ดิฉันมีลูกสาวสองคน คนนึงอยู่คอนโด ทำงาน อีกคนกำลังจะขึ้นปีสี่
เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาดิฉันก็ได้ย้ายเข้ามาอยู่บ้านใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จ ซึ่งมีสองหลังอยู่คู่กัน และตั้งใจว่าอยากจะให้อีกหลังหนึ่งเป็นบ้านของคุณยาย(แม่ของดิฉัน)
ด้วยความที่คุณแม่เคยอยู่ที่นี่มาก่อนเมื่อสิบปีที่แล้ว อยู่กับดิฉันและลูกสาวของดิฉันอีกสองคน และพอฉันย้ายออก คุณแม่จึงต้องไปอยู่บ้านของพี่สาว แต่เมื่อประมาณหนึ่งปีก่อนหลังจากที่คุณแม่ทราบว่าดิฉันกำลังจะกลับมาอยู่ที่เดิม ตลอดมาคุณแม่ก็ร้องขอจะกลับมาอยู่กับดิฉันมาก เพราะที่นี่เป็นบ้านของท่าน และดิฉันเองก็อยากดูแลคุณแม่ด้วย รวมทั้งรู้สึกผิดที่เคยย้ายออกไป ทำให้คุณแม่ต้องจากบ้านเก่าไป
แต่ว่าคุณแม่ดิฉันเริ่มเป็นโรคอัลไซเมอร์มาได้สามสี่ปีแล้วค่ะ และเริ่มความจำสั้นลง จำอะไรไม่ค่อยได้ และท่านก็แก่มากแล้ว อายุ 86 ปี ลูกๆของดิฉันก็คอยแย้งตลอดว่าดิฉันจะดูแลคุณแม่ไหวหรือ แแล้วที่บ้านเก่านี้ก็มีรถผ่านไปผ่านมาเยอะแยะ คุณแม่อาจจะโดนรถชนเอาก็ได้ ดิฉันก็ยอมรับนะคะว่ากังวลมาก แต่บ้านก็สร้างไปแล้ว เตรียมทุกอย่าง ยกเว้นคนดูแลคุณแม่
ทีนี้พี่สาวของดิฉันต้องบินไปอเมริกาวันที่ 25 มิถุนานี้ เป็นระยะเวลาสามเดือน ทำให้ไม่มีคนดูแลคุณแม่ (ซึ่งพี่สาวก็บินไปเป็นพักๆอยู่แล้วค่ะ แต่ตอนที่คุณแม่อยู่บ้านพี่ ดิฉัน กับพวกน้องๆจะเทคเทิร์นผลัดมาดูแลคุณแม่กันค่ะ ซึ่งบ้านน้องๆก็อยู่ใกล้บ้านพี่สาวด้วย)
คุณแม่ดิฉันก็รบเร้าอยากจะกลับมามาก แต่ลูกสาวคนเล็กของดิฉันมีปัญหามากค่ะ ไม่อยากให้คุณยายมา ก็เข้าใจนะคะว่าลูกสาวต้องกลายเป็นคนดูแลคุณแม่ไป ถึงแม้ว่าพี่น้องของดิฉันจะเสนอค่าดูแลคุณแม่ให้ ลูกสาวคนเล็กดิฉันก็ไม่ยอมเลยค่ะ แต่ยังไงก็ช่วยไม่ได้ เพราะดิฉันตัดสินใจเอาคุณแม่มาที่นี่ เดินหน้าเต็มที่ ลูกสาวคนเล็กก็คอยแย้งว่าดิฉันจะดูแลไม่ไหวนะ จะเหนื่อยมาก แต่ตอนนั้นดิฉันมั่นใจว่าตัวเองดูแลไหวค่ะ ส่วนลูกสาวดิฉันก็ร้องไห้โวยวายลั่นบ้าน ทำลายข้าวของ น่าตกใจมาก ไม่อยากให้คุณยายมา บอกว่าเขาไม่อยากทนฟังดิฉันหงุดหงิดใส่จากการทำงานเหนื่อยๆ แล้วก็ยังต้องทนฟังคุณแม่ดิฉันหงุดหงิดใส่เพิ่มอีกคนด้วย
