่มีความสุขเลย 11 ปีที่ผ่านมาระหว่างผมกับภรรยามันเป็นความผูกพัน-สงสาร แต่ชีวิตที่เหลือของผมทำไมต้องมาอยู่ด้วยความอดทน ผมอยากมีชีวิตแบบที่ผมชอบ ได้อยู่บ้านแบบที่ชอบ ไม่จำเป็นต้องหรูหรา แอร์เย็นๆ กลิ่นสะอาดๆ น้ำไหลแรงๆ ได้อาบน้ำฝักบัวทุกวัน ไม่ใช่ต้องมาคอยตักน้ำอาบ ประหยัดน้ำประหยัดไฟแบบนี้ ผมต้องการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีความสุข อยากมีลูกเป็นของตัวเองสักคนซึ่งคิดว่าอายุขนาดผมยังพอหาภรรยาใหม่และมีลูกได้ เพื่อนของผม 2 คนก็เพิ่งหย่าแล้วแต่งงานใหม่ ครอบครัวใหม่ก็มีความสุขดี ถ้าผมจะขอเลิกกับภรรยาควรจะพูดไงให้เธอยอมหย่าและแบ่งทรัพย์สินให้ผมครึ่งหนึ่งตามกฎหมาย ผมคิดว่าถ้าผมไม่แต่งงานกับเธอวันนั้น ชีวิตเธอในวันนี้คงยังไม่มีอะไร (งานเก่าเงินเดือนเธอไม่ถึงหมื่น ปัจจุบันได้งานใหม่เงินเดือนเกือบ 5 หมื่น โดยมีผมคอยให้คำปรึกษาในเรื่องต่างๆ) ผมคิดว่ามันเป็นสิทธิที่ผมควรจะได้
จะคุยกับภรรยายังไงให้ยอมหย่า และแบ่งทรัพย์สินให้ตามกฎหมาย?
ภรรยาผมเข้ากับแม่ และน้องๆของผมได้ดี ไม่มีปัญหาอะไร หลานๆก็ติดภรรยาผมมากเรียกว่าถ้าภรรยาผมไปนอนบ้านผมที่ต่างจังหวัด หลานชายต้องมาขอนอนกับภรรยาด้วยเสมอ แม่ผมก็สอนให้เธอจัดของเซ่นไหว้เจ้า จากที่ไม่เคยรู้เกี่ยวกับประเพณีจีนเลยก็เธอสามารถทำได้ หลังแต่งงานภรรยาผมได้งานใหม่เป็นบริษัทต่างชาติ เธอมีเงินเดือนมากกว่าผมประมาณ 1 หมื่นบาท ผมจะคอยให้คำปรึกษาแก่เธอให้เรื่องงานเวลาเธอมีปัญหา เราไม่ได้อยู่ด้วยกันทุกวัน ภรรยาจะอยู่กับพ่อ-แม่-น้องชาย พ่อเธออายุ 80 เคยล้มสะโพกหักรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนสะโพกใหม่ แต่เดินไปมาไหนไม่สะดวก ส่วนผมเช่าห้องอยู่ใกล้ที่ทำงานและจะมาค้างบ้านเธอคืนวันเสาร์ เอาเสื้อผ้า ถุงเท้า กางเกงในมาให้เธอซัก-รีดที่บ้าน และพาเธอไปนอนค้างห้องเช่าคืนวันอาทิตย์ และเธอจะมาหาผมตอนกลางสัปดาห์ อาทิตย์ละ 1 วัน ห้องที่ผมเช่าอยู่ภรรยาจะเก็บกวาดให้ทุกครั้งที่เธอมาและล้างห้องน้ำให้เดือนละ 1-2 ครั้ง
ครอบครัวภรรยาผมอยู่ในกรุงเทพ มีฐานะปานกลาง พ่อตามีที่นาให้เช่า 100 ไร่ แม่ยายก็มีแต่ผมไม่ทราบจำนวนแน่นอน พ่อตารับบำนาญเดือนละ 2 หมื่น แม่ยายไม่มีรายได้ ภรรยาผมให้ที่บ้านเดือนละ 4 พัน น้องชายภรรยาโสดให้เดือนละหมื่น ก็เรียกได้ว่ามีอันจะกิน แต่ครอบครัวนี้ตระหนี่มากๆ และจะรักแต่ลูกชาย ภรรยาผมจะมีปัญหากับพ่อ-แม่เสมอ เธอมักจะโดนพ่อแม่หาเรื่องดุด่านินทาให้เสียใจตลอด วันธรรมดาก็จะมีแต่พ่อ-แม่เฝ้าบ้าน ส่วนวันหยุดภรรยาผมก็ต้องทำความสะอาดบ้าน ทำกับข้าว ล้างจาน เช็ดรถ อาบน้ำหมา และซักผ้าของเธอ และของผม ส่วนน้องชายก็ทำแค่งานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ผมเคยถามว่าทำไมไม่จ้างคน ภรรยาผมบอกว่าไม่มีใครทนพ่อ-แม่เธอได้ บางทีผมก็แกล้งเรียกเธอว่าลูกคนใช้มั่ง ลูกพ่อแม่ขอมาเลี้ยงมั่ง เธอก็ยิ้มๆ ไม่ว่าไร บ้านนี้อยู่แบบเผด็จการคือพ่อเป็นใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างจะอยู่ที่พ่อคนเดียว ไม่มียิ้ม ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีการนั่งกินข้าวด้วยกัน ต่างคนต่างกิน ทีวีก็ดูกันคนละเครื่องถึงแม้จะช่องเดียวกัน ซึ่งผิดกับบ้านผมที่พ่อ-แม่เลี้ยงมาแบบประชาธิปไตย เฮฮาปาร์ตี้กันตลอด
บ้านภรรยาผมห้องน้ำมีฝักบัวแต่ใช้ไม่ได้เพราะน้ำไม่แรงต้องรองน้ำใส่ถังตักอาบกัน ถ้าน้ำในถังหมดถึงจะเปิดปั้มรองน้ำใหม่ใส่เพื่อตักอาบ หรือบางครั้งรองน้ำทิ้งไว้แล้วก็ลืมปิดซึ่งจะพบเห็นเป็นประจำ บ้านเก่า40ปี ก็สกปรกรกรุงรัง ตัวบ้านก็จะมีกลิ่นอับๆเนื่องจากปิดประตูหน้าต่างตลอดเวลาเพราะกลัวฝุ่น กลัวฝน สายไฟ-ปลั๊กไฟ-ท่อน้ำ-ท่อประปา ก็ยังใช้เก่าๆ เดิมๆ มีปัญหาแตกมั่ง ชำรุดมั่งเป็นประจำ เวลาน้องชายซักผ้าน้ำที่ทิ้งออกจากเครื่องแม่ยายก็จะรองใส่กาละมังไว้ และนำมาซักเสื้อผ้าอีก (เขาบอกยังไม่สกปรก) ผมก็ไม่ทราบว่าเขาจะประหยัดกันไปไหน ซึ่งทั้งหมดนี้ผมมักจะบ่นกับภรรยาเป็นประจำ เธอก็ได้แต่พูดว่า แล้วจะให้เธอทำยังไง ยังไงพ่อ-แม่ก็ต้องยกบ้านหลังนี้ให้น้องชาย ถ้าเธอทำอะไรมากก็คงถูกว่าเอาอีก เธอทำได้แค่กวาด-ถู ทำความสะอาดอาทิตย์ละครั้ง ห้องที่ผมนอนกับภรรยา เธอจะซักผ้าปู นำหมอนออกตากแดดเดือนละครั้ง และเปิดประตู-หน้าต่างห้องให้อากาศถ่ายเท กลิ่นในห้องนอนเลยจะจางกว่านอกห้อง แต่ตอนนอนเวลาเปิดแอร์ผมก็ยังได้กลิ่นอับๆ ทำให้รู้สึกนอนไม่ค่อยหลับอยู่ดี เรียกว่าอยู่บ้านเช่าผมสบายกว่า
เวลาอยู่บ้านเธอผมไม่มีอะไรทำก็นอนดูทีวี-อ่านหนังสือพิมพ์บ้าง เช็ค-ล้างรถของผมบ้างตอนแรกๆภรรยาก็ทำให้แต่ผมไม่ถูกใจ ส่วนรถของภรรยาผมให้เธอทำเอาเอง บ้านภรรยาจะใช้ฟองน้ำอันเดียวกันล้างชาม ล้างตั้งแต่แก้วน้ำจานชามยันครกกระทะซึ่งผมรับไม่ได้ ภรรยาเลยหาแก้วน้ำ-แก้วกาแฟส่วนตัวให้ผมใช้ต่างหากซึ่งผมจะล้างของผมเอง ไม่ให้ปนกับใคร เย็นวันเสาร์ข้างบ้านจะมีตลาดนัด วันศุกร์ภรรยาก็จะโทรถามว่าผมอยากกินอะไร แล้วเธอก็จะไปจ่ายกับข้าวเพื่อทำให้ผมกิน บางอย่างที่เธอทำไม่เป็นเธอก็จะดูใน youtube แล้วทำให้ผมกิน ก็อร่อยบ้าง พอกินได้บ้างตามประสาคนเพิ่งหัดทำกับข้าว
