นักลง"ทุน" สู่ "นักธุรกิจ" Think Big "หมอประมุข"

โดย : ชาลินี กุลแพทย์ / กรุงเทพธุรกิจออนไลน์




สัมผัสอาชีพนักลงทุนมา 23 ปี เคยโกยกำไรสูงสุดกว่า 100% ทว่าวันนี้ “น.พ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ” อยากเปลี่ยนวิธีเพิ่มความมั่งคั่ง

“อนาคตดี ธุรกิจเติบโตมั่นคง” เมื่อความคิดสะเด็ดน้ำ "หมอมุข-น.พ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ” อดีตหมอสูติ-นรีเวช โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักด์ จึงออกตะลุยไล่เก็บ หุ้น ผลธัญญะ หรือ PHOL ล่าสุดขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นอันดับ 10 สัดส่วน 1,268,800 หุ้น คิดเป็น 0.94 เปอร์เซ็นต์ ตัวเลขวันปิดสมุดทะเบียน 17 มี.ค.2557 และนั่งเป็นกรรมการแทน “ประยูร วิเวชภูวนนท์” ที่ลาออกไปเมื่อต้นปี 2557

ทันทีที่บอกเล่ามุมมองที่มีต่อหุ้น PHOL จบ "เซียนหุ้นวีไอ” เจ้าของ0ล็อกอิน Paul vi (ตั้งตามชื่อลูกชายคนเล็ก) ในเว็บไซต์ "ไทยวีไอ" เริ่มพูดเรื่องต่อไปทันที โดยเฉพาะยุทธศาสตร์การลงทุนหุ้นในอนาคต “ผมอยากเปิดโอกาสให้ตัวเองเข้าไปสร้างธุรกิจดีๆสักแห่งร่วมกับพันธมิตร เน้นธุรกิจประเภทเมกะเทรนด์ โดยเราจะนำประสบการณ์ที่มีในแต่ละสายวิชาชีพเข้าไปใช้ในการบริหารงาน ความหวังสูงสุดของการได้เป็นเจ้าของกิจการ คือ ผลักดันบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ ตามความถนัดของเรา"

แต่สุดท้ายคงต้องดูก่อนว่า ตอนนี้ใช่เวลาที่เหมาะสมหรือไม่ ความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ผลตอบแทนเป็นอย่างไร และความเสี่ยงมีมากหรือน้อย เพราะการเป็นนักลงทุนอย่างทุกวันนี้ก็สบายดีอยู่แล้ว ตอนนี้ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด เก็บไว้เป็นความลับก่อน ไม่เกินปลายปีนี้น่าจะได้ข้อสรุป

หากเกิดขึ้นจริงคงจะเปลี่ยนวิถีการลงทุนใหม่อย่างสิ้นเชิง จาก “นักลงทุน” เป็น “นักบริหาร” จริงๆต้องการเกษียณตัวเองในวัย 50 ปี ฉะนั้นคงต้องกลับมาดูอีกครั้งว่า เราอยากกลับไปเหนื่อยหรืออยากเกษียณตัวเองจริงๆกันแน่

“คุณหมอนักลงทุน” เล่าถึงผลการลงทุนในปี 2556 ว่า แม้สุดท้ายจะได้กำไรน้อยกว่าปี 2555 เพราะตลาดหุ้นผันผวน แต่ก็ถือว่ามีผลตอบแทนชนะตลาดหุ้นที่ติดลบ โดยเฉลี่ยแล้วได้รับทั้งผลตอบแทนจากราคาหุ้นและเงินปันผลประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ต้นปี 2556 เป็นช่วงที่ได้กำไรเยอะที่สุด