ทีนี้พอเอาคุณแม่มาอยู่ อาทิตย์แรกเขาต้องอยู่กับคุณแม่ไปก่อนค่ะ เขาก็ดวยวาย หน้าหงิกหน้างอ ร้องไห้ ดูทุกข์มาก ซึ้งดิฉันเองก็อยู่ในสภาพพอกันเนื่องจากเกิดปัญหาต่างๆนานา เหนื่อยมากตามที่ลูกบอกจริงๆ แล้วลูกก็บอกว่าดิฉันไม่เคยเชื่อเขาเลย เขาพูดถูกตลอด แต่ดิฉันไม่เคยเชื่อเลย ซึ่งตอนนั้นดิฉันก็ไม่รู้จะทำยังไง ทั้งเรื่องงานที่ทำงานก็ทำไม่ทัน แล้วยังเรื่องที่บ้านอีก
แต่อาทิตย์ต่อมาก็หาคนมาดูแลได้ค่ะ และทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง แต่ลูกสาวของดิฉันก็ยังคงโวยวาย บอกว่าเขาไม่ชอบให้ใครเข้ามาอยู่ในบ้าน ต้องคอยใส่หน้ากากตลอดเวลาอะไรสักอย่างเนี่ยแหละค่ะ เขาโวยวายมาก ร้องไห้บอกว่าให้เอาคนดูแลออกไป บอกว่าบ้านเหมือนจิตใจ ไม่อยากให้ใครเข้ามา เอาแต่โวยวายไม่ยอมเข้าใจดิฉันเลยค่ะ แล้วพอดิฉันสวนไปว่าเข้าใจแม่บ้างสิ เขาก็สวนกลับมาว่าดิฉันต่างหากที่ไม่เข้าใจเขา แล้วก็พูดความรู้สึกของดิฉันเรื่องอยากดูแลคุณแม่ และความรู้สึกผิดออกมาได้ถูกนะคะ ถ้ารู้แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมล่ะ ดิฉันทำสิ่งที่ถูกต้องนะคะ ดิฉันเป็นลูกก็อยากจะดูแลคุณแม่
แล้วลูกสาวของดิฉันก็พาลเกลียดทุกคนในครอบครัวหมดเลยค่ะ บอกว่าทำไมบ้านเราต้องรับคุณยายมาดูแลฝ่ายเดียว ทั้งๆที่รอบบ้านพี่สาวของดิฉันมีพี่น้องอยู่กันใกล้ ผลัดกันมาได้
และพอมีญาติๆมา เขาก็ไม่ชอบอีก บอกว่าไม่ชอบให้ใครมายุ่ง ญาติๆขึ้นชั้นสองโดยไม่ขออนุญาบ้างล่ะ ดิฉันก็ไม่คิดเลยนะคะว่าเขาจะเป็นขนาดนี้ ดูๆแล้วเหมือนมีอาการทางจิต กลัวสังคม แต่เขาก็บอกว่าเขาไม่ได้กลัวสังคม เขาออกไปข้างนอกได้ไม่มีปัญหา แต่ไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่ง รำคาญ แบบนี้น่ะค่ะ
แล้วตอนนี้เขากจะไปอยู่คอนโดกับลูกสาวคนโตของดิฉันค่ะ ซึ่งกำลังเคืองกันอยู่เรื่องนี้นี่แหละ คนเล็กบอกว่าพี่เย็นชาใส่เรื่องทำตัวมีปัญหา ไม่ได้อยากไปอยู่ด้วย แต่ดิฉันไล่เขาออกไป
ดิฉันไม่ได้ไล่นะคะ ไม่ได้อยากให้ออกจากบ้านไปเลยด้วย แต่เขาก็บอกว่าเหมือนไล่ทางอ้อม บีบให้เขาต้องออกไปเอง ที่นี่ไม่ใช่บ้านเขาแล้ว มีคนอื่นมาอยู่
ดิฉันก็กลุ้มมาก ไม่รู้จะทำยังไง กลับบ้านมาก็เจอเขาทำหน้างอ พูดจาประชดคนดูแลตลอด พอให้ทำงาน เขาก็ย้อนกลับมาทันทีเลยว่าไปให้คนดูแลทำสิ พอดิฉันเอาข้าวของเครื่องใช้ไปบ้านโน้น เขาก็โวยว่าเอาไปให้ที่โน่นหมด ทรยศ เอาแต่บอกว่าไม่มีใครเข้าใจเขาเลย ทุกคนเข้าข้างดิฉัน เห็นใจดิฉัน เขาเกลียดคนดูแลมาก ไม่ยอมเดินไปบ้านคุณยายเลย เปลี่ยนไปมากเลยค่ะ ทำไมลูกถึงไม่ฟังดิฉันเลย ไม่สนใจความรู้สึกของดิฉันเลย ดิฉันเครียดมากทั้งเรื่องที่ทำงาน แล้วก็เรื่องนี้