เรื่องเงินทองเราจะต่างคนต่างหา ต่างคนต่างใช้ เงินเดือนผมน้อยกว่าภรรยา แต่ภาระเยอะกว่า ต้องส่งสหกรณ์บ้าง ให้แม่ผมบ้าง ทีเหลือผมก็เลี้ยงข้าว-เลี้ยงเหล้า-เฮฮากับเพื่อน มีเหลือบ้างไม่เหลือบ้าง เดือนไหนเงินไม่พอภรรยาผมก็ให้เพิ่มบ้างแต่ไม่บ่อย หรือบางเดือนแม่ผมเข้าร.พ. แฟนผมก็จะให้ยืมเงินก่อนแล้วให้ผมผ่อนใช้จนกว่าจะหมด เวลาขับรถไปไหนด้วยกันไม่ว่ากรุงเทพหรือต่างจังหวัด ภรรยาจะขับรถให้เธอว่าผมใจร้อน และรถคันที่ผมขับภรรยาจะเติมน้ำมันให้โดยใช้เครดิตการ์ดของเธอ ภรรยาผมบางอย่างก็ติดนิสัยพ่อ-แม่เธอมาเช่น ชอบซื้อของถูก ของเซลล์ ของตามตลาดนัด ยิ่ง 1 แถม 1 เธอยิ่งชอบ เสื้อผ้าก็จะเป็นแบรนด์ตลาดนัด ผมเคยบอกให้เธอซื้อเสื้อ Lacosteใส่เธอก็ไม่เอาบอกว่าซื้อเสื้อที่เธอใส่ได้ตั้ง 5-6 ตัว มีรถขับแต่เธอเลือกตื่นแต่เช้าเพื่อนั่งรถเมล์ตอนเช้า - กลับรถไฟฟ้าตอนเย็น แล้วทิ้งรถไว้บ้านขับเฉพาะวันหยุดเวลาไปจ่ายของแมคโคร ซื้อของทีละมากๆมาเก็บไว้เพราะลดราคา ทำกับข้าวแบ่งฟรีซไว้ในช่องเย็นแล้วเอามาเวฟแทนที่จะทำกินวันต่อวัน ซื่งเหล่านี้ผมก็เคยบอกเคยคุยกับเธอแล้ว มีเงินก็ให้ใช้บ้างแต่เธอก็ยังทำเหมือนเดิม ทรัพย์สินก่อนแต่งงานผมมีทาวน์เฮ้าส์ 1 หลัง และรถที่ผมให้ภรรยาไว้ใช้ 1 คัน แต่เธอไม่มีอะไร หลังแต่งงานเราซื้อทาวน์เฮ้าส์เพิ่มอีกหลังเป็นชื่อผม (ปล่อยเช่าทั้ง 2 หลัง) รถที่ผมขับ 1 คันเป็นชื่อเธอ ทองแท่ง+รูปพรรณรวมกันประมาณ 100 บาท เงินสดที่มีผมก็สอนให้ภรรยาผมลงทุนโดยการเปิดพอร์ทเล่นหุ้น ตอนนี้หุ้นที่เป็นชื่อเธอน่าจะหลักล้านต้นๆ ส่วนเงินในสหกรณ์ที่เป็นชื่อผมนอกจากที่ผมส่งรายเดือนแล้วก็มีเงินของภรรยาผมฝากเพิ่มส่วนหนึ่งรวมๆน่าจะเกือบๆล้าน แต่ก็นะธรรมชาติของผู้หญิงเล่นหุ้นมักไม่ชอบความเสี่ยง หุ้นบางตัวผมเห็นว่าน่าจะทำกำไรดี ภรรยาผมก็ไม่กล้าซื้อ บางตัวขาดทุนนิดหน่อยก็ไม่กล้าที่จะขายไปถือตัวอื่นที่น่าจะทำกำไรได้ดีกว่า ผมเลยตัดสินใจกู้เงินสหกรณ์ที่ตัวเองมีอยู่ออกมาเปิดพอร์ทเล่นหุ้นในชื่อของผมโดยตอนแรกไม่บอกให้ภรรยารู้เพราะถ้าบอกก่อนเธอต้องไม่ยอม เพิ่งมาบอกตอนหลังๆซึ่งเธอก็ไม่ว่าอะไรเพราะเป็นหนี้สินที่ผมรับผิดชอบเอง และผมจะได้เล่นเองตามแบบที่ผมอยากเล่น