วันหนึ่งของเดือนพ.ค.2556 มีโอกาสไปเป็นวิทยากรในงานของตลาดหลักทรัพย์ บังเอิญมีนักวิเคราะห์มานั่งคุยเรื่องมาตรการลดวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE) เมื่อฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจกลับบ้านไปตัดสินใจ take profit (ตั้งจุดทำกำไร) หุ้นตัวใหญ่ๆบางตัวที่คิดว่า จะได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้ทันที ทั้งๆตลาดหุ้นในช่วงนั้นดีมาก ตอนนั้นแอบนึกเสียดายหากขายหุ้นบางตัวในช่วงเดือนม.ค.-เม.ย.2556 คงได้กำไร “หลายร้อยเปอร์เซ็นต์" (หัวเราะ)

สุดท้ายความคิดนั้นเดินมาถูกทาง เพราะหุ้นขนาดใหญ่บางตัวปรับลดลง โดยเฉพาะหุ้นใน SET 50 เช่น หุ้น บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ หรือ INTUCH ผู้ประกอบการด้านการลงทุน Holding Company และหุ้น แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ ADVANC ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในย่านความถี่ 900 เมกะเฮิรตซ์ ระบบดิจิตอล GSM 1800 เมกะเฮิรตซ์ ระบบดิจิตอล GSM 1800 และ 2.1 กิกะเฮิรตซ์ ในระบบดิจิตอล UMTS เป็นต้น

“หุ้น INTUCH และหุ้น ADVANC” ถือเป็นตัวที่สร้าง "กำไรดีที่สุดในปีก่อน" แต่เป็นพอร์ตของภรรยา ส่วนพอร์ตของตัวเอง เราจัดการขายหุ้น 2 ตัวนี้ตอนราคาดีแล้วซื้อกลับมาใหม่ เราสองคนมีสไตล์การลงทุนเหมือนกัน คือ เน้น “หุ้นบิ๊กแคป” แต่ของภรรยาจะชอบหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงๆ และหุ้นประเภทซื้อง่ายขายคล่อง

จริงๆภรรยาเพิ่งหันมาลงทุนในตลาดหุ้นเมื่อปี 2551 ขณะที่เราลงทุนในแนว Value Investor มานานแล้ว ปัจจุบันเราสองคนมีมูลค่าการลงทุน “หลักร้อยล้านบาท” ตัวเลขนี้รวมทุกสินทรัพย์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นหุ้นกู้ เงินสด พันธบัตร ทองคำ ตึกแถว คอนโดมิเนียม กองทุนรวม และหุ้นต่างประเทศ เป็นต้น

ช่วงต้นปี 2556 เราลงทุนในตลาดหุ้นประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อเข้าสู่ 6 เดือนหลังของปีก่อน ปรับแผนมาลงหุ้นแค่ 50-60 เปอร์เซ็นต์ โดยปกติสัดส่วนเงินสดจะอยู่ไม่ต่ำกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ เราถือคติที่ว่า “เงินคือพระเจ้า” ในช่วงที่ลดพอร์ตหุ้นได้หันไปให้น้ำหนักในสินทรัพย์ประเภทอื่นแทน เช่น ทองคำ เงินสด หุ้นกู้ พันธบัตร กองทุนรวม และกองรวมอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

“หากการเมืองไทยไม่วุ่นวาย ต่างประเทศไม่มีเรื่อง QE และหน่วยงานรัฐบาลบางส่วนของสหรัฐอเมริกาไม่หยุดงานอัตโนมัติ (Government Shutdown) หลังรัฐบาลไม่สามารถหาข้อสรุปในการแจกจ่ายงบประมาณได้ ผมเชื่อว่าพอร์ตลงทุนในปี 2556 คงเติบโตเป็น “ร้อยเปอร์เซ็นต์” เมื่อเทียบกับปี 2555 ที่มีกำไรจากการลงทุนประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์ จากสถิติการลงทุนของผมพบว่า ในปี 2553 คือ ปีที่มีกำไรสูงสุดเฉลี่ย “ร้อยกว่าเปอร์เซ็นต์”