ลูกสาวมีปัญหามาก ทำอย่างไรดีคะ
เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาดิฉันก็ได้ย้ายเข้ามาอยู่บ้านใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จ ซึ่งมีสองหลังอยู่คู่กัน และตั้งใจว่าอยากจะให้อีกหลังหนึ่งเป็นบ้านของคุณยาย(แม่ของดิฉัน)
ด้วยความที่คุณแม่เคยอยู่ที่นี่มาก่อนเมื่อสิบปีที่แล้ว อยู่กับดิฉันและลูกสาวของดิฉันอีกสองคน และพอฉันย้ายออก คุณแม่จึงต้องไปอยู่บ้านของพี่สาว แต่เมื่อประมาณหนึ่งปีก่อนหลังจากที่คุณแม่ทราบว่าดิฉันกำลังจะกลับมาอยู่ที่เดิม ตลอดมาคุณแม่ก็ร้องขอจะกลับมาอยู่กับดิฉันมาก เพราะที่นี่เป็นบ้านของท่าน และดิฉันเองก็อยากดูแลคุณแม่ด้วย รวมทั้งรู้สึกผิดที่เคยย้ายออกไป ทำให้คุณแม่ต้องจากบ้านเก่าไป
แต่ว่าคุณแม่ดิฉันเริ่มเป็นโรคอัลไซเมอร์มาได้สามสี่ปีแล้วค่ะ และเริ่มความจำสั้นลง จำอะไรไม่ค่อยได้ และท่านก็แก่มากแล้ว อายุ 86 ปี ลูกๆของดิฉันก็คอยแย้งตลอดว่าดิฉันจะดูแลคุณแม่ไหวหรือ แแล้วที่บ้านเก่านี้ก็มีรถผ่านไปผ่านมาเยอะแยะ คุณแม่อาจจะโดนรถชนเอาก็ได้ ดิฉันก็ยอมรับนะคะว่ากังวลมาก แต่บ้านก็สร้างไปแล้ว เตรียมทุกอย่าง ยกเว้นคนดูแลคุณแม่
ทีนี้พี่สาวของดิฉันต้องบินไปอเมริกาวันที่ 25 มิถุนานี้ เป็นระยะเวลาสามเดือน ทำให้ไม่มีคนดูแลคุณแม่ (ซึ่งพี่สาวก็บินไปเป็นพักๆอยู่แล้วค่ะ แต่ตอนที่คุณแม่อยู่บ้านพี่ ดิฉัน กับพวกน้องๆจะเทคเทิร์นผลัดมาดูแลคุณแม่กันค่ะ ซึ่งบ้านน้องๆก็อยู่ใกล้บ้านพี่สาวด้วย)
คุณแม่ดิฉันก็รบเร้าอยากจะกลับมามาก แต่ลูกสาวคนเล็กของดิฉันมีปัญหามากค่ะ ไม่อยากให้คุณยายมา ก็เข้าใจนะคะว่าลูกสาวต้องกลายเป็นคนดูแลคุณแม่ไป ถึงแม้ว่าพี่น้องของดิฉันจะเสนอค่าดูแลคุณแม่ให้ ลูกสาวคนเล็กดิฉันก็ไม่ยอมเลยค่ะ แต่ยังไงก็ช่วยไม่ได้ เพราะดิฉันตัดสินใจเอาคุณแม่มาที่นี่ เดินหน้าเต็มที่ ลูกสาวคนเล็กก็คอยแย้งว่าดิฉันจะดูแลไม่ไหวนะ จะเหนื่อยมาก แต่ตอนนั้นดิฉันมั่นใจว่าตัวเองดูแลไหวค่ะ ส่วนลูกสาวดิฉันก็ร้องไห้โวยวายลั่นบ้าน ทำลายข้าวของ น่าตกใจมาก ไม่อยากให้คุณยายมา บอกว่าเขาไม่อยากทนฟังดิฉันหงุดหงิดใส่จากการทำงานเหนื่อยๆ แล้วก็ยังต้องทนฟังคุณแม่ดิฉันหงุดหงิดใส่เพิ่มอีกคนด้วย
ทีนี้พอเอาคุณแม่มาอยู่ อาทิตย์แรกเขาต้องอยู่กับคุณแม่ไปก่อนค่ะ เขาก็ดวยวาย หน้าหงิกหน้างอ ร้องไห้ ดูทุกข์มาก ซึ้งดิฉันเองก็อยู่ในสภาพพอกันเนื่องจากเกิดปัญหาต่างๆนานา เหนื่อยมากตามที่ลูกบอกจริงๆ แล้วลูกก็บอกว่าดิฉันไม่เคยเชื่อเขาเลย เขาพูดถูกตลอด แต่ดิฉันไม่เคยเชื่อเลย ซึ่งตอนนั้นดิฉันก็ไม่รู้จะทำยังไง ทั้งเรื่องงานที่ทำงานก็ทำไม่ทัน แล้วยังเรื่องที่บ้านอีก