ผมแต่งงานกับเธอมา 11 ปีไม่มีลูก เราเคยไปปรึกษาหมอเมื่อ 5-6 ปีก่อน แต่ผมรู้สึกกดดันกับวิธีทางวิทยาศาสตร์เราเลยหยุดการรักษา
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมก็พยายามอยู่บ้านเธอด้วยความอดทนคิดว่าอยู่แค่อาทิตย์นึงไม่ถึง 24 ช.ม. แต่ด้วย life style ของครอบครัวที่ต่างกันมากๆมันทำให้ผมรู้สึกว่าทำไมผมต้องมาทนอยู่กับสิ่งที่เราไม่ชอบ ต้องมาอดทนกับสิ่งที่เรารับไม่ได้ ผมก็พยายามที่จะปรับตัวให้เข้ากับครอบครัวของเธอแล้ว จากที่อยู่บ้านไม่เคยต้องทำอะไรเลย เพราะมีน้องสาว มีแม่บ้านทำให้ตลอด ผมมาอยู่บ้านเธอผมก็ล้างรถเอง ล้างแก้วน้ำ-แก้วกาแฟส่วนตัวเอง ช่วยภรรยาเก็บผ้าที่เธอตากไว้ ช่วยเธอยกตะกร้าจาน-ชามที่เธอล้างเสร็จ ผมก็ปรับตัวสุดๆแล้ว คุยกับภรรยาเธอก็บอกให้ไปอยู่ทาวเฮ้าส์ 2 หลังที่ซื้อไว้ ซึ่งก็ไกลจากที่ทำงานของเรา 2 คนมาก เธอก็ว่างั้นซื้อบ้าน - คอนโด ซึ่งด้วยอายูและเงินเดือนขนาดผม คงผ่อนไม่ไหวแน่ และไม่อยากให้เธอซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวต้องละทิ้งพ่อ-แม่เพื่อมาอยู่กับผม
ผมเคยคุยเล่นๆกับเธอ ถามเธอว่าถ้าเราเลิกกันผมจะได้อะไร เธอบอกว่า เธอให้รถคันเก่ากับเงินใหสหกรณ์ที่เป็นชื่อผม ส่วนนอกนั้นเธอไม่ให้และก็ไม่หย่าด้วยและถ้าผมนอกใจมีผู้หญิงอื่นเธอก็จะฟ้องร้องเอาผิดกับผู้หญิงคนนั้น
แต่ผมรู้สึกไม่มีความสุขเลย 11 ปีที่ผ่านมาระหว่างผมกับภรรยามันเป็นความผูกพัน-สงสาร แต่ชีวิตที่เหลือของผมทำไมต้องมาอยู่ด้วยความอดทน ผมอยากมีชีวิตแบบที่ผมชอบ ได้อยู่บ้านแบบที่ชอบ ไม่จำเป็นต้องหรูหรา แอร์เย็นๆ กลิ่นสะอาดๆ น้ำไหลแรงๆ ได้อาบน้ำฝักบัวทุกวัน ไม่ใช่ต้องมาคอยตักน้ำอาบ ประหยัดน้ำประหยัดไฟแบบนี้ ผมต้องการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีความสุข อยากมีลูกเป็นของตัวเองสักคนซึ่งคิดว่าอายุขนาดผมยังพอหาภรรยาใหม่และมีลูกได้ เพื่อนของผม 2 คนก็เพิ่งหย่าแล้วแต่งงานใหม่ ครอบครัวใหม่ก็มีความสุขดี ถ้าผมจะขอเลิกกับภรรยาควรจะพูดไงให้เธอยอมหย่าและแบ่งทรัพย์สินให้ผมครึ่งหนึ่งตามกฎหมาย ผมคิดว่าถ้าผมไม่แต่งงานกับเธอวันนั้น ชีวิตเธอในวันนี้คงยังไม่มีอะไร (งานเก่าเงินเดือนเธอไม่ถึงหมื่น ปัจจุบันได้งานใหม่เงินเดือนเกือบ 5 หมื่น โดยมีผมคอยให้คำปรึกษาในเรื่องต่างๆ) ผมคิดว่ามันเป็นสิทธิที่ผมควรจะได้