เขาบอกว่า จากนี้อยากเห็นพอร์ตลงทุนเติบโตปีละ 20-25 เปอร์เซ็นต์ เพียงเท่านี้ก็เก่งมากแล้ว แต่เมื่อดูจากหุ้นในมือตอนนี้พอมีลุ้นว่า ปี 2557 จะได้กำไรจากการลงทุนประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ เพราะโอกาสดาวน์ไซด์น่าจะยาก แต่โอกาสอัพไซด์มีมากพอควร สมมุติ หุ้น ผลธัญญะ หรือ PHOL ขึ้นไปแตะ 9 บาทกว่า ก็สามารถดึงพอร์ตลงทุนของเราขึ้นได้แล้ว "คุณหมอ" ยกตัวอย่าง

ปัจจุบันมีหุ้นในมือกี่ตัว? “หมอนักลงทุน” ตอบว่า นอกจากหุ้น ผลธัญญะ แล้วก็มีหุ้น พรีบิลท์ หรือ PREB นอกจากนั้นยังหุ้น ไทยโพลีคอนส์ หรือ TPOLY และมีหุ้นประมาณ 200,000 หุ้น มูลค่าประมาณ 6.6 ล้านบาท ในบริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด ผู้ประกอบการธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบมจ.ไทยโพลีคอนส์ โดยบริษัทดังกล่าวมีแผนจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ปลายปีนี้ ถามว่าหุ้น TPOLY ดีหรือไม่ ด้วยความที่เป็นธุรกิจก่อสร้างรู้สึกไม่ค่อยโอเคเท่าไร อีกอย่างธุรกิจซ้ำซ้อนกับ “พรีบิลท์” ทำให้ต้องลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้น TPOLY

นอกจากนั้นยังถือ “หุ้นบิ๊กแคป” อีกหลายตัว อาทิ หุ้น อินทัช โฮลดิ้งส์ หรือ INTUCH,หุ้น แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ ADVANC,หุ้น ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT และหุ้น ซีพี ออลล์ หรือ CPALL ส่วนใหญ่เป็นหุ้นในพอร์ตของภรรยา

“ชายวัย 45 ปี” เล่าต่อว่า ที่ผ่านมามีโอกาสลงทุนหุ้นต่างประเทศด้วย วันนี้สัดส่วนการลงทุนยังคงเดิมเหมือนที่เคยเล่าให้ฟังเมื่อปี 2556 โดยจะเน้นซื้อขายในตลาดหุ้นสิงคโปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เป็นหลัก ปัจจุบันลงทุนในตลาดหุ้นสิงคโปร์ประมาณ 3 ตัว ไล่มาตั้งแต่หุ้น Bread Talk ผู้ประกอบการธุรกิจอาหาร เจ้าของเป็นคนสิงคโปร์ ต้นทุนประมาณ 50-60 เซนต์ ตอนนี้ซื้อขายเฉลี่ย 90 เซนต์ โชคดีเข้าถูกเวลา..

ธุรกิจอาหารของ Bread Talk ประกอบด้วยแบรนด์ Bakery Division คนไทยรู้จักภายใต้ชื่อแบรด์ Bread Talk และ Toast Box ขณะเดียวกันยังมีแบรนด์ Food Republic Division และ Restaurant Division คนไทยมักรู้จักในแบรนด์ DIN TAI FUNG (ติ่น ไท่ ฟง) นอกจากนั้น Bread Talk ยังมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วย

นอกจากนั้นยังมีหุ้น Capita Malls Asia ผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีก ประเทศสิงคโปร์ วันนี้ผลตอบแทนยังอยู่ในเกณฑ์เท่าทุน อีกตัวคือ หุ้น ไทยเบฟเวอเรจ หรือ THBEV ตัวนี้ยังมีกำไรที่ดี ต้นทุนน 30 เซนต์ ปัจจุบันซื้อขาย 50 เซนต์ เคยขึ้นไปสูงสุด 60 เซนต์ แต่ไม่ได้ขาย