แต่อาทิตย์ต่อมาก็หาคนมาดูแลได้ค่ะ และทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง แต่ลูกสาวของดิฉันก็ยังคงโวยวาย บอกว่าเขาไม่ชอบให้ใครเข้ามาอยู่ในบ้าน ต้องคอยใส่หน้ากากตลอดเวลาอะไรสักอย่างเนี่ยแหละค่ะ เขาโวยวายมาก ร้องไห้บอกว่าให้เอาคนดูแลออกไป บอกว่าบ้านเหมือนจิตใจ ไม่อยากให้ใครเข้ามา เอาแต่โวยวายไม่ยอมเข้าใจดิฉันเลยค่ะ แล้วพอดิฉันสวนไปว่าเข้าใจแม่บ้างสิ เขาก็สวนกลับมาว่าดิฉันต่างหากที่ไม่เข้าใจเขา แล้วก็พูดความรู้สึกของดิฉันเรื่องอยากดูแลคุณแม่ และความรู้สึกผิดออกมาได้ถูกนะคะ ถ้ารู้แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมล่ะ ดิฉันทำสิ่งที่ถูกต้องนะคะ ดิฉันเป็นลูกก็อยากจะดูแลคุณแม่
แล้วลูกสาวของดิฉันก็พาลเกลียดทุกคนในครอบครัวหมดเลยค่ะ บอกว่าทำไมบ้านเราต้องรับคุณยายมาดูแลฝ่ายเดียว ทั้งๆที่รอบบ้านพี่สาวของดิฉันมีพี่น้องอยู่กันใกล้ ผลัดกันมาได้
และพอมีญาติๆมา เขาก็ไม่ชอบอีก บอกว่าไม่ชอบให้ใครมายุ่ง ญาติๆขึ้นชั้นสองโดยไม่ขออนุญาบ้างล่ะ ดิฉันก็ไม่คิดเลยนะคะว่าเขาจะเป็นขนาดนี้ ดูๆแล้วเหมือนมีอาการทางจิต กลัวสังคม แต่เขาก็บอกว่าเขาไม่ได้กลัวสังคม เขาออกไปข้างนอกได้ไม่มีปัญหา แต่ไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่ง รำคาญ แบบนี้น่ะค่ะ
แล้วตอนนี้เขากจะไปอยู่คอนโดกับลูกสาวคนโตของดิฉันค่ะ ซึ่งกำลังเคืองกันอยู่เรื่องนี้นี่แหละ คนเล็กบอกว่าพี่เย็นชาใส่เรื่องทำตัวมีปัญหา ไม่ได้อยากไปอยู่ด้วย แต่ดิฉันไล่เขาออกไป
ดิฉันไม่ได้ไล่นะคะ ไม่ได้อยากให้ออกจากบ้านไปเลยด้วย แต่เขาก็บอกว่าเหมือนไล่ทางอ้อม บีบให้เขาต้องออกไปเอง ที่นี่ไม่ใช่บ้านเขาแล้ว มีคนอื่นมาอยู่
ดิฉันก็กลุ้มมาก ไม่รู้จะทำยังไง กลับบ้านมาก็เจอเขาทำหน้างอ พูดจาประชดคนดูแลตลอด พอให้ทำงาน เขาก็ย้อนกลับมาทันทีเลยว่าไปให้คนดูแลทำสิ พอดิฉันเอาข้าวของเครื่องใช้ไปบ้านโน้น เขาก็โวยว่าเอาไปให้ที่โน่นหมด ทรยศ เอาแต่บอกว่าไม่มีใครเข้าใจเขาเลย ทุกคนเข้าข้างดิฉัน เห็นใจดิฉัน เขาเกลียดคนดูแลมาก ไม่ยอมเดินไปบ้านคุณยายเลย เปลี่ยนไปมากเลยค่ะ ทำไมลูกถึงไม่ฟังดิฉันเลย ไม่สนใจความรู้สึกของดิฉันเลย ดิฉันเครียดมากทั้งเรื่องที่ทำงาน แล้วก็เรื่องนี้