ส่วนตลาดหุ้นมาเลเซีย ปัจจุบันถือหุ้น GENPING ผู้ประกอบการคาสิโน หุ้นแบบนี้เมืองไทยหาซื้อไม่ได้ วันนี้ซื้อขายใกล้ทุน 1 ริงกิตมาเลเซีย แต่ได้เงินปันผลมาแล้วประมาณ 6-7 เปอร์เซ็นต์ สำหรับตลาดหุ้นประเทศเกาหลี ที่ผ่านมาได้ซื้อลงทุนหุ้น ซัมซุง ตัวนี้กำไรดีมาก ส่วนตัวใหญ่มักขายเมื่อได้กำไรแล้ว 10 เปอร์เซ็นต์ เล่นรอบหนึ่งตกประมาณ 2 เดือน เร็วสุด 2-3 สัปดาห์ เพราะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ ทุกครั้งที่มีผลิตภัณฑ์ใหม่ราคาหุ้นซัมซุงมักปรับตัวเพิ่มขึ้น

สำหรับตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้ซื้อลงทุนหุ้น ฮอนด้า เมื่อปี 2556 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวเพิ่มขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ราคาหุ้นฮอนด้าขึ้นตามไปด้วย จำไม่ผิดซื้อไว้ที่ราคา 300,000 กว่าเยน ขายไป 400,000 เยน ถ้าราคาลงมาเดี๋ยวเข้าไปซื้อใหม่ ลงทุนหุ้นในประเทศญี่ปุ่นต้องเล่นแต่หุ้นใหญ่ๆ เพราะบทวิเคราะห์จะมีออกมาค่อนข้างเยอะ

“ตลาดหุ้นที่จะไม่ลงทุนเลย คือ ประเทศจีน ยังไม่ไว้ใจระบบบัญชี และตลาดหุ้นฮ่องกง ราคาหวือหวามากไม่กล้าลง”

แต่ตลาดหุ้นที่น่าสนใจเข้าไปลงทุน คือ “ตลาดหุ้นยุโรป” เพราะเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว แต่คงลงทุนในกองทุนรวมยุโรปน่าจะดีกว่า เพราะเงื่อนไขค่อนข้างเยอะเดี๋ยวจะงง ปัจจุบันสัดส่วนหุ้นต่างประเทศคิดเป็นประมาณ 6 ล้านบาท หรือ 5-6 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าทั้งหมด โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากครั้งแรกที่เข้าไปลงทุนที่ระดับ 4 ล้านบาท

“อยากเห็นพอร์ตต่างประเทศเติบโตปีละ 10-15 เปอร์เซ็นต์” เขาบอกเป้าหมายการลงทุน

“เซียนหุ้นวีไอ” บอกว่า "จริงๆวันนี้ผมเริ่มกลับมาโฟกัสตลาดหุ้นเมืองไทยเป็นหลักแล้ว เพราะที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยบอบช้ำมาพอสมควร ตอนนี้เก็บเงินสดไว้รอช้อนแล้ว คงเล็งหุ้นที่ปรับตัวลงมามากๆ เช่น กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มสายการบินต้นทุนต่ำ และกลุ่มค้าปลีก เป็นต้น"

“หุ้นกลุ่มส่งออก” ถือเป็นหุ้นที่ไม่น่าสนใจอีกแล้ว เขาวิเคราะห์ เพราะก่อนหน้านี้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มอาหารและเกษตร เป็นต้น แต่หากอยากลงทุนหุ้นกลุ่มส่งออกจริงๆ นักลงทุนควรหันไปดูหุ้นขนาดไม่ใหญ่มาก แต่มีรายได้จากต่างประเทศมากๆ ตอนนี้ยังไม่ได้ทำการบ้านเลยคงแนะนำอะไรมากไม่ได้ "คุณหมอนักลงทุน" พูดปิดบทสนทนา

ชนะหุ้นด้วย 7 กลยุทธ์

กลยุทธ์การลงทุนของ “น.พ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ” มีด้วยกัน 7 ข้อ คือ 1.หุ้นตัวนั้นต้องมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น หรือ ROE สูง 15-20 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ROE จะบ่งบอกความสามารถของผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น “ยิ่งสูง ยิ่งดี” แต่บางครั้งก็มีตัวหลอกเหมือนกัน หากบริษัทนั้นมีหนี้สินจำนวนมาก ฉะนั้นต้องดูดีๆ อย่ารีบเชื่อ

ข้อ 2. หุ้นตัวนั้นต้องมีอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ หรือ ROA สูงกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ ข้อ 3.ต้องมี PEG ratio น้อยกว่า 1 เท่า คือ การเทียบค่า P/E ratio กับการเจริญเติบโตของกำไรสุทธิ (Growth) หาโดยนำค่า P/E ratio ตั้งหารด้วยเปอร์เซ็นต์การเจริญเติบโตนั้น บริษัทใดที่ราคาหุ้นต่ำจะน่าซื้อ ถ้าค่า PEG ratio เกิน 1 แสดงว่า ราคาหุ้นสูงเกินไป

ข้อ 4.ต้องมีอัตราเงินปันผลตอบแทน หรือ Dividend Yield อยู่ในระดับ 3.5-4 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ถามว่า ทำไมต้องเป็นตัวเลขนี้ เพราะเป็นตัวเลขที่มากกว่าอัตราเงินเฟ้อที่ปกติจะอยู่ระดับ 3 เปอร์เซ็นต์ ข้อ 5.หุ้นตัวนั้นต้องมีกระแสเงินสดสูงๆ ยิ่งไม่ต้องจ่ายหนี้จะชอบมากเป็นพิเศษ

ข้อ 6. ผู้บริหารต้องไว้ใจได้ พูดแล้วทำได้จริง ซึ่งเราต้องไปคุยกับผู้บริหารบ่อยๆ ยิ่งเขาถือหุ้นประมาณ 20-25 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งชอบเพราะมันจะบ่งบอกว่า เขาจะทุ่มเทในการทำงานมากขนาดไหน

ข้อสุดท้าย จะดูปัจจัยทางกายภาพ ธุรกิจนี้มีความแข็งแรงมากน้อยแค่ไหน โอกาสเติบโตของรายได้และกำไรเป็นอย่างไร สินค้าหรือธุรกิจหลักจะเติบโตไปตามชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ และลูกค้านิยมชมชอบสินค้ามากหรือน้อยแค่ไหน ที่สำคัญจะดูว่าคู่แข่งของเขามีใครบ้าง หากจะมีคู่แข่งเกิดขึ้นใหม่จะเข้ามาในธุรกิจนี้ได้ง่ายหรือยาก

ปกติจะไม่นิยมดูเส้นเทคนิคและไม่เคยนำมาประยุกต์ใช้ เพราะไม่เข้าใจในหลักการ ส่วนใหญ่จะดูเพียงราคา ณ ปัจจุบัน เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับมูลค่าที่ประเมินไว้ว่า มันมีส่วนลด หรือ Margin of Safety เป็นที่น่าพอใจหรือไม่

“หากอยากอ่านกลยุทธ์การลงทุนละเอียดๆลองไปหาหนังสือของผมมาอ่าน ชื่อ “มั่งคั่งด้วยหุ้นลงทุนอย่างมีคุณภาพ” เชื่อว่า อ่านแล้วคุณจะมีกำลังใจในการลงทุน เพราะอดีตผมก็เคยขึ้นชื่อว่าเป็น "แมงเม่า" เหมือนกัน ทุกครั้งที่เจอวิกฤติผมผ่านช่วงเวลานั้นมาได้อย่างไร หนังสือเล่มนี้จะบอกวิธีการฟื้นกำลังใจ ผมลงทุนในตลาดหุ้นมาแล้ว 23 ปี นับจากปี 2535 แต่พึ่งเข้ามาลงทุนแนววีไอในปี 2550”

จากเว็ป http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/bizweek/20140617/588039/%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%B9

